หมอหญิงพลิกธรรมเนียม - บทที่ 4
“ดูความจำของข้าสิ ตอนสะใภ้สี่แต่งเข้ามา คุณชายสี่ลุกจากเตียงไม่ไหวตั้งนานแล้ว ไม่มีผ้าพรหมจารี ย่อมเพราะไม่ได้เข้าห้องหอ” ท่ามกลางความตึงเครียดที่เพียงแตะก็พร้อมจะปะทุ เฉาเสวี่ยก็ตำหนิตนเองออกมา “ล้วนเป็นเพราะข้าไม่มีตา ปากมากพูดมาก” มองพานหมิ่นกับต่งซูอย่างนอบน้อมจริงใจ “สะใภ้สาม คุณหนูสามโปรดไว้หน้าข้าสักหน่อย พูดน้อยลงสักสองประโยค ได้หรือไม่”
“แต่ละคนก็ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ว่าสิ่งใดย่อมเปิดอกพูดได้” พานหมิ่นเลิกคิ้วเรียวงามดุจกิ่งหลิว “ไม่มีใครมีหน้าตามากไปกว่ากัน!”
“ใครบอกพี่สี่ลุกจากเตียงไม่ไหว สายตาหลายร้อยคู่มองเห็นอยู่ เขาเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินด้วยร่างกายที่ยังดีอยู่”
“นั่นสิ คุณชายสี่ที่ยังดีๆ อยู่ แต่งงานได้วันที่สองก็กระอักโลหิต หากไม่ใช่ดวงข่มกันจะเป็นอะไรได้!”
เฉาเสวี่ยใบหน้าซีดขาว หมุนตัวกลับไปนั่งคุกเข่าที่เดิม ไม่พูดอะไรอีก
ไม่มีคนไกล่เกลี่ยอีก ทุกคนต่างยินดีจะชมเรื่องสนุก ห้องด้านในที่ค่อนข้างเบียดเสียดพลันคึกคักขึ้นมาราวกับเปิดหม้อโจ๊ก* สีหน้าของฝูหรงได้เปลี่ยนเป็นมะเขือม่วงไปแล้ว
เหนือความคาดหมาย เลี่ยวจิ้งชูไม่ได้เสียหน้าจนพานโกรธอย่างที่คิด ยิ่งไม่ได้โต้ตอบด้วยถ้อยคำเผ็ดร้อน ราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน สีหน้านางสงบนิ่ง ตบๆ แขนฝูหรง แสดงท่าทีให้อีกฝ่ายหยิบเงินกระดาษมา
รับเงินกระดาษมาแล้ว เลี่ยวจิ้งชูก็คุกเข่าลงข้างกระถางดินเผาหน้าโลงศพ เผากระดาษอย่างตั้งอกตั้งใจ
ประหนึ่งฝ่ามือที่ฟาดออกไปตีถูกปุยฝ้าย พวกพานหมิ่นต่งซูร้องตะโกนมาครึ่งค่อนวัน ไม่มีคนโต้ตอบก็รู้สึกหมดสนุก ค่อยๆ หยุดปากลง มองเลี่ยวจิ้งชูพลางยิ้มหยัน
เผากระดาษได้พอสมควรแล้ว เลี่ยวจิ้งชูก็โขกศีรษะให้ต่งอ้ายสามทีอย่างนอบน้อม แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเศร้าอาดูร
“คุณชายสี่ ข้าเคยได้ยินว่าคนตอนตายช่วงแรกๆ ดวงวิญญาณจะเฝ้าอยู่ข้างกายคนใกล้ชิด ต้องเจ็ดวันแล้วจึงจะออกจากบ้านไปยมโลก ข้าทราบท่านจะต้องอยู่ที่นี่ เพียงแต่ข้ามองไม่เห็นท่าน”
คำพูดไม่กี่ประโยคทำเอาทุกคนขนลุกชันไปทั้งร่าง แผ่นหลังเย็นวูบ แล้วจึงนึกได้ว่าในเรือนหลังที่สี่ไม่ได้มีสะใภ้สี่เพียงคนเดียว ยังมีคุณชายสี่ที่นอนนิ่งอยู่ตรงนั้นอีกคน
โถงด้านในเงียบกริบขึ้นมาทันที ได้ยินเพียงเสียงเปลวไฟลุกอยู่ในกระถางดินเผากับเสียงพร่ำรำพันเบาๆ ของเลี่ยวจิ้งชูที่ทำให้คนขนพองสยองเกล้า
“คุณชายสี่ช่างใจร้าย ในเมื่อไม่อาจอยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า ไม่อาจปกป้องข้า ไยต้องแต่งข้าเข้ามาด้วย เวลานี้ท่านละจากโลกมนุษย์ ทิ้งข้าให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไร้ที่พึ่งพา ถูกคนข่มเหงรังแก” นางเติมเงินกระดาษลงไปอีกปึก “เดิมข้าคิดจะตามท่านไป แต่ก็จนใจสวรรค์ไม่ยอมรับ คิดว่าคงเป็นเพราะท่านเห็นว่าในโลกนี้ยังมีบิดามารดาอยู่ ความปรารถนาภายในใจยังไม่ลุล่วง จึงไม่ยอมให้ข้าติดตามท่านไป ข้าจะเชื่อฟังท่าน ยินดีทนทุกข์ทรมานต่อการพลัดพรากแยกจาก รั้งอยู่ในโลกปรนนิบัติบิดามารดาแทนท่าน ทำหน้าที่แทนท่านให้ครบถ้วน เพียงแต่…ร่างของท่านยังไม่ทันเย็น ข้าก็ถูกคนสบประมาทเหยียดหยาม ถูกคนว่าเป็นดาวหายนะ กระทั่งความบริสุทธิ์ก็ถูกซักถามตั้งข้อสงสัย”
พูดมาถึงตรงนี้ สายตาของนางก็กวาดผ่านใบหน้าทุกคนไปช้าๆ ทีละคน ฉับพลันนั้นในดวงตาที่เยียบเย็นอึมครึมก็มีความน่าสะพรึงกลัวอย่างบอกไม่ถูกอยู่ขุมหนึ่ง มองจนผู้คนหน้าซีดเผือด ฟันสั่นกระทบกัน แต่ละคนต่างลนลานก้มหน้า ไหนเลยจะกล้าสบตากับนาง
เลี่ยวจิ้งชูหยักยกมุมปาก มีรอยยิ้มที่ยากจะสังเกตเห็นผุดขึ้นมาจางๆ
“ไม่เป็นไรหากทำให้ความบริสุทธิ์ของข้าด่างพร้อย แต่ทำให้ท่านไม่อาจจากไปอย่างสงบสุข ชื่อเสียงมัวหมองย่อมเป็นความผิดของข้า ข้ารู้ท่านอยู่ที่นี่ และได้ยินคำพูดของข้า ถ้าคุณชายสี่ปวดใจและเวทนาสงสารข้าที่ต้องอยู่บนโลกใบนี้อย่างโดดเดี่ยวและลำบากยากแค้นตามลำพังจริง เห็นว่าข้าไม่ใช่ดาวหายนะ ยอมรับในความบริสุทธิ์ของข้า ก็ขอให้ท่านออกมาพูดจาให้ความเป็นธรรมต่อหน้าน้องสามีและพี่สะใภ้ทั้งหลายสักคำเถิด!”
เสียงใสเย็นเอ่ยออกมา ในความเศร้ารันทดเจือด้วยความน่าขนพองสยองเกล้า เสียงลมหนาวครางครวญพัดกระแทกช่องหน้าต่าง บรรยากาศอึมครึมน่าสะพรึงกลัว ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน ทุกคนมองไปที่ต่งอ้ายด้วยสัญชาตญาณ
ยังดี เขายังนอนสงบเสงี่ยมไม่ได้ขยับอยู่ที่นั่น เพียงแต่ตะเกียงฉางหมิง* ที่ปลายเท้าสั่นไหววูบวาบ เปล่งแสงสีน้ำเงินริบหรี่
“ขาวก็คือขาว ดำก็คือดำ จะแสร้งทำเป็นผีอะไร”
พอเห็นไม่มีอะไร พานหมิ่นก็ทำใจกล้าพูดออกมา ทำลายความหวาดหวั่นพรั่นพรึงทั้งห้องโถงด้านใน บรรยากาศที่อึมครึมน่าสะพรึงกลัวดูสดใสขึ้นมาหลายส่วน ทุกคนต่างถอนหายใจยาว คนที่ใจกล้าหน่อยกำลังจะเออออตาม ทันใดนั้นเอง ประหนึ่งจะเป็นจริงดังคำที่พูดไว้ จู่ๆ ตรงข้างกระถางดินเผาที่ร้อนผะผ่าวก็เกิดลมพัดหมุนขึ้น พัดจากโต๊ะวางของเซ่นไหว้ไปข้างหน้า พัดจนเงินกระดาษปลิวว่อนไปทั่ว ผ้าม่านขาวส่งเสียงพึ่บพั่บ ตะเกียงฉางหมิงที่ปลายเท้าต่งอ้ายยิ่งสั่นไหว เปลวไฟสีน้ำเงินริบหรี่พุ่งขึ้นสูง ส่งเสียงฟู่ๆ ราวกับงูพิษกำลังพ่นพิษ
เพราะลืมหาอะไรทับเงินกระดาษไว้ ทุกคนต่างเบิกตาโตด้วยความตื่นตระหนกตกใจ มองลมที่กำลังพัดหมุน พัดไปทางด้านหลังโต๊ะวางของเซ่นไหว้ พัดเลิกผ้าห่มสีแดงตรงศีรษะต่งอ้ายออกราวกับมีความรู้สึก เผยใบหน้าเขียวคล้ำน่าเกลียดน่ากลัวออกมาให้เห็น
“มารดาเถอะ! คุณชายสี่สำแดงฤทธิ์แล้ว”
“คุณชายสี่โปรดไว้ชีวิต”
“พี่ชายไว้ชีวิตด้วย น้องสาวไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินท่าน น้องสาวเชื่อแล้วว่าพี่สะใภ้สี่บริสุทธิ์ ต่อไปไม่กล้าพูดจาเหลวไหลแล้ว”
ไม่รู้ใครเป็นคนกรีดร้องออกมาคำแรก บริเวณด้านหน้าที่ตั้งศพพลันโกลาหลอลหม่านราวกับหม้อระเบิด ทุกคนคิดจะหนีไปตามสัญชาตญาณ กลับพบว่าสองขาราวถูกถ่วงด้วยตะกั่ว ถึงกับขยับไม่ได้แม้ครึ่งก้าว คุกเข่าอยู่ตรงนั้นเหมือนเป็นดินเลนไปแล้ว พากันโขกศีรษะราวกับถูกผีบงการ พูดจาแทบไม่เป็นภาษาวิงวอนให้ต่งอ้ายอภัย สาบานว่าต่อไปไม่กล้าซักถามตั้งข้อสงสัยเรื่องความบริสุทธิ์ของสะใภ้สี่อีกแล้ว
หลิ่วเอ๋อร์ที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังเลี่ยวจิ้งชูมาโดยตลอดถึงกับเนื้อตัวอ่อนระทวยเป็นลมหมดสติไป มีหญิงสูงวัยใจกล้าผู้หนึ่งโอบร่างไว้ ร้องเรียกเสียงดังขึ้นมา
ไม่แปลกที่คนเหล่านี้จะหวาดกลัว คนในสมัยโบราณเชื่อเรื่องงมงาย ลมหมุนที่เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันนี้เพียงพอที่จะทำให้คนขนพองสยองเกล้าแล้ว กอปรกับตอนต่งอ้ายสิ้นลม ทุกคนต่างก็เห็นใบหน้าที่เดิมขาวซีด มาบัดนี้จู่ๆ เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ ย่อมเป็นการบันดาลโทสะแน่นอน หมายออกหน้าแทนสะใภ้สี่ ทุกคนมีหรือจะไม่กลัว
ท่ามกลางความสับสนอลหม่าน ยังคงเป็นสะใภ้ใหญ่ที่สุขุมเยือกเย็น ไม่เห็นเลี่ยวจิ้งชูเคลื่อนไหว นางที่อยู่ห่างจากโต๊ะวางเครื่องเซ่นไหว้หลายช่วงแขนชั่วแวบเดียวก็ไปยืนอยู่เบื้องหน้าต่งอ้ายแล้ว มือนวลเนียนดุจหยกยกขึ้นน้อยๆ ขยับผ้าห่มฟ้าดินที่ตลบออกปิดกลับไป บังใบหน้าเขียวคล้ำน่าเกลียดน่ากลัวดวงนั้นไว้
ใบหน้าของต่งอ้ายถูกปิดบังไว้ ลมหมุนก็สลายไป ทุกคนต่างอ่อนแรงทรุดฮวบลงกับพื้น
เลี่ยวจิ้งชูไม่ได้เชื่อเรื่องงมงาย นางย่อมไม่เชื่อว่าต่งอ้ายจะออกหน้าแทนหรือสำแดงฤทธิ์จริง ถึงอย่างนั้นนางก็ถูกทำให้ตะลึงงันไปเช่นกัน
ไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนกลัว แต่เป็นเพราะใบหน้าที่เขียวคล้ำน่าเกลียดน่ากลัวดวงนั้น!
เดิมทีเลี่ยวจิ้งชูฟังคนอื่นพูดมารู้สึกขัดหูยิ่ง เพลิงโทสะลุกโชนอยู่ในใจนานแล้ว แต่นางก็รู้ เรื่องพัวพันถึงความบริสุทธิ์ตนเอง นางโต้ข้อกล่าวหาต่อหน้าผู้คน รังแต่จะยิ่งทาก็ยิ่งดำ*
จะอย่างไรนางก็เป็นคนยุคปัจจุบัน เห็นทุกคนรังแกหญิงม่ายตัวคนเดียว ถึงกับใส่ร้ายป้ายสีสาดโคลนต่อหน้าต่อตา ในใจก็โกรธยากจะข่มกลั้นอารมณ์ไหว แม้จะรู้ว่าเอ่ยปากโต้แย้งเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาด แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้คนเหล่านี้ได้ใจเช่นนี้ ขณะไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่นั้น นางก็เหลือบไปเห็นหน้าต่างทางด้านใต้ที่เอากระดาษกรุหน้าต่างออกไปแล้ว จึงพลันเกิดประกายความคิด คิดวิธีให้คนตายช่วยออกหน้าแทนนางออกมาได้
ว่ากันตามข้อเท็จจริง อุปกรณ์สร้างความอบอุ่นในสมัยโบราณค่อนข้างแย่ ในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่ยังหนาวเย็นจะไม่เปิดหน้าต่างเร็วเช่นนี้ ทว่าห้องที่ตั้งศพจะต่างออกไป ต้องเผาเงินกระดาษ กระดาษในกระถางดินเผาไม่อาจขาดช่วง เขม่าควันมากเกินไปย่อมต้องเปิดหน้าต่าง
หน้าต่างมีลมเย็นพัดเข้ามาเสมอ ทำให้หญิงสาวนึกถึงภาพยนตร์ชื่อดังของอเมริกาอย่างเรื่อง ‘พายุหมุน’** ซึ่งพายุหมุนนี้เกิดจากกระแสลมร้อนกับกระแสลมเย็นปะทะกัน
การเผากระดาษตามปกติ เพื่อไม่ให้เขม่าควันมากเกินไปและทำให้กระถางดินเผาร้อนมากจนแตกปริ ส่วนใหญ่ก็จะใส่เงินกระดาษลงไปในกระถางทีละแผ่นๆ แต่เลี่ยวจิ้งชูไม่ใช่ คล้ายต้องการจะสร้างความอบอุ่น นางเติมกระดาษลงไปในกระถางดินเผาจนเต็ม เผาจนไฟลุกโชน เปลวไฟลุกสูงเกินคืบ พวกบ่าวไพร่แม้จะเห็นแล้วขัดตา แอบบ่นว่านางใจร้อนเกินไป แต่นางเป็นภรรยาของผู้ตาย ไว้อาลัยด้วยความเศร้าโศกให้สามีที่ตายไป อยากจะส่งเงินให้มากหน่อย ใครก็ไม่กล้าห้ามปราม
เมื่อเป็นเช่นนี้ไม่นานบริเวณรอบกระถางดินเผาก็ร้อนขึ้นมา ประจวบเหมาะกับลมหนาวขุมหนึ่งพัดเข้ามา ครั้นแล้วจึงเกิดฉากเช่นเมื่อครู่ก่อน
ส่วนที่ว่าลมพัดเปิดผ้าห่มฟ้าดินบนใบหน้าต่งอ้ายออก ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกตกใจจนแทบฉี่ราดนั้นกลับเป็นความบังเอิญโดยแท้ เลี่ยวจิ้งชูเองก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดผลที่เกินความคาดหมายเช่นนี้ ขณะแอบขอบคุณสวรรค์ที่ช่วยเหลือ นางก็อดตื่นตระหนกตกใจกับใบหน้าของต่งอ้ายไม่ได้
ป่วยด้วยโรคอะไร หลังจากตายไปแล้วจึงทำให้ผิวหน้าของคนเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำเช่นนี้ได้
พลิกหาในความทรงจำจนทั่ว เลี่ยวจิ้งชูก็คิดอะไรไม่ออก นางพลันรู้สึกว่ามีดวงตาดุจดวงดาวเย็นยะเยือกคู่หนึ่งกำลังมองจ้องนางอยู่ เลี่ยวจิ้งชูมองตอบไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง กลับเป็นสะใภ้ใหญ่ที่กำลังมองประเมินนางอย่างเย็นชา ร่างพลันสั่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ช่างเป็นแววตาที่คมกริบเยือกเย็นเสียนี่กระไร หรือว่านางไม่กลัวผี
ขณะกำลังคาดเดาก็มีเสียงร้องตะโกนดังขึ้นมาจากด้านนอก
“บัณฑิตกองอาลักษณ์ ราชบัณฑิตสภาขุนนาง จ้วงหยวน* ปีที่สิบสองแห่งฮ่องเต้โม่ตี้ ลู่เซวียน ชื่อรอง** ลู่เหวินฮั่น มาเคารพศพ!”
ในห้องโถงใหญ่มีเสียงอึงอลดังขึ้นมาทันที มองผ่านผ้าโปร่งบางที่กั้นอยู่ เห็นเพียงบุรุษท่าทางสุภาพเรียบร้อย สวมเสื้อคลุมยาวสีคราม สวมผ้าโพกศีรษะที่ทำจากผ้าไหมสีเขียว เดินเข้ามาตามทางเดินด้วยท่าทางสุขุมเยือกเย็น
หน้าตาหล่อเหลาคมคายของเขามีดวงตาลึกล้ำดุจสระน้ำดำมืด เปล่งประกายสดใส หว่างคิ้วมีกลิ่นอายของความสง่าผ่าเผยแบบปัญญาชน เลี่ยวจิ้งชูมองดวงหน้าที่คล้ายเคยรู้จักมาก่อน จิตใจพลันเหม่อลอยไปชั่วขณะ
คนผู้นี้คือใคร ไยถึงรู้สึกคุ้นเคยมาก
“สะใภ้สี่ ท่านแต่งให้คุณชายสี่แล้ว ยังคงลืมเขาเสียเถิด” ฝูหรงสะกิดนางเบาๆ “สะใภ้สามกำลังจับตามองท่านอยู่”
เลี่ยวจิ้งชูหันหน้ามาด้วยความฉงน “เขาคือใคร”
ฝูหรงเกือบจะกัดลิ้นตนเองขาด เหตุใดข้าลืมไปเสียได้ สะใภ้สี่สูญเสียความทรงจำแล้ว
“เขาก็คือคุณชายลู่ เป็นลูกศิษย์ที่ท่านอัครเสนาบดีเหยาภาคภูมิใจ และเป็นแขกประจำของจวนหัวหน้าสำนักศึกษาหลวง” เลี่ยวจิ้งชูหรี่ตามอง แววตาคุกคามคน ฝูหรงจึงตอบไปตามตรง “ท่านกับเขา…ถูกคอกัน…มาก” แล้วทำปากยื่นบอก “เขากับจวนกั๋วกงแต่ไรมาไม่เคยไปมาหาสู่กัน”
“ลูกศิษย์ของอัครเสนาบดีเหยา?”
“อัครเสนาบดีเหยาเป็นบิดาของสะใภ้ใหญ่”
“สะใภ้ใหญ่ถึงกับเป็นบุตรสาวของอัครเสนาบดี?” เลี่ยวจิ้งชูอึ้งตะลึง “นางชื่ออะไรหรือ”
มิน่าเล่า สะใภ้ใหญ่ถึงสุขุมเยือกเย็นเพียงนี้ จัดการเรื่องราวได้อย่างฉลาดเฉียบแหลม สามารถเก็บงำความรู้สึกไม่เผยออกมา ไม่ใช่ท่าทีแบบพานหมิ่นที่พาลพาโลไม่ฟังเหตุผล ที่แท้ก็เป็นบุตรสาวของอัครเสนาบดี ไม่รู้พานหมิ่นเป็นบุตรสาวของผู้ใด
“สะใภ้ใหญ่ชื่อเหยาหลัน เป็นบุตรสาวคนรองของภรรยาเอกของท่านอัครเสนาบดีเหยา พี่สาวแม่เดียวกันของนางคือ…” เห็นลู่เซวียนคุกเข่าลง ฝูหรงรีบดึงมือนาง “สะใภ้สี่รีบคารวะตอบเจ้าค่ะ”
เลี่ยวจิ้งชูโขกศีรษะสามครั้งตอบลู่เซวียนผ่านม่านบางที่กั้นอยู่ นับเป็นการคารวะตอบ
ลู่เซวียนหาได้ลุกขึ้น เขารับเงินกระดาษที่เด็กรับใช้ยื่นส่งให้ ใส่ลงเผาในกระถางดินเผา ท่องบทกวีเสียงดัง
“แสนอนิจจาต่งอ้าย! โชคร้ายจากไปแต่เยาว์วัย! ยามมีชีวิตเป็นอัจฉริยะ จากไปแล้วเป็นวีรบุรุษ ชีวิตคนแสนสั้น”
น้ำเสียงเจ็บปวดรวดร้าวสะเทือนใจดังกังวานไปทั่วห้องโถงใหญ่ โถงที่ตั้งศพเงียบสงบลงทันที
เลี่ยวจิ้งชูแอบมองไป ก็สบเข้ากับสายตาของลู่เซวียนที่มองมาพอดี ดวงตาทั้งสองมองประสานกัน ราวมีไฟฟ้าผ่านร่าง เลี่ยวจิ้งชูเนื้อตัวสั่นเทา ความเวทนาสงสารปวดใจและความอบอุ่นจางๆ ที่พรั่งพรูออกมาจากดวงตาคู่นั้นในพริบตาที่สบประสานกัน ทำให้นางรู้แล้วว่าเพราะเหตุใดจึงรู้สึกคุ้นเคยมากเพียงนั้น
ดวงตาที่ลึกล้ำเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกคู่นี้คล้ายคลึงกันมากกับดวงตาของเขาเมื่อชาติก่อน ชั่วขณะนั้นเลี่ยวจิ้งชูรู้สึกว่าคนทั้งห้องโถงที่ตั้งศพต่างได้ยินเสียงหัวใจเต้นของนาง ริ้วแดงค่อยๆ ผุดขึ้นมาที่สองข้างแก้ม
“ฮึ บอกแล้วว่านางเป็นพวกมีนิสัยเหมือนน้ำ*!”
เห็นเลี่ยวจิ้งชูกับลู่เซวียนส่งสายตาให้กัน ใบหน้าแดงซ่าน พานหมิ่นก็พูดจากระทบกระเทียบขึ้นมาอีก ต่งซูก็พลอยแค่นเสียงหัวเราะตามมา
“นั่นสิ ปกติเขากับจวนของเราไม่เคยไปมาหาสู่กัน ปีที่แล้วยังแต่งบทกวีถากถางพี่สี่ที่กองอาลักษณ์อยู่เลย ชั่วพริบตาเดียวก็แต่งคำไว้อาลัยที่เศร้าสะเทือนใจเช่นนี้ออกมา อยากดึงดูดความสนใจจากใครกัน ผี…”
คำพูดออกมาได้ครึ่งหนึ่งก็สบเข้ากับสายตาเยียบเย็นคมกริบของเลี่ยวจิ้งชูเข้า ต่งซูอดเนื้อตัวสั่นไม่ได้ เสียงพลันขาดห้วงหายไปอย่างฉับพลัน
นางนึกได้ว่าต่งอ้ายยังนอนอยู่ที่นั่นอยู่
พานหมิ่นและต่งซูก้มหน้าลง คนอื่นๆ ย่อมไม่กล้าส่งเสียงอยู่แล้ว เห็นทุกคนสงบปากลง เลี่ยวจิ้งชูแอบกัดฟันอยู่เงียบๆ
นางไม่ใช่หญิงที่ยอมพลีชีพเพื่อครองพรหมจรรย์ นางรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ถ้านางทะลุมิติมาและถูกลิขิตให้แต่งงานเป็นสามีภรรยากับต่งอ้าย นางก็จะไม่บ่นว่า จะจัดการงานการในเรือนอย่างดี ถึงแม้จะไม่มีความรักต่อกัน ขอเพียงสองคนดูแลกัน เคารพและให้เกียรติกัน ย่อมใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสงบสุขได้
ทว่าเวลานี้คนเพียงคนเดียวที่สามารถปกป้องดูแลนาง บังลมบังฝนให้นางได้จากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งที่ทิ้งไว้ให้นางกลับเป็นคำใส่ร้ายป้ายสี เวลานี้เลี่ยวจิ้งชูเข้าใจอย่างลึกซึ้ง แม้นางจะมีฐานะสูงส่งเป็นถึงสะใภ้ของจวนแห่งนี้ เป็นบุตรสาวภรรยาเอกของหัวหน้าสำนักศึกษาหลวง เป็นบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคของเมืองหลวนเฉิง แต่ในเรือนลึกของจวนแห่งนี้ เพราะสามีของนางได้ตายไป นางจึงเป็นหญิงที่ไร้ที่พึ่งพาแล้ว
ยังดี ท่านน้าหลวนมารดาของร่างนี้อยู่ในจวน นางจะต้องหว่านล้อมให้ตนกลับไปครองความเป็นม่ายที่จวนหัวหน้าสำนักศึกษาหลวงให้ได้
ไม่ว่าอย่างไรจวนกั๋วกงแห่งนี้ก็อยู่ไม่ได้แล้ว!
เสียงพูดดังๆ เบาๆ บางครั้งก็แผ่วหายของลู่เซวียนคล้ายเพลงพร่ำรำพันบทหนึ่ง ดังแทรกผ่านม่านบางสลัวเลือนรางวนเวียนไปทั่วโถงด้านใน ฉับพลันนั้นคล้ายได้แปรเปลี่ยนไปเป็นบทเพลง ‘หงส์วอนรัก’** ที่มีท่วงทำนองอันงดงามอย่างมหัศจรรย์ แววตาของเลี่ยวจิ้งชูค่อยๆ ลึกล้ำขึ้นมา…
ดวงตาคู่นั้นต้องเป็นดวงตาของเขาแน่นอน เขามาหาข้าแล้ว ข้าจะผูกบุพเพในกาลก่อนกับเขาต่อไป!ลมหนาวหอบหนึ่งจู่โจมมา เลี่ยวจิ้งชูตัวสั่นสะท้านขึ้นมาทันที หันไปมองตะเกียงฉางหมิงตรงปลายเท้าต่งอ้ายที่ประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่างตามจิตใต้สำนึก
ต่งอ้ายกำลังตำหนิข้าอยู่หรือ
ฟังเสียงฟู่ๆ ราวกับงูพ่นพิษนั่น เลี่ยวจิ้งชูหยักยกมุมปากจางๆ ยิ้มเยาะตนเอง
สามีร่างยังไม่ทันเย็น นางก็คิดเรื่องแต่งงานใหม่ในห้องโถงตั้งศพแล้ว นับแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบันไม่รู้ใช่มีนางเป็นคนแรกหรือไม่
แต่ถ้าไม่คิดถึงเรื่องเหล่านี้ นางยังจะทำสิ่งใดได้
เบื้องบนมีแม่สามีที่คิดจะวางยาพิษให้นางเป็นใบ้ เบื้องล่างมีน้องสามีที่ปากคมชอบเหน็บแนมอย่างเจ็บปวด บรรดาสะใภ้ด้วยกันแต่ละคนก็ดูลึกลับมีเลศนัยเข้าใจยาก ยังมีพี่สามีจอมเจ้าชู้ที่คอยจ้องนางตาเป็นมันอีกคน
ประตูคฤหาสน์หลังใหญ่ที่มืดทะมึนเช่นนี้ จะให้นางที่เป็นคนในสมัยปัจจุบันซึ่งไม่มีความรู้เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณีในสมัยโบราณแม้แต่น้อย…มีชีวิตรอดอยู่ได้อย่างไร
ถ้าเป็นไปได้ นางก็ไม่อยากเป็นเช่นนั้น
* เปิดหม้อโจ๊ก มาจากสำนวน ‘เปิดหม้อ’ ซึ่งใช้เปรียบถึงบรรยากาศอึกทึกครึกโครม เหมือนกับน้ำหรือของเหลวที่เดือดพล่านอยู่ในหม้อ
* ตะเกียงฉางหมิง แปลตรงตัวว่าตะเกียงสว่างยาวนาน เป็นโคมหรือตะเกียงที่จุดแล้วอยู่ได้ตลอดทั้งคืนไม่มีดับ โดยมากใช้จุดบูชาหน้าพระพุทธรูป และยังนิยมจุดในคืนวันตรุษเข้าสู่วันปีใหม่หรือจุดสักการะในสุสานกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์
* ยิ่งทาก็ยิ่งดำ หมายถึงเรื่องไม่ดีเมื่อถูกเปิดโปงแล้วยิ่งอธิบายแก้ตัวก็ยิ่งไม่น่าฟัง และทำให้คนสนใจและรู้ในเรื่องที่ไม่เคยรู้มากขึ้น
** ‘พายุหมุน’ หรือภาพยนตร์เรื่องทอร์นาโดมฤตยูถล่มโลก (Twister) เป็นภาพยนตร์มหากาพย์การผจญภัยของอเมริกาในปี 1996 โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ
* การสอบขุนนางในสมัยโบราณ (เคอจวี่) แบ่งเป็นฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ โดยสอบเลื่อนทีละระดับชั้น เริ่มจากระดับอำเภอหรือจังหวัด เรียกว่าการสอบถงซื่อ ผู้สอบผ่านจะได้เป็นซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าร่วมสอบเซียงซื่อในระดับมณฑล หากสอบผ่านจะได้เป็นจวี่เหริน ซึ่งต้องเข้ามาสอบระดับฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวงเพื่อขึ้นเป็นจิ้นซื่อ ได้บรรจุเข้ารับราชการ เมื่อผ่านการสอบทั้งสามระดับจะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งคือการสอบเตี้ยนซื่อเพื่อคัดเป็นบัณฑิตเอกสามชั้น ซึ่งบัณฑิตเอกชั้นหนึ่งมีสามคน เรียงตามคะแนนเรียกว่าจ้วงหยวน (จอหงวน) ปั่งเหยี่ยน และทั่นฮวา
** ชาวจีนสมัยโบราณมีชื่อเรียกขานหลากหลาย โดยทั่วไปมี ‘นาม (หมิง 名)’ คือชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้แต่กำเนิด ‘ชื่อรอง (จื้อ 字)’ เป็นชื่อที่อาจารย์ตั้งให้เมื่อเข้ารับการศึกษา มักสอดคล้องกับนาม หรือเพิ่มคำนำหน้าให้เหมือนกันในหมู่พี่น้องเพื่อบ่งบอกรุ่นในวงศ์ตระกูล นอกจากนี้ผู้มีความรู้มีตำแหน่งหน้าที่อาจตั้ง ‘ฉายา (เฮ่า 号)’ ของตนเองเพื่อใช้ในวงการ
* เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงผู้หญิงหลายใจ เปลี่ยนแปลงง่าย เอาแน่เอานอนไม่ได้ ไหลไปเรื่อยเหมือนน้ำ
** หงส์วอนรัก หรือหงส์ผู้จีบหงส์เมีย (เฟิ่งฉิวหวง) เป็นชื่อเพลงพิณในสมัยฮั่น