หมอหญิงพลิกธรรมเนียม - บทที่ 6
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ เช่นนี้ทำให้สบายขึ้นบ้างหรือไม่” เลี่ยวจิ้งชูเปลี่ยนท่าทางใหม่ คุกเข่าลงข้างหนึ่งอยู่บนเตียงเตา**** แล้วบีบนวดต้นคอที่ค่อนข้างแข็งของนายหญิงใหญ่ “ได้ยินสี่จู๋บอก เช้านี้ท่านเพียงดื่มโจ๊กไปครึ่งชามเท่านั้น ท่านป้าปล่อยวางสักหน่อยเถิด ไม่ว่าอย่างไร เราก็ต้องใช้ชีวิตกันต่อไป”
ข้อเสนอขอกลับไปอยู่บ้านเดิมถูกมารดาปฏิเสธอย่างเฉียบขาด ทั้งตักเตือนและตำหนินางอยู่พักใหญ่ เรื่องนี้ทำให้เลี่ยวจิ้งชู ไม่สิ นางคือหลวนอวิ๋นชูแล้ว ได้ตระหนักอย่างถ่องแท้ ตำแหน่งสะใภ้สี่แห่งจวนกั๋วกงก็เหมือนขื่อสวมคอ กักขังนางไว้อย่างแน่นหนา อย่าว่าแต่จะแสวงหาความรักที่ดีงาม แค่นางคิดอยากจะหายใจอย่างมีอิสระ บ้านเดิมและบ้านแม่สามีต่างไม่อนุญาตให้นางก้าวข้ามแม่น้ำเหลยฉือแม้ก้าวเดียว*!
แม้นางจะไม่ท้อแท้ บ้านเดิมไม่สนับสนุน นางก็ต้องไปจากจวนกั๋วกงที่น่ากลัวแห่งนี้ ออกไปเผชิญโลกกว้างด้วยตนเอง แต่สตรีอ่อนแอตัวคนเดียวที่ไหล่ไม่อาจแบกหาม มือหิ้วของหนักไม่ไหว หนึ่งไม่มีเงิน สองไม่มีงาน ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแคว้นหลวนเลย คิดจะไปจากจวนกั๋วกงแค่พูดก็คงง่าย
หลังจากคิดหน้าคิดหลังดูแล้ว หลวนอวิ๋นชูก็ตัดสินใจอยู่ที่นี่ไปก่อน ทั้งยังทำใจยอมรับตัวตนใหม่นี้ รอให้ปีกกล้าขาแข็งแล้วค่อยบินไปตามลำพัง
ตกลงใจได้แล้ว หลวนอวิ๋นชูก็จำต้องมาประจบเอาใจผู้นำสูงสุดแห่งจวนกั๋วกงผู้นี้ ถึงแม้นายหญิงใหญ่เคยคิดจะวางยานางให้เป็นใบ้ แต่เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง นางจำเป็นต้องลืมเรื่องนี้ไปเสีย และเป็นฝ่ายมาผูกไมตรีกับนายหญิงใหญ่
หลวนอวิ๋นชูพอจะคาดเดาได้เลาๆ ถึงความลับที่อยู่เบื้องหลังเรื่องที่นายหญิงใหญ่จะวางยานางได้แล้ว นางเชื่อว่าจะอย่างไรนายหญิงใหญ่ก็เป็นป้าแท้ๆ ของตนเอง ขอเพียงนางทำเป็นหูหนวกตาบอด นายหญิงใหญ่ก็จะไม่ทำอะไรนางอีก
“ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ ตัวเจ้าเองก็…ยังจะมาปลอบข้าอีก”
ความรู้สึกสบายแผ่กระจายมาจากต้นคอ ทำให้ใบหน้าที่เคร่งขรึมของนายหญิงใหญ่ดูอ่อนโยนมีเมตตาขึ้นมาก นึกถึงว่าหลวนอวิ๋นชูอายุยังน้อยก็ต้องเป็นแม่ม่ายแล้ว นับแต่นี้จะต้องใช้ชีวิตอย่างเงียบเหงาเดียวดาย อ้างว้างเอกากับโคมดำ** ไปอีกหลายสิบปี ในใจก็เกิดความสงสารขึ้นมาจางๆ จึงพูดอย่างมีเมตตา
“เด็กที่ดีเพียงนี้ คิดไม่ถึงว่าจะมีโชคชะตาที่อาภัพเหมือนกับข้า”
นายหญิงใหญ่พูดแล้วน้ำตาก็ไหลริน บรรยากาศดูเศร้ารันทดขึ้นมาหลายส่วน สี่จู๋รีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ “นายหญิงใหญ่ปล่อยวางบ้างเถิดเจ้าค่ะ สะใภ้สี่พูดถูก ทุกข์เพียงใด เราก็ต้องใช้ชีวิตกันต่อไป”
รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดอาดูรที่คนผมขาวต้องมาส่งคนผมดำ นิ้วมือของหลวนอวิ๋นชูสั่นเทา จึงหยุดมือรับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาให้นายหญิงใหญ่
“ท่านป้าเป็นห่วงสะใภ้จะลำบาก จึงมอบสี่หลันสี่จวี๋ที่อยู่กับท่านมาหลายปีให้กับสะใภ้ มีท่านให้ความรักและเอ็นดูเช่นนี้ สะใภ้…ก็ไม่นับว่า…อาภัพแล้ว”
มีประกายผุดวาบขึ้นมาในส่วนลึกของดวงตานายหญิงใหญ่ นางปรายตาเพ่งพิศหลวนอวิ๋นชู
แสงแดดส่องผ่านช่องหน้าต่างที่กรุด้วยกระดาษสีเหลืองขมิ้นเข้ามา ส่องกระทบชุดไว้ทุกข์สีขาวของหลวนอวิ๋นชู เกิดเป็นประกายสีทองวาวระยับ เพิ่มความอ่อนโยนบนใบหน้าผ่ายผอมของนางขึ้นมาหลายส่วน ทันใดนั้นภาพมารดาที่มีเมตตาลูกที่มีความกตัญญูก็ผุดขึ้นมาตรงหน้า โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวนายหญิงใหญ่ก็จิตใจสงบลง
“เด็กดี ลำบากเจ้าแล้ว พวกนางปรนนิบัติรับใช้ดีหรือไม่ ถ้าไม่ถูกใจเจ้าก็บอกมาได้เลย ไม่ต้องมองสีหน้าข้า”
ข้างกายมีสาวใช้จอมประจบประแจงสองคนคอยควบคุมอยู่ทุกวัน จะบอกว่าดีก็แปลกแล้ว!
นิ้วมือนวดคลึงจุดไท่หยางให้นายหญิงใหญ่เบาๆ หลวนอวิ๋นชูพูดเสียงเบา
“ละเอียดรอบคอบกว่าฝูหรงมากเจ้าค่ะ พี่สะใภ้ใหญ่เห็นแล้วยังอิจฉา เอาแต่บอกท่านลำเอียง”
“ปากของเจ้านี่ช่าง…” นายหญิงใหญ่เอนพิงหมอนอิงใบใหญ่อย่างสบายใจ “อืม ได้เจ้ามาช่วยนวด สบายขึ้นมากแล้ว สองวันนี้นอนไม่ค่อยหลับ เหมือนหัวจะแตกร้าว”
หลวนอวิ๋นชูคลี่ยิ้มมุมปากจางๆ ไม่ผิดจากที่คิด นับว่าไม่เหนื่อยเปล่า ผู้ใหญ่ชอบใจแล้ว วันเวลาของนางก็จะผ่านไปอย่างสุขสบาย นิ้วมือขยับไปที่จุดไป่ฮุ่ย*
“ท่านป้าใช้สมองหนักเกินไปแล้ว”
นายหญิงใหญ่หลับตาลงอย่างสบายใจ “หรือมิใช่ ตั้งแต่อาการป่วยของอ้ายเอ๋อร์หนักขึ้น ข้าก็ไม่เคยได้หลับสนิทตลอดทั้งคืน” เสียงค่อยๆ เบาลง “ไม่เคยรู้เลยว่าอวิ๋นชูมีฝีมือการนวดเช่นนี้ ไปหัดมาตั้งแต่เมื่อไร”
นิ้วมือพลันชะงักค้าง มัวแต่คิดจะผูกไมตรีจนถึงกับลืมไป นายหญิงใหญ่รู้จักอดีตของนางมากกว่าตัวนางเอง คำโกหกนี้จะพูดอย่างไรจึงจะสมเหตุสมผล
รับรู้ถึงนิ้วมือบนหน้าผากหยุดนิ่งลง นายหญิงใหญ่ที่คล้ายหลับไปแล้วพลันลืมตาขึ้น เห็นหลวนอวิ๋นชูสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย จมอยู่ในความครุ่นคิด ใจก็อ่อนยวบลงไปหลายส่วน
“อวิ๋นชูสูญเสียความทรงจำแล้ว เรื่องพวกนี้คิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิด”
นิ้วมือเคลื่อนไหวอีกครั้ง
“สี่จวี๋ก็นวดให้ท่านอยู่เสมอ แต่ท่านกลับมอบนางให้สะใภ้ เห็นท่านผ่ายผอมอ่อนแอลงทุกวัน สะใภ้รู้สึกไม่สบายใจ”
นายหญิงใหญ่ยิ้มน้อยๆ “แรงมือของนางไม่ดีเหมือนเจ้า” รู้สึกว่ามือที่เคลื่อนไหวอยู่บนหน้าผากออกจะใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นายหญิงใหญ่จึงลุกขึ้นมานั่ง ตบๆ เตียงเตา “นวดมาตลอดเช้าแล้ว อวิ๋นชูนั่งพักสักประเดี๋ยวเถอะ”
“สะใภ้…”
เหยาหลันมาแล้ว!
คิดจะบอก ‘สะใภ้ไม่เหนื่อย’ รีบนวดให้นายหญิงใหญ่หลับไปเสีย ตนจะได้เลิกงานเร็วหน่อย หลวนอวิ๋นชูเพิ่งเอ่ยปากก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังมาจากลานเรือน ชำเลืองมองนายหญิงใหญ่แวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายไม่รู้สึกอะไร หัวใจของหลวนอวิ๋นชูก็ลอยละล่องขึ้นมา นับว่าสวรรค์ไม่ได้ทอดทิ้งนางเสียทีเดียว พร้อมๆ กับการสูญเสียทักษะฝีมือทั้งหมดไปก็ได้มอบความตื่นเต้นดีใจเล็กๆ อย่างหนึ่งให้กับนาง ประสาทสัมผัสทั้งหกของนางแตกต่างจากคนทั่วไป!
โดยเฉพาะความสามารถในการได้ยินเสียง…นางนั่งอยู่ในห้องก็สามารถได้ยินเสียงที่ลานด้านนอก นอกจากนี้ขอเพียงได้ยินครั้งหนึ่งก็จะจดจำลักษณะพิเศษจำเพาะของเสียงนั้นได้ ครั้งต่อไปก็จะวิเคราะห์จากเสียงและบอกได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ตอนแรกนางยังเข้าใจว่าเป็นเพราะสิ่งปลูกสร้างในสมัยโบราณไม่กันเสียงเสียอีก
ด้วยไม่อยากให้เหยาหลันเห็นว่านางนวดเป็นและเที่ยวคาดเดาส่งเดช หลวนอวิ๋นชูจึงหดมือกลับมา รินน้ำชาถ้วยหนึ่งยื่นไปที่ข้างมือนายหญิงใหญ่ “ท่านป้าดื่มน้ำชา” แล้วลงนั่งที่ข้างกายอีกฝ่าย
หลวนอวิ๋นชูหยิบงานเย็บปักที่สี่จู๋ทำได้ครึ่งหนึ่งขึ้นมาพิจารณาดู “ฝีมือของสี่จู๋ดียิ่งนัก ทำให้ใครหรือ”
“พื้นรองเท้าที่ข้างนอกทำขายทั้งบางทั้งแข็ง นายหญิงใหญ่สวมแล้วไม่สบาย บ่าวกำลังเร่งทำพื้นเรียบๆ หลายคู่” เห็นนางพลิกไปพลิกมาพินิจพิเคราะห์ดู สี่จู๋ก็รีบแย่งกลับมา ใบหน้าแดงเล็กน้อย “ทำให้สะใภ้สี่ขบขันแล้ว ฝีมือการเย็บปักถักร้อยของท่านเทียบได้กับของในวังหลวง บ่าวจะกล้าเปรียบกับท่านได้อย่างไรเจ้าคะ”
เทียบได้กับของในวังหลวง?
หลวนอวิ๋นชูหัวใจเต้นตึกตัก ไม่ใช่บอกสมัยโบราณสตรีที่เล่าเรียนหนังสือล้วนไม่เป็นงานเย็บปักถักร้อยหรือ เหตุใดบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคผู้นั้นกลับเป็นทั้งสองอย่าง นางแอบชำเลืองมองสีหน้านายหญิงใหญ่ นางคงไม่ให้ข้าทำรองเท้ากระมัง
นี่ไม่ใช่เป็นการยกหินทับเท้าตัวเอง* หรอกหรือ
หลวนอวิ๋นชูใจเต้นระรัว แต่สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ได้ยินเสียงฝีเท้าของเหยาหลันเดินใกล้เข้ามา นางก็พูดอย่างเสียใจ
“สี่จวี๋ไม่มีวาสนาเช่นเจ้า สองวันนี้หญิงรับใช้สูงวัยที่เรือนด้านหลังถือว่าตนอาวุโสมีประสบการณ์มาก เรียกใช้ก็ไม่ค่อยยอมขยับ ทำเอาสี่จวี๋เหน็ดเหนื่อยยุ่งวุ่นวายไปหมด”
นายหญิงใหญ่ย่นคิ้ว “ก่อนแม่ของเจ้าไปก็พูดถึงเรื่องนี้ บอกข้าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเปลี่ยนคนในเรือนของเจ้า” แล้วบอกอย่างมีเมตตา “ไว้ข้าเจอหลันเอ๋อร์แล้วจะเร่งรัดให้”
ไม่ผิดจากที่คาด ข้อดีของการตบสะโพกม้า** พอตั้งราวไม้ไผ่ขึ้นก็เห็นเงา*** หลวนอวิ๋นชูสังเกตเห็นมาตั้งแต่แรกแล้วว่าในเรือนของนางก็คล้ายสมัยกั๋วหมินตั่ง**** ที่มีกองทหารหลายฝักหลายฝ่ายเกิดขึ้นพร้อมกัน จะวางแผนออกจากจวน ภายนอกนางจำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้นำ ภายในก็ต้องสร้างกองกำลังสายตรงของตนเอง ครั้นแล้วตอนมารดาปฏิเสธเรื่องนางขอกลับไปครองความเป็นม่ายที่บ้านแม่อย่างเฉียบขาด หลวนอวิ๋นชูจึงบอกเรื่องต้องการซื้อบ่าวไพร่ โดยเฉพาะสาวใช้ห้องข้างที่ยังไม่ได้เปิดหน้าสองคนนั้น นางยืนกรานแน่วแน่ว่าจะไม่เอาไว้ เดิมมารดาก็มาจากครอบครัวใหญ่จึงเข้าใจเหตุผลในเรื่องนี้ดี ย่อมสนับสนุนบุตรสาวเต็มที่ มารดานางเป็นคนออกหน้า นายหญิงใหญ่ก็ไม่สะดวกจะคัดค้าน เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนนายหญิงใหญ่จึงเอาสี่จวี๋สี่หลันแทรกเข้ามาเสียเลย อ้างคำพูดเสียน่าฟังว่า ‘เป็นห่วงอวิ๋นชู’
สองวันหลังจากมารดากลับไป สี่จวี๋สี่หลันก็เข้ามารับตำแหน่งแล้ว แต่เรื่องซื้อบ่าวไพร่กลับไม่ได้เอ่ยถึงอีก ทำเอาหลวนอวิ๋นชูกระทั่งอยู่ในห้องตนเองจะไอสักทีก็ยังไม่กล้าเสียงดัง มาบัดนี้เห็นนายหญิงใหญ่เป็นฝ่ายรับปากด้วยตนเอง หลวนอวิ๋นชูก็หยักยกมุมปาก
เหยาหลันจะมาถึงอยู่เดี๋ยวนี้ เรื่องนี้สำเร็จแล้ว
แล้วก็มีสาวใช้รุ่นเล็กมารายงาน “สะใภ้ใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่หัวเราะออกมา “บ่นถึงไม่ได้เลยจริงๆ เพิ่งจะพูดถึงนาง นางก็มาแล้ว” แล้วหันไปบอกสาวใช้รุ่นเล็ก “รีบเชิญเข้ามา”
เหยาหลันเห็นหลวนอวิ๋นชูนั่งอยู่บนเตียงเตาพูดคุยกับนายหญิงใหญ่อย่างสนิทสนม ส่วนลึกในดวงตาพลันมีประกายอำมหิตพาดผ่านจางๆ นางรับจานใส่ส้มสีทองลูกขนาดไข่นกพิราบจากมืออิ๋งชุนแล้วยื่นส่งขึ้นมา “นายหญิงใหญ่ลองชิมดูเจ้าค่ะ ข้าหลวงเมืองไถโจวนำติดไม้ติดมือมาฝากท่านแม่ของสะใภ้” แล้วกล่าวเสริมอีก “เห็นบอกว่าตั้งใจปลูกไว้ในกระถางในห้อง”
“อืม…มีรสชาติดีจริงๆ เคยได้ยินมานานแล้วว่ามีคนปลูกส้มไว้ในกระถางดอกไม้ เลี้ยงไว้ในห้อง ฤดูหนาวก็กินผลได้ ถึงกับเป็นเรื่องจริง” กินไปลูกหนึ่งนายหญิงใหญ่ก็ผงกศีรษะติดๆ กัน “เรื่องที่ห้องโถงตั้งศพจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ”
“เจ้าค่ะ รื้อถอนหมดแล้ว” เหยาหลันตอบรับ “ของใช้ต่างๆ ก็ตรวจนับเก็บแล้ว เพียงขาดจอกสุราทองสำริดรูปแพะสี่ตัว* ไปคู่หนึ่ง สะใภ้สั่งให้คนตรวจสอบอยู่เจ้าค่ะ” นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง “สิ่งของเซ่นไหว้ยังต้องตรวจสอบอย่างละเอียด พ่อบ้านเฮ่อเฝ้าดูอยู่ที่นั่น”
“ตรวจไม่พบก็ช่างเถิด เป็นเงินไม่เท่าไร เอะอะจนวุ่นวายโกลาหลไปก็ไม่ดี”
“สะใภ้ก็คิดเช่นนั้น แต่จอกสุราทองสำริดรูปแพะสี่ตัวคู่นั้นเป็นของล้ำค่าที่แคว้นหลีมอบให้ ตอนแม่ทัพสวินมาทำพิธีไว้อาลัย นายท่านสั่งคนไปหาออกมาเป็นพิเศษ คิดไม่ถึงว่าจะหายไปเสียได้ สะใภ้เพียงให้คนแอบตรวจสอบดูเงียบๆ ไม่ได้แพร่งพรายออกไป”
นายหญิงใหญ่พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก เหยาหลันจึงพูดต่อ
“เปิดคลังใหญ่ครั้งนี้ สะใภ้พบว่ามีผ้าแพรต่วนชั้นหนึ่งอยู่หลายพับ ใกล้จะเปลี่ยนฤดูแล้ว คุณหนูทั้งหลายถอดชุดไว้ทุกข์แล้ว ก็สมควรเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ สะใภ้คิดจะถือโอกาสนี้เอาออกมาจำนวนหนึ่งให้คุณหนูทั้งหลายใช้ ท่านว่า…”
“เรื่องพวกนี้เจ้าจัดการไปตามที่เจ้าเห็นสมควรเถิด เพียงอย่าให้พวกนางไม่ได้รับความเป็นธรรม” นายหญิงใหญ่รับผ้าเช็ดหน้าที่สี่เหมยยื่นส่งให้แล้วเช็ดมือ “จริงสิ เรื่องซื้อบ่าวไพร่เป็นอย่างไรบ้าง”
“สะใภ้บอกหลี่มามา** ไปหลายวันแล้ว คนที่น้องสาวต้องการมีจำนวนมาก ไม่อาจรวบรวมได้ครบในเวลาอันสั้น เห็นบอกให้รออีกสองวัน” เหยาหลันเอาส้มที่ปอกเปลือกแล้ววางลงในจานลายครามเล็กตรงหน้านายหญิงใหญ่ มองหลวนอวิ๋นชูด้วยสีหน้ายิ้มๆ “นายหญิงใหญ่โปรดปรานน้องสาวจนเข้ากระดูกแล้ว เพียงเรื่องสี่หลัน ตอนคุณชายใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ก็ถูกตาต้องใจนางเช่นกัน สะใภ้หน้าหนามาขอตั้งหลายครั้ง นายหญิงใหญ่ก็ไม่อาจตัดใจ”
สี่จวี๋สี่หลันเป็นคนที่ถูกส่งไปคอยเป็นหูเป็นตา ความนัยเรื่องนี้ไม่ว่าใครก็มองออก เหยาหลันกลับเอามาใช้ประโยชน์ในการประจบประแจง หลวนอวิ๋นชูเพียงยิ้มๆ ครั้งนี้นางต้องตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างพูดอะไรไม่ออกอยู่แล้ว
ไม่ผิดจากที่คิด นายหญิงใหญ่ยิ้มหน้าบาน “เด็กสองคนนี้ข้าเลี้ยงโตมากับมือ ถ้าไม่ใช่รักและเอ็นดูอวิ๋นชู ข้าก็ไม่อาจตัดใจได้จริงๆ”
เหยาหลันพูดอย่างคล้อยตามสถานการณ์ “ถือโอกาสที่นายหญิงใหญ่อารมณ์ดี วันนี้สะใภ้จะมาขอความเมตตา” นางนึกถึงท่านน้าหลวนที่กำชับแล้วกำชับอีกให้หาคนที่เหมาะสมแต่งหลิ่วเอ๋อร์และอิงเอ๋อร์ออกไป เหยาหลันมองไปที่หลวนอวิ๋นชูแวบหนึ่งคล้ายคิดอะไรอยู่ในใจ “สะใภ้หาคนที่เหมาะสมให้อิงเอ๋อร์ได้แล้ว เพียงรอหลังออกทุกข์สี่สิบเก้าวันก็แต่งออกไปได้ แต่นางเป็นตายก็จะครองพรหมจรรย์เพื่อคุณชายสี่” นางทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง “สะใภ้ก็เป็นคนใจอ่อน นึกถึงว่าอีกไม่นานก็จะทำศึกสงครามแล้ว ทุกหนแห่งต่างกำลังเกณฑ์ทหาร รีบร้อนแต่งออกไปไม่สู้อยู่ในจวนอย่างสงบสุข นายหญิงใหญ่ท่านว่า…”
นายหญิงใหญ่สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย กวาดตามองหลิ่วเอ๋อร์ที่ยืนอยู่บนพื้น หลิ่วเอ๋อร์เนื้อตัวสั่นเทิ้ม สีหน้าซีดขาวราวกระดาษ แล้วก็หันมามองหลวนอวิ๋นชู นายหญิงใหญ่แอบทอดถอนใจ เรื่องนั้นรออีกสักระยะค่อยพูดกับนางก็แล้วกัน
“หลิ่วเอ๋อร์เองเป็นตายก็ไม่ยอมแต่งออก?”
“บ่าววิงวอนนายหญิงใหญ่ได้โปรดช่วยให้บรรลุสมความปรารถนา!”
นายหญิงใหญ่เพิ่งพูดออกมา หลิ่วเอ๋อร์ก็คุกเข่าลงไปแล้ว
“เฮ้อ ล้วนแต่ก่อเวรก่อกรรม” นายหญิงใหญ่ทอดถอนใจออกมาพลางมองหลิ่วเอ๋อร์ “เจ้าออกไปก่อนเถิด”
เห็นหลิ่วเอ๋อร์ไม่ลุกขึ้น สี่เหมยจึงดึงนางออกไป
“นางหนูสองคนนี้เห็นแก่ความสัมพันธ์ก่อนเก่า แม้จะยังไม่ได้เปิดหน้า แต่พวกนางก็เต็มใจจะครองพรหมจรรย์ อวิ๋นชูก็อย่าถือสาเลย ปล่อยพวกนางครองพรหมจรรย์ไปเถิด” แล้วกล่าวว่า “อวิ๋นชูไม่อยากเห็นพวกนาง ก็ให้หลิ่วเอ๋อร์กลับมาอยู่กับข้า”
ท่าทางคล้ายปรึกษาหารือ แต่น้ำเสียงนายหญิงใหญ่กลับไม่อนุญาตให้กังขาใดๆ ทั้งสิ้น หลวนอวิ๋นชูแอบยิ้ม ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่นางเป็นคนครองพรหมจรรย์ ใครอยากครองพรหมจรรย์ก็ทำไป เพียงอย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าคอยเฝ้าติดตามดูความเคลื่อนไหวของนางก็พอ
“ทุกอย่างแล้วแต่ท่านป้าจะตัดสินใจเจ้าค่ะ”
ทุกคนต่างรู้ว่าตอนต่งอ้ายมีชีวิตเพียงแต่งภรรยาคนเดียว เวลานี้มีอนุสองคนโผล่มาครองพรหมจรรย์ บอกยังไม่ได้เปิดหน้า พูดออกไปใครจะเชื่อ
หน้าตาของบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคอย่างนางยังจะเหลืออยู่หรือ
เห็นหลวนอวิ๋นชูรับคำอย่างทันควัน เหยาหลันก็อึ้งตะลึงไป นายหญิงใหญ่กลับผงกศีรษะด้วยความพอใจ
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาดยิ่ง
“เมื่อครู่พี่สะใภ้ใหญ่บอกจะมีศึกสงครามหรือ”
หลวนอวิ๋นชูสนใจเรื่องนี้มากกว่า ถ้ามาเกิดในช่วงกลียุคจริง แม้จะสับสนวุ่นวายจากสงคราม แต่สำหรับนางที่กระหายอยากจะได้อิสรภาพแล้ว นับเป็นจุดพลิกผันอย่างหนึ่ง
“ใช่ เดือนหน้าแม่ทัพใหญ่ก็จะยกทัพไปทางตะวันออกแล้ว”
“ยกทัพไปตะวันออก ทางตะวันออกคือที่ใดหรือ”
น้ำชาแทบจะถูกพ่นออกมา นายหญิงใหญ่ไอออกมา เหยาหลันก็มีสีหน้าประหลาดใจ
“สะใภ้สี่สูญเสียความทรงจำแล้ว” ฝูหรงใบหน้าแดงก่ำ “ตะวันออกคือแคว้นชื่อเจ้าค่ะ!”
หลวนอวิ๋นชูนึกขึ้นมาได้ในทันที วันนั้นเคยได้ยินฝูหรงบอกแล้ว แคว้นชื่อตั้งอยู่ตอนล่างของแม่น้ำหลวน เพียงครอบครองดินแดนด้านตะวันออกเฉียงใต้ส่วนหนึ่งเท่านั้น ยามกะทันหันนางถึงกับไม่ทันนึก หลวนอวิ๋นชูหน้าแดงขึ้นมา
“อยู่ดีๆ เพราะเหตุใดต้องยกทัพไปบุกแคว้นชื่อด้วยเจ้าคะ ทำให้ราษฎรต้องเดือดร้อนมีชีวิตอยู่อย่างลำบาก”
“น้องสาวยังคงเป็นเช่นนี้ แม้จะสูญเสียความทรงจำแล้ว ก็ไม่ต้องการให้ทำสงคราม” เหยาหลันมองหลวนอวิ๋นชูแล้วยิ้ม “เจ้าคัดค้านเรื่องที่ฝ่าบาทร่วมกับแคว้นหลียกทัพไปกำจัดแคว้นชื่อ บอกหลายปีมานี้แคว้นหลีเตรียมพร้อมลับอาวุธ บำรุงม้าศึก แคว้นหลีในวันนี้ไม่เหมือนในอดีต มีเจตนาที่จะยึดครองใต้หล้ามานานแล้ว ที่พูดกันว่าเมื่อไม่มีปากฟันย่อมหนาวเหน็บ* แคว้นชื่อสูญสิ้น อันดับต่อไปก็คือแคว้นหลวน มีเพียงแคว้นหลวนและแคว้นชื่อร่วมมือกันต่อต้านแคว้นหลี จึงจะเป็นแนวทางในการเอาตัวรอด ที่ถังเซียวบัณฑิตสภาขุนนาง ทั่นฮวาปีที่สิบเอ็ดของรัชสมัยฮ่องเต้โม่ตี้โลหิตสาดในท้องพระโรง ถูกปลดจากขุนนางก็เพราะเรื่องนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะแคว้นหลวนไม่เคยมีตัวอย่างสังหารบัณฑิตมาก่อน เกรงว่าคงไม่มีชีวิตไปนานแล้ว”
คิดไม่ถึงว่าบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคผู้นี้ไม่เพียงสร้างผลงานด้านการเขียนได้ดี ยังเป็นบุคคลที่มีความรักชาติเช่นเดียวกับหลี่ชิงเจ้า**
เพียงแต่…เพราะเหตุใดรอยยิ้มของเหยาหลันจึงแปลกประหลาดเช่นนี้
พูดถึงถังเซียวโลหิตสาดในท้องพระโรง นายหญิงใหญ่ก็นึกขึ้นได้ ก่อนหลวนอวิ๋นชูจะออกเรือนก็เขียนกลอนแต่งบทกวี วิพากษ์วิจารณ์การบ้านการเมืองของราชสำนักกับเหล่าปัญญาชนในเมืองหลวนเฉิงตามอำเภอใจ สีหน้าพลันเยียบเย็นลงหลายส่วน
“เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของบุรุษ พวกเราอิสตรีเพียงทำหน้าที่ของตนใช้ชีวิตอยู่ในกรอบประเพณีก็พอ”
ด้วยไม่รู้ว่าถังเซียวเป็นเพราะได้รับความคิดจากบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคจึงได้โลหิตสาดในท้องพระโรง นางผู้ริเริ่มก่อเหตุย่อมกลายเป็นคนดัง กลายเป็นหัวข้อสนทนาตั้งแต่หัวถนนไปถึงท้ายตรอกในเมืองหลวนเฉิง หลวนอวิ๋นชูย่อมไม่รู้เพราะเหตุใดนายหญิงใหญ่จึงเปลี่ยนสีหน้า แม้จะอยากรู้ว่าเพราะเหตุใดแคว้นหลวนกับแคว้นหลีต้องร่วมมือกันกำจัดแคว้นชื่อ แต่กลับไม่กล้าถามอีก
หลวนอวิ๋นชูรับคำไปด้วยความไม่ชัดแจ้ง แล้วก้มหน้าปอกส้มสีทองอย่างสงบเสงี่ยม
เหยาหลันยิ้มน้อยๆ
นายหญิงใหญ่กลับจมอยู่ในความคิด
บรรยากาศเงียบสงัดลง
บรรดาบ่าวไพร่เริ่มรู้สึกหายใจไม่เต็มปอด พากันสงบปากคำระมัดระวังเนื้อระมัดระวังตัว
**** เตียงเตา (คั่ง) หมายถึงเตียงที่ก่อด้วยอิฐของชาวจีนทางตอนเหนือ ด้านล่างมีช่องสำหรับจุดไฟให้เตียงอุ่นและมีปล่องระบายควันออกไปนอกตัวบ้าน มักจะตั้งอยู่ข้างห้องครัวและอาศัยไฟจากการหุงหาอาหารช่วยให้เตียงอุ่นไปในตัว เวลานอนจะปูฟูกไว้ด้านบน เวลากลางวันเก็บฟูกขึ้นและใช้แทนโต๊ะได้
* ไม่กล้าก้าวข้ามแม่น้ำเหลยฉือแม้ก้าวเดียว เป็นคำอุปมา หมายถึงไม่กล้าก้าวข้ามเขตจำกัดหรือไม่กล้าล้ำเส้น มีที่มาจากสมัยจิ้นตะวันออก อวี่เลี่ยงเสนาบดีสนับสนุนให้เวินเจี้ยวไปเป็นขุนนางที่เจียงโจว เพื่อป้องกันข้าศึกจะรุกรานมาทางชายแดนตะวันตก ไม่นานอวี่เลี่ยงก็ได้รับรายงานว่าซูจวิ้นเจ้าเมืองลี่หยางวางแผนจะก่อกบฏ อวี่เลี่ยงคิดว่าตนฉลาด วางแผนจะหลอกซูจวิ้นเข้ามารับตำแหน่งที่เมืองหลวง ทุกคนต่างเห็นว่าแผนนี้ไม่เหมาะ เวินเจี้ยวก็เขียนจดหมายมาทัดทาน ซูจวิ้นเองก็ไม่หลงกล เห็นว่าราชสำนักสงสัยตนแล้วจึงยกทัพมาตีเมืองหลวงเสียเลย เวินเจี้ยวทราบเรื่องก็เตรียมยกกำลังมาช่วยป้องกันเมืองหลวง อวี่เลี่ยงกลับกลัวข้าศึกจะรุกรานมากกว่าจึงเขียนจดหมายไปยับยั้งเวินเจี้ยว ในจดหมายมีคำพูดประโยคหนึ่งบอกว่า ‘ท่านต้องอยู่รักษาการณ์ที่นั่น อย่าข้ามแม่น้ำเหลยฉือแม้ก้าวเดียว’ หมายถึงไม่ให้ข้ามแม่น้ำมาเมืองหลวง แต่อวี่เลี่ยงประเมินซูจวิ้นผิดไป ถูกกองทัพของซูจวิ้นตีแตกยับเยินต้องขอความช่วยเหลือจากเวินเจี้ยว ภายหลังจึงเอาชนะซูจวิ้นได้
** โคมดำ ในสมัยโบราณโคมไฟในวัดวาอารามของจีนจะหุ้มด้วยผ้าสีเขียวอมดำจึงเรียกว่าโคมดำ
* จุดไป่ฮุ่ย คือจุดสูงสุดตรงกลางศีรษะ เป็นศูนย์รวมประสาทเชื่อมโยงเส้นลมปราณทั่วร่างกายตามตำราแพทย์จีน
* ยกหินทับเท้าตัวเอง หมายถึงคิดจะทำร้ายผู้อื่น แต่ผลร้ายนั้นกลับย้อนมาหาตัวเอง
** ตบสะโพกม้า เป็นสำนวน หมายถึงประจบสอพลอ มีที่มาจากราชวงศ์หยวนชาวมองโกลมักทักทายกันด้วยการตบสะโพกม้าของอีกฝ่าย สำรวจความสมบูรณ์ของม้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง แล้วกล่าวอย่างติดปากว่า ‘ม้าดี’ เพื่อให้เจ้าของดีใจ ต่อมาคนก็เริ่มไม่สนใจดูว่าม้าดีจริงหรือไม่ เพียงกล่าวชื่นชมเอาใจ
*** พอตั้งราวไม้ไผ่ขึ้นก็เห็นเงา เป็นคำอุปมา หมายถึงสัมฤทธิผลทันที
**** พรรคกั๋วหมินตั่ง (ก๊กมินตั่ง) คือพรรคการเมืองแนวอนุรักษนิยมของจีน ตั้งขึ้นโดยซุนจงซาน (ซุนยัตเซ็น) ภายหลังการปฏิวัติล้มล้างราชวงศ์ชิง
* จอกสุราทองสำริดรูปแพะสี่ตัว เป็นเครื่องใช้ในการเซ่นไหว้ที่มีมาแต่สมัยราชวงศ์ซัง เป็นจอกทองสำริดทรงสี่เหลี่ยม แต่ละด้านแกะเป็นรูปแพะหนึ่งตัว โดยแพะถือเป็นสัตว์มงคล
** มามา โดยทั่วไปหมายถึงแม่ แต่สามารถใช้เป็นคำเรียกภรรยา หญิงสูงวัย และยังใช้เรียกแม่เล้าในหอนางโลมได้ด้วย
* เมื่อไม่มีปากฟันย่อมหนาวเหน็บ เป็นคำอุปมา หมายถึงสองฝ่ายต่างมีความสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น ต่างต้องพึ่งพาอาศัยกันเพื่อการดำรงอยู่
** หลี่ชิงเจ้า เป็นกวีหญิงในสมัยซ่ง (ค.ศ. 1084-ประมาณปี ค.ศ. 1151) เกิดในครอบครัวปัญญาชน ได้รับการศึกษาดี เป็นศิษย์ของซูตงโพยอดกวีเอก หลี่ชิงเจ้าแต่งงานกับเจ้าหมิงเฉิงบุตรชายของอัครเสนาบดีทั้งสองร่วมกันสร้างผลงานไว้มากมาย ต่อมาทัพจินบุกเข้ามา นางและสามีต้องอพยพมาอยู่หางโจว สามีป่วยเสียชีวิต ความเดียวดายและความยากลำบากทำให้บทกวีในยุคหลังของหลี่ชิงเจ้าค่อนข้างหม่นเศร้า