หมอหญิงพลิกธรรมเนียม - บทที่ 3
มีหญิงรับใช้สูงวัยช่วยนำทาง เลี่ยวจิ้งชูค่อยๆ เยื้องย่างเข้าไปในห้องโถงพิธี เพียงเห็นผ้าแพรยาวสีขาวเป็นผืนๆ ห้อยเรียงรายล้อมรอบอยู่ แบ่งห้องโถงใหญ่ออกเป็นสองด้าน โดยมีทางเดินอยู่ตรงกลาง ด้านขวามีภิกษุหลายสิบรูป สองมือพนมส่งเสียงสวดมนต์ให้ดวงวิญญาณผู้วายชนม์ ด้านซ้ายเป็นแขกที่มาร่วมพิธี สุดปลายทางเดินก็คือที่ตั้งศพ มีผ้าม่านบางกั้นอยู่ชั้นหนึ่ง มองไปเห็นสมาชิกในครอบครัวที่เป็นหญิงคุกเข่าอยู่กลุ่มหนึ่ง มีหญิงรับใช้สูงวัยกลุ่มหนึ่งส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญราวกับร้องเพลงดังแว่วออกมาประหนึ่งผีสำลัก…
“สะใภ้สี่มาถึงแล้ว!”
พร้อมกับเสียงร้องตะโกนที่ดังขึ้น เสียงอึงอลในห้องโถงพลันหยุดลง แม้แต่เสียงร้องไห้คร่ำครวญราวกับร้องเพลงก็หยุดลงด้วย เสียงสวดมนต์เบาๆ ของเหล่าภิกษุดังชัดเจนขึ้นมาทันที สายตานับสิบนับร้อยคู่จับนิ่งมาที่ร่างของเลี่ยวจิ้งชู
มีคำโบราณกล่าวไว้ ‘อยากเป็นคนงาม ต้องสวมชุดขาว’
นางสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ดุจหิมะ คิ้วเรียวงามขมวดมุ่นน้อยๆ ร่างอรชรอ้อนแอ้น มองจากไกลๆ คล้ายเทพธิดาที่อิ่มทิพย์ไม่กินอาหารในแดนมนุษย์ มองบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคที่เป็นแม่ม่ายใหม่ผู้นี้แล้ว ในดวงตาที่เร่าร้อนทุกคู่มีความเสียดาย มีความเวทนาสงสาร และก็มีคนที่ดีใจบนความโชคร้ายของผู้อื่น
เลี่ยวจิ้งชูเหยียดไหล่ตรง เดินช้าๆ ผ่านผ้าม่านไปทีละชั้นเข้าไปยังที่ตั้งศพพร้อมกับฝูหรง
“ของพวกนี้ส่วนใหญ่คนของสำนักศึกษาหลวงเป็นผู้ทำมา” ฝูหรงชี้ไปที่คำกล่าวไว้อาลัยเป็นแผ่นๆ “ท่านดูสิ แม้แต่คุณชายถังก็ส่งมาแล้ว ตอนคุณชายสี่ยังมีชีวิตอยู่ชิงชังพวกเขาเป็นที่สุด บอกพวกเขาเป็นพวกครวญครางทั้งที่ไม่มีโรค* พวกเขาเองก็ไม่เคยย่างก้าวเข้าประตูจวนกั๋วกง โดยเฉพาะคุณชายถังผู้นี้ ทั่วร่างเต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี นอกจากคุณชายลู่แล้ว ก็นับว่าเขาเป็นคนที่ไม่ถูกชะตากับคุณชายสี่ที่สุดแล้ว” ในน้ำเสียงเจือความภาคภูมิใจขุมหนึ่ง “วันนี้ที่เขามาได้ ต้องเป็นเพราะเห็นแก่หน้าท่านเจ้าค่ะ”
เลี่ยวจิ้งชูกวาดตามองผ่านๆ พบว่าทั้งสองฟากของทางเดินมีคำกล่าวไว้อาลัยแขวนอยู่เต็มไปหมด คำกล่าวไว้อาลัยระผ่านหน้านางไปเป็นแผ่นๆ ราวกับจะรอรับความชื่นชม เสียดาย…นางไม่รู้จักตัวอักษรแม้แต่ตัวเดียว
เลี่ยวจิ้งชูส่ายหน้า ทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง
ไหนเลยจะรู้ การส่ายหน้าอย่างไม่ตั้งใจของนางในครั้งนี้ กลับนำมาซึ่งเสียงทอดถอนใจอย่างต่อเนื่อง ห้องโถงที่บรรยากาศเคร่งขรึมพลันไม่สงบขึ้นมา ทุกคนไม่รู้ว่านางไม่รู้หนังสือ ต่างเข้าใจว่าคำไว้อาลัยที่พวกเขาเค้นสมองครุ่นคิดออกมา ไม่เข้าตาทิพย์ของบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุคท่านนี้แม้แต่น้อย อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจด้วยความเศร้าสร้อย จะอย่างไรพวกเขาก็ไม่ได้ผ่านความเศร้าโศกและเจ็บปวดรวดร้าวใจแบบเดียวกับนาง ย่อมเขียนคำไว้อาลัยที่ลึกซึ้งตราตรึงใจออกมาไม่ได้
ความไม่สงบที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นมาทำให้เลี่ยวจิ้งชูรู้สึกตื่นตระหนก นางไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิดไป ดีที่มีฝูหรงประคองอยู่ จึงไม่ถึงกับเสียการควบคุมตัว เพียงยืดอกเดินไปยังที่ตั้งศพอย่างไม่รีบไม่ร้อนภายใต้สายตาผู้คนที่มองมา
สาวใช้เลิกม่านขึ้น เลี่ยวจิ้งชูเดินช้าๆ เข้าไปในโถงด้านใน ข้างในถึงกับมีคนนั่งคุกเข่าอยู่หลายสิบคน ค่อนข้างเบียดเสียด แต่กลับไม่ไร้ระเบียบ เห็นนางเดินเข้ามา ดวงตาหลายสิบคู่ต่างพุ่งมาที่ร่างของนาง แต่กลับไม่ได้พูดอะไร เงียบสงัดกดดันจนทำให้คนรู้สึกหายใจไม่ออก
เลี่ยวจิ้งชูมองผ่านไปทีละคน นอกจากสะใภ้ใหญ่แล้วก็ไม่รู้จักใครเลยสักคน
ฝูหรงรู้ว่านางความจำเสื่อม เห็นสายตานางจับนิ่งไปที่ร่างหญิงสาวไหล่บางเอวเล็กอ่อนช้อยละมุนละไมที่อยู่ข้างสะใภ้ใหญ่ จึงกระซิบบอก “นางคือสะใภ้รอง ชื่อเฉาเสวี่ย เป็นบุตรสาวจากภรรยาเอกของผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายสำนักตรวจการนครหลวง** ในบรรดาสะใภ้หลายคนในจวน นางสุภาพอ่อนโยนที่สุด”
มองประเมินเฉาเสวี่ยอยู่ครู่หนึ่ง สายตาก็เคลื่อนไปที่ร่างหญิงสาวแต่งตัวแบบคนที่แต่งงานแล้วอีกคนหนึ่ง ก่อนสบเข้ากับสายตาที่มองมาด้วยความเกลียดชังคู่หนึ่ง เลี่ยวจิ้งชูใจสั่นสะท้าน นางเพิ่งจะแต่งเข้ามาได้สามวัน ไฉนคนผู้นี้จึงดูเกลียดชังนางมากถึงเพียงนี้
หรือว่าเป็นอนุของต่งอ้าย? ความเกลียดชังที่เผยออกมาอย่างไม่ปิดบัง ทำให้เลี่ยวจิ้งชูนึกขึ้นมาได้ บุรุษในสมัยโบราณสามารถมีสามภรรยาสี่อนุได้ จึงมองสตรีผู้นั้นอีกหลายครั้ง
ทุกคนต่างคุกเข่าอยู่ มองไม่ออกว่ารูปร่างสูงหรือเตี้ย เพียงรู้สึกว่าคนผู้นี้รูปร่างดูจะใหญ่โตและแข็งแรงกว่าเฉาเสวี่ย ใบหน้ารูปไข่เป็ด หางคิ้วชี้ ไม่เหมือนสะใภ้ใหญ่ที่เก็บความรู้สึกไม่เปิดเผย ในดวงตารูปเมล็ดซิ่ง* ของคนผู้นี้มีประกายเฉลียวฉลาดที่ติดตัวมาแต่เกิด ยังมีริมฝีปากบางเฉียบที่เจ้าคารมช่างเจรจา เพียงเห็นก็รู้ว่าเป็นคนที่ไม่ยอมเสียเปรียบใคร
“นางคือสะใภ้สาม ชื่อพานหมิ่น ได้ชื่อว่าเป็นหญิงปากร้ายในจวนแห่งนี้ สะใภ้สี่จะพูดจากับนางต้องระวังสักหน่อย”
เดิมเข้าใจว่าเป็นอนุเสียอีก ที่แท้ถึงกับเป็นสะใภ้คนหนึ่ง!
ฟังคำแนะนำจากฝูหรงแล้ว เลี่ยวจิ้งชูนึกสงสัยอยู่ในใจ ระหว่างสะใภ้ด้วยกัน อย่างมากก็ทะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องทรัพย์สินสิ่งของ นางไปเอาความเกลียดชังมากมายมาจากที่ใด ราวกับข้าไปแย่งชิงบุรุษของนางมาเช่นนั้น
ในใจฉงนสงสัย ทว่ากลับไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้า เลี่ยวจิ้งชูมองไปทางคนอื่นๆ ต่อ หญิงสาวสองคนที่นั่งอยู่ใกล้กับพวกนางซึ่งมีเพียงสายรัดเอวกับผ้าโพกศีรษะดูแตกต่างจากพวกสะใภ้ กับหัวผักกาดน้อย** อายุห้าหกขวบที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอีกสามคน แต่กลับสวมชุดไว้ทุกข์หนัก
ไม่ต้องบอก…หัวผักกาดน้อยสามคนนั้นจะต้องเป็นคุณชายห้า คุณชายหก คุณชายเจ็ด เช่นนั้น…หญิงสาวสองคนนี้ก็คงเป็นน้องสามีแล้ว
“คุณหนูสามกับคุณหนูสี่” ฝูหรงเอ่ยขึ้นมาอย่างเหมาะกับเวลา “แจ้งข่าวให้คุณหนูใหญ่และคุณหนูรองทราบแล้ว สองวันนี้คงกลับมาถึงจวนเจ้าค่ะ” พูดพลางฝูหรงก็ประคองนางให้คุกเข่าลง “สะใภ้สี่นำร้องไห้ได้แล้วเจ้าค่ะ”
ร้องไห้?!
เลี่ยวจิ้งชูชะงักอึ้ง นางลืมไปแล้วว่ามาที่ห้องโถงตั้งศพก็เพื่อร้องไห้
ไม่ใช่ก๊อกน้ำสักหน่อย จะบอกให้น้ำตาไหลก็ไหลออกมาเลยได้อย่างไร เลี่ยวจิ้งชูคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ดวงตากะพริบปริบๆ แต่กลับเค้นน้ำตาไม่ออกสักหยด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะเหมือนเสียงร้องไห้อันยอดเยี่ยมของหญิงรับใช้สูงวัยเหล่านั้นที่ส่งเสียงสูงต่ำเปลี่ยนท่วงทำนอง เดี๋ยวขาดห้วงเดี๋ยวต่อเนื่องเป็นระยะ
สายตาที่พุ่งมารวมอยู่บนใบหน้าของเลี่ยวจิ้งชูเริ่มเปลี่ยนเป็นร้อนเหมือนไฟ นางได้ยินกระทั่งเสียงหัวเราะเยาะดังมาจากในหมู่คน ใจก็เต้นตึกตักขึ้นมา
ขณะทำอะไรไม่ถูกอยู่นั้น ก็ได้ยินคนร้องตะโกนขึ้นมาในห้องโถง
“พระราชโองการมาถึง!”
เสียงตะโกนดังกังวาน แม้แต่ภิกษุที่สวดมนต์ยังต้องหยุด ห้องโถงที่กว้างใหญ่มีคนหลายร้อยคนเงียบกริบลงราวกับเข้าไปอยู่ในจอภาพยนตร์ไร้เสียง รวมถึงคนที่ร้องตะโกนเมื่อครู่ก็คุกเข่าลงไปอย่างนอบน้อม
เลี่ยวจิ้งชูลอบมองไปที่หน้าประตู เพียงเห็นเด็กรับใช้สวมเสื้อผ้าด้ายดิบเดินเร็วๆ เข้าประตูมาสองแถว จากนั้นก็ดึงผ้าแพรที่ล้อมอยู่ตามทางเดินออกอย่างรวดเร็ว ที่ตามพวกเขาเข้ามาติดๆ คือขันทีน้อยซึ่งเดินเรียงแถวหน้ากระดานเข้ามาสองแถวแล้วแยกออกไปยืนสองข้างทางเดิน สองมือห้อยอยู่ข้างตัว ตามองตรง
เด็กรับใช้ที่ดึงผ้าแพรเหล่านั้นเดินตรงไปข้างหน้าไม่หยุด เหลือเพียงม่านบางที่กั้นส่วนสมาชิกครอบครัวไว้จึงนับว่าเสร็จสิ้น พากันล่าถอยไปนั่งคุกเข่าที่ด้านหลัง
จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นระลอกหนึ่ง ขันทีสวมเสื้อคลุมสองคนประคองพระราชโองการสองม้วนอย่างนอบน้อม ยืดอกเชิดหน้าเดินเข้ามา ข้างหลังมีบุรุษวัยกลางคนท่วงทีองอาจห้าวหาญคนหนึ่งกับชายหนุ่มรูปงามท่าทางสะโอดสะองคนหนึ่งเดินตามติดเข้ามา ต่างอยู่ในชุดขาว สูงค่าแต่ไม่หรูหรา ศีรษะไม่ได้สวมรัดเกล้า เอวผูกสายรัดผ้าด้ายดิบ
พวกเขาคือใคร
ขณะที่เลี่ยวจิ้งชูต้องคาดเดาอยู่นั้น ขันทีผู้นั้นก็หันหน้าไปทางทิศใต้และยืนมั่น ปากก็ส่งเสียงร้องขึ้น
“เจิ้นกั๋วกงต่งจี้เหลียงรับพระราชโองการ!”
“กระหม่อมต่งจี้เหลียงน้อมถวายพระพร ขอทรงพระเกษมสำราญ!”
“กระหม่อมต่งเหรินน้อมถวายพระพร ขอทรงพระเกษมสำราญ”
อ้อ ที่แท้ก็เป็นพ่อสามีกับพี่สามี เห็นทั้งสองคนคุกเข่าลงรับพระราชโองการ ไม่ต้องคาดเดาต่อ เลี่ยวจิ้งชูก็รู้แล้ว
“ต่งหลวนซื่อ* ภรรยาต่งอ้ายบุตรชายผู้วายชนม์ของเจิ้นกั๋วกงรับพระราชโองการ!”
เลี่ยวจิ้งชูกำลังลอบมองประเมินพ่อสามีผู้มีสง่าน่าเกรงขามผู้นี้ของตน ขันทีก็ส่งเสียงเรียกขึ้นมา นางที่มาจากยุคปัจจุบันถึงกับไม่ได้คิดว่านางก็คือ ‘ต่งหลวนซื่อ’ ผู้นั้น เห็นนางไม่ขยับ ฝูหรงร้อนใจเอาแต่ดึงเสื้อนางภายใต้ความงุนงง เลี่ยวจิ้งชูก็มีอาการตอบสนองที่ว่องไวมากพอ วาดกระบวยตามรูปน้ำเต้า** ขานตอบเสียงดัง
“หม่อมฉันต่งหลวนซื่อน้อมถวายพระพร ขอทรงพระเกษมสำราญ!”
ได้ยินเสียงใสกังวานของนาง ดวงตาของต่งเหรินเปล่งประกายวาบขึ้น เงยหน้ามองมาทางด้านในม่าน
รับรู้ได้ถึงความร้อนแรงแผดเผาที่พุ่งเข้ามา เลี่ยวจิ้งชูจึงลอบชำเลืองตามองกลับไป ก็สบเข้าดวงตารูปดอกท้อที่ทอประกายปรารถนาออกมาอย่างเปิดเผยไม่ปิดบัง ร่างพลันสะท้านเฮือก เลี่ยวจิ้งชูรีบเบนสายตาหลบ ในใจรู้สึกเย็นยะเยือก
เขายังเป็นคนอยู่หรือ!
ต่งอ้ายก็นอนอยู่ที่ด้านหลังข้า ศพยังไม่ทันเย็น เขาก็ห่วงพะวงถึงภรรยาผู้อื่นแล้ว
ขณะคิดอะไรสับสนวุ่นวายอยู่นั้น ขันทีผู้นั้นก็คลี่พระราชโองการออกแล้วอ่านเสียงดังออกมา
“ฮ่องเต้ผู้รับบัญชาจากสวรรค์มีพระราชโองการ ต่งอ้ายบุตรชายผู้วายชนม์ของเจิ้นกั๋วกง”
ภาษาโบราณเต็มฉบับ เลี่ยวจิ้งชูฟังจนวิงเวียนมึนงง อ่านมาถึงตอนท้ายเพียงฟังเข้าใจว่าต่งอ้ายได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์หลังจากเสียชีวิตเป็น ‘อู่ผิงโหว’ และพระราชทานเสื้อผ้าที่จะสวมให้ศพและการแสดงในงานพิธี ส่วนหลวนอวิ๋นชูเนื่องจากอุปนิสัยแข็งกร้าวและหยิ่งในศักดิ์ศรี สติปัญญาเฉลียวฉลาด ได้รับการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์เป็นนายหญิงตราตั้ง* ขั้นสี่ หลังจากครบรอบสี่สิบเก้าวันออกทุกข์แล้วให้นางเข้าวังไปขอบพระทัยในพระกรุณา
ภายใต้สายตาที่มองมาด้วยความริษยาและเสียงทอดถอนใจ เลี่ยวจิ้งชูโขกศีรษะขอบพระทัยไปตามเจิ้นกั๋วกง ขันทีผู้นั้นก็เก็บพระราชโองการ เดินเข้ามากล่าวคำไว้อาลัยต่งอ้าย
ส่งขันทีผู้อัญเชิญพระราชโองการออกไปแล้ว เหล่าเด็กรับใช้ก็เดินตามหลังไปแขวนผ้าแพรกลับขึ้นไปใหม่อีกครั้ง
เห็นเลี่ยวจิ้งชูมองประตูเหม่อลอย หญิงสูงวัยผู้ควบคุมพิธีการได้เอ่ยเตือนเบาๆ “สะใภ้สี่ ท่านควรร้องไห้แล้ว”
บรรยากาศในห้องโถงตั้งศพทำให้เลี่ยวจิ้งชูรู้สึกเศร้าอาดูร ทว่าจะอย่างไรนางก็ไม่เคยเจอต่งอ้ายมาก่อน อยู่ดีๆ บอกให้นางร้องไห้ นางไม่ใช่คนปรับเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกได้ไวเช่นนั้น
“ทุกคนต่างรอท่านอยู่ หรือไม่ท่านก็หลับตาส่งเสียงโหยไห้ออกมา” เห็นนางนิ่งเฉยไม่มีท่าที ฝูหรงก็ออกจะร้อนใจ “ไม่ว่าอย่างไร ย่อมต้องแสดงท่าทีออกมา”
ลอบกวาดสายตามองไปรอบด้าน ไม่ผิดจากที่คิด ทุกคนต่างมองมาทางด้านนี้ รวมถึงภิกษุที่สวดมนต์อยู่ นางกะพริบตา…กะพริบแล้วกะพริบอีก หยาดน้ำตาราวกับเล่นซ่อนหา ยังคงไร้เงาไร้ร่องรอย
ในห้องโถงตั้งศพเงียบสงัด ถ้ามีเข็มตกคงได้ยิน
“เพิ่งได้รับแต่งตั้งเป็นนายหญิงตราตั้ง ข่มกลั้นเสียงหัวเราะไว้ได้ก็หาได้ยากแล้ว! ไหนเลยจะร้องไห้ออกมาได้”
มีเสียงหัวเราะพรืดออกมา พานหมิ่นหัวเราะเยาะหยันขึ้นมาก่อนใคร ในโถงด้านในวุ่นวายขึ้นมาทันที
“พูดได้ไม่ผิด” ต่งซูเอ่ยเสริมขึ้น “พี่ใหญ่ยกทัพออกสนามรบ แสดงความจงรักภักดีต่อบ้านเมือง พี่สะใภ้ใหญ่เพียงได้รับแต่งตั้งเป็นนายหญิงตราตั้งขั้นห้า นางมาถึงก็ได้เป็นขั้นสี่ ย่อมอิ่มอกอิ่มใจ”
“ฮึ! เสแสร้งจอมปลอม!”
“ถ้าไม่ใช่คุณชายสี่ถูกนางทำให้โกรธ ไหนเลยจะจากไปเร็วเช่นนี้ นางกลับดีเลย แค่กระโดดทะเลสาบทีเดียวก็ได้เป็นนายหญิงตราตั้งแล้ว!”
“นั่นเรียกความสามารถ เจ้าเก่งจริงก็กระโดดลงไปสิ ดูว่าจะบังเอิญเช่นนั้นหรือไม่ ถึงกับถูกคุณชายเจียงอุ้มกลับมา ทั้งยังได้รับการแต่งตั้งเป็นนายหญิงตราตั้ง”
“สะใภ้สี่รีบร้องไห้เถิดเจ้าค่ะ!” ฝูหรงร้อนใจจนใบหน้าแดงฉาน “ท่านร้องนำ หญิงสูงวัยที่คอยร้องตามก็จะส่งเสียงโหยไห้ขึ้นมา ไม่ว่าเสียงอะไรก็กลบไปหมด”
มองฝูหรงที่ท่าทางแทบอยากร้องไห้แทน เลี่ยวจิ้งชูพลันนึกถึงตนเองเมื่อชาติก่อน
‘เขาผู้นั้น’ ก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ ขอเพียงเป็นเรื่องของนาง เขายังร้อนใจยิ่งกว่า อยู่คณะแพทยศาสตร์ในมหาวิทยาลัยสี่ปี เขายืนอยู่ข้างหลังเลี่ยวจิ้งชูมาโดยตลอด ปล่อยให้นางข่มเหงรังแก ตัวเขาเองเอาแต่ยิ้มให้นางอย่างอบอุ่น นุ่มนวลอ่อนโยน ให้อภัยในความเอาแต่ใจและความดื้อรั้นของนาง ทั้งคู่เพียงกินอาหารข้างทางอย่างเรียบง่าย จับจูงมือกันเดินเล่น ในอากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของความเบิกบานสบายอกสบายใจ
เรื่องราวในอดีตไหลบ่าเข้ามาในใจดุจกระแสน้ำ
นั่นเป็นค่ำคืนที่เงียบสงบ ในงานฉลองสำเร็จการศึกษานางที่ดื่มอย่างสนุกสนานเต็มที่ได้รบเร้าเขาจะไปดูดาว เขาโอนอ่อนผ่อนตามนางเช่นที่เคยเป็นมา ทางหนึ่งฟังนางพูดจาเหลวไหลไร้สาระ ทางหนึ่งก็พานางขึ้นภูเขาหยางติ่ง มีเสียงคำรามกึกก้องสั่นสะเทือนจนหูแทบหนวกดังขึ้น นั่นเป็นโคลนถล่มตามคำเล่าลือ เขาเม้มปากแน่น พยายามผลักนางออกจากโคลน นางกลับกอดเขาแน่นไม่ยอมปล่อยมือ ชั่วขณะนั้นนางเห็นอย่างชัดเจนว่าในดวงตาที่สิ้นหวังของเขาเปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่ลึกซึ้ง คล้ายยังมีรอยยิ้มจางๆ เจืออยู่ด้วย นางรู้สึกได้ชัดเจนถึงชีวิตที่ค่อยๆ หลุดลอยไปทีละน้อยๆ ท่ามกลางเสียงแผดคำราม
นางมาอยู่ที่นี่ เขาเล่าอยู่ที่ไหน จะคิดถึงนางแบบเดียวกันนี้หรือไม่ ทั้งสองเคยสัญญากันไว้ว่าจะอยู่ด้วยกันทุกภพทุกชาติไป ชาตินี้…เขาจะมาหานางหรือไม่
ความทรงจำย้อนกลับไปเมื่อชาติก่อน เงาร่างของเขาผุดขึ้นมาตรงหน้าเลี่ยวจิ้งชูอย่างชัดเจน หัวใจบีบรัด น้ำตาร่วงเผาะๆ ลงมา
หญิงสูงวัยที่คอยร้องไห้ตามก็ส่งเสียงโหยไห้ขึ้นมา ยิ่งได้ยินเสียงร้องไห้ เลี่ยวจิ้งชูก็ยิ่งนึกถึงคนในครอบครัวและเพื่อนของตนเมื่อชาติก่อน และนึกถึงความโดดเดี่ยวและความลำบากยากแค้นในชาตินี้ จึงถือโอกาสปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาเสียเลย
“สะใภ้สี่โปรดระงับความเศร้าโศก” เพียงครู่เดียวหญิงสูงวัยผู้ควบคุมพิธีการก็เริ่มกล่าวปลอบ “ท่านร้องไห้จนเสียสุขภาพ คุณชายสี่ที่อยู่ในยมโลกจะไม่สงบใจ”
เห็นนางยังคงร้องไห้ หญิงสูงวัยผู้นั้นก็ย่นหัวคิ้ว
การร้องไห้ในห้องโถงที่ตั้งศพก็ต้องมีความพอเหมาะพอควร นางเป็นอะไรไปแล้ว
ร้องไห้ไม่ห่วงหน้าตาก็แล้วไปเถิด แต่นี่ถึงกับยังร้องไม่จบไม่สิ้น นางไม่หยุดร้อง คนอื่นก็ไม่กล้าหยุด นางร้องอย่างเรื่อยเปื่อยไร้ขั้นตอนไม่เหนื่อย คนอื่นกลับต้องโก่งคอร้องอยู่ตรงโน้น
เห็นเหล่าหญิงสูงวัยที่คอยร้องไห้ตามหน้าตาแดงด้วยหายใจไม่สะดวก เลี่ยวจิ้งชูกลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุด กลับยิ่งร้องยิ่งหนัก หญิงสูงวัยผู้ควบคุมพิธีการร้อนใจจนเหงื่อชุ่มร่าง มองไปที่สะใภ้ทั้งหลายอย่างขอความช่วยเหลือ
“สะใภ้สี่ระงับความเศร้าโศกด้วย คนตายแล้วไม่อาจฟื้นคืน” เห็นสะใภ้ใหญ่ไม่ขยับ เฉาเสวี่ยจึงเข้ามากล่าวปลอบ “ท่านร้องไห้จนเสียสุขภาพไม่เป็นไร เกิดมีเลือดเนื้อเชื้อไขของคุณชายสี่แล้ว ส่งผลกระทบต่อเด็กในครรภ์คงไม่ดีแน่” มองสะใภ้ใหญ่แวบหนึ่ง “คุณชายน้อยเนี่ยนจงร่างกายไม่แข็งแรง ก็เพราะตอนนั้นสะใภ้ใหญ่ร้องไห้จนเสียสุขภาพ ส่งผลกระทบต่อเด็กในครรภ์”
เฉาเสวี่ยพูดออกมาเพียงประโยคเดียวราวกับปิดประตูน้ำ เลี่ยวจิ้งชูถูกทำให้ตกใจจนน้ำตาไหลกลับคืนไป มองเฉาเสวี่ยอย่างทำอะไรไม่ถูก มือแตะไปที่ท้องน้อยตามสัญชาตญาณ
ไม่กระมัง เพิ่งแต่งงานได้สามวัน
“สะใภ้รองโปรดอย่าถือสา สะใภ้สี่สูญเสียความทรงจำแล้ว” เห็นนางเสียกิริยา ฝูหรงก็ชี้แจง “แม้แต่คนในจวนก็ไม่รู้จักแล้วเจ้าค่ะ”
เฉาเสวี่ยเบิกตาโตด้วยความตื่นตระหนก มองไปที่สะใภ้ใหญ่
“น้องเฉาเสวี่ยอย่าเพิ่งพูดอะไรส่งเดช” สะใภ้ใหญ่บอกนางอย่างไม่พอใจแวบหนึ่ง “น้องอวิ๋นชูเพิ่งแต่งเข้ามาได้สามวัน ผ้าพรหมจารี* ไม่ได้ส่งมาที่เรือนหลัก จะมีข่าวมงคลได้อย่างไร”
ผ้าพรหมจารี?
เลี่ยวจิ้งชูงงงัน จากนั้นก็ดีใจ นางเองก็เคยได้ยินมา ในสมัยโบราณสะใภ้ใหม่แต่งเข้ามา คืนเข้าห้องหอต้องมีผ้าพรหมจารีมามอบให้แม่สามีตรวจสอบ เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของสะใภ้ใหม่ นางไม่มีผ้าพรหมจารีเช่นนี้ จะต้องไม่ได้เข้าห้องหอแน่นอน ตอนแต่งงานต่งอ้ายก็ป่วยจนเกินจะเยียวยาแล้ว
ขณะกำลังครุ่นคิด ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะหยันดังมาจากด้านหลัง
“ได้ยินว่าก่อนสะใภ้สี่จะออกเรือน หน้าประตูจวนหัวหน้าสำนักศึกษาหลวงมีผู้คนเดินขวักไขว่ราวกับตลาด ทุกวันนางจะแต่งบทกวีโคลงกลอน บทประพันธ์ต่างๆ กับเหล่าปัญญาชนผู้มีพรสวรรค์ มาถึงคุณชายสี่ก็ไม่รู้เป็นคนที่เท่าไรแล้ว มีผ้าพรหมจารีก็แปลกเต็มที”
เลี่ยวจิ้งชูหันหน้ามองตามเสียงไป ก็เห็นพานหมิ่นกำลังจีบปากจีบคอพูด พอเห็นนางหันมามอง ก็เบ้ปากอย่างท้าทาย เสียงพูดยิ่งไร้ความเห็นอกเห็นใจ “ถ้ามีครรภ์จริง ยังไม่รู้เป็นบุตรของใครด้วยซ้ำ!”
ไม่มีผ้าพรหมจารี ไม่ใช่ไม่ได้เข้าห้องหอ แต่เป็น…
เลี่ยวจิ้งชูมีเสียงวิ้งดังขึ้นมาในสมอง มองไปที่ฝูหรงด้วยสัญชาตญาณ ฝูหรงหน้าแดงหูแดงอยู่นานแล้ว กำลังถลึงตากลมโตสองดวงมองจ้องพานหมิ่น ท่าทางกล้าโมโหไม่กล้าพูด เห็นนางมองมาก็พูดขึ้น
“เรื่องการกินการอยู่ของสะใภ้สี่ หมู่ตันเป็นคนจัดการทั้งหมด”
ความหมายนอกคำพูดของฝูหรงคือนางก็ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงไม่มีผ้าพรหมจารี
เลี่ยวจิ้งชูชำเลืองตาไปทางสะใภ้ใหญ่อย่างขอความช่วยเหลือ อีกฝ่ายกลับกำลังก้มหน้าผูกสายรัดเอวที่คลายออกเล็กน้อย เลี่ยวจิ้งชูในใจหนักอึ้ง อยู่ดีๆ สะใภ้ใหญ่พูดเรื่องผ้าพรหมจารีขึ้นมา ที่แท้แล้วมีจุดประสงค์อะไร
“ตัวอัปมงคล ดาวหายนะ!” เห็นเลี่ยวจิ้งชูสีหน้าสงบนิ่ง ไม่มีท่าทีอับอายขายหน้า ต่งซูก็ด่าออกมา “พี่สะใภ้สามพูดถูก พี่สี่ถูกดวงนางข่มตาย”
ความตายของต่งอ้ายเกี่ยวอะไรกับข้า
เขาป่วยจนเหลือวิสัยจะเยียวยาอยู่ก่อนแล้ว นางแต่งเข้ามาเพื่อแก้ดวง แต่งงานได้สามวันก็ต้องเป็นม่าย คนที่ได้รับความเสียหายอย่างแท้จริงน่าจะเป็นนางมากกว่ากระมัง ไม่เห็นอกเห็นใจก็แล้วไปเถิด ยังจะบอกดวงนางข่มสามี บอกนางชะตาแข็ง เป็นดาวหายนะอีกหรือ!
วันนี้หากเอาคำว่า ‘อัปมงคล’ มาโยนไว้ที่ตัวนางจริง เกรงว่าต่อไปคงไม่มีวันพลิกตัวกลับขึ้นมาได้อีกแล้ว!
เลี่ยวจิ้งชูมองต่งซูหญิงสาวที่เอะอะโวยวายจะล้มเลิกการแต่งงานผู้นี้ตาไม่กะพริบ คลื่นยักษ์พัดโหมอยู่ในช่องอก
อากาศรอบตัวพลันตึงเครียดขึ้นมาทันที ในห้องโถงที่ตั้งศพราวกับมีคลื่นใต้น้ำโหมซัดสาด
* ครวญครางทั้งที่ไม่มีโรค เป็นคำอุปมา หมายถึงการสร้างสรรค์งานวรรณกรรมและศิลปะที่ไม่มีความรู้สึกที่แท้จริง ดูเสแสร้งแสดงท่าทาง
** ผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายสำนักตรวจการนครหลวง ทำหน้าที่ตรวจตรา ยื่นฟ้อง ให้คำชี้แนะแก่ขุนนางทั้งหลาย
* เมล็ดซิ่งหรือเมล็ดแอปปริคอต รสชาติคล้ายอัลมอนด์ แต่มีความขมเล็กน้อยและมีกลิ่นฉุนกว่า
** หัวผักกาดน้อย เป็นคำเรียกเด็กผู้ชายด้วยความเอ็นดู
* ธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่าซื่อ (แปลว่านามสกุล) ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรี บางครั้งอาจเพิ่มนามสกุลของสามีไว้หน้าสุดเพื่อระบุให้ชัดขึ้น ในที่นี้จึงหมายถึงหญิงแซ่หลวนที่แต่งเข้าสกุลต่ง
** วาดกระบวยตามรูปน้ำเต้า มาจากสำนวน ‘ดูน้ำเต้าวาดกระบวย’ หมายถึงการลอกเลียนแบบ ชาวจีนนิยมนำลูกน้ำเต้ามาทำกระบวยตักน้ำ
* นายหญิงตราตั้ง เป็นบรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้พระราชทานแก่มารดาหรือภรรยาของขุนนางชั้นสูง โดยในแต่ละขั้นจะมีคำเรียกที่แตกต่างกัน ได้แก่ ขั้นหนึ่งและขั้นสองเรียกว่าฟูเหริน ขั้นสามเรียกว่าซูเหริน ขั้นสี่เรียกว่ากงเหริน ขั้นห้าเรียกว่าอี๋เหริน ขั้นหกเรียกว่าอันเหริน และขั้นเจ็ดลงไปเรียกว่าหรูเหริน
* ผ้าพรหมจารี หมายถึงผ้าผืนเล็กสีขาวที่ใช้ในคืนวันแต่งงานเพื่อแสดงพรหมจรรย์ของเจ้าสาวในสมัยโบราณ