หมอหญิงพลิกธรรมเนียม - บทที่ 2
ขณะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กันอยู่นั้น สาวใช้ก็เข้ามารายงาน “นายหญิงใหญ่กับท่านน้าหลวนมาแล้วเจ้าค่ะ”
เพิ่งจะสิ้นเสียงก็เห็นสาวใช้และหญิงรับใช้สูงวัยกลุ่มใหญ่เดินห้อมล้อมสตรีวัยกลางคนท่าทางสูงส่งสง่างามสองคนเข้ามา จางหมัวมัวยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อ จัดๆ ชายเสื้อแล้วก้าวเร็วๆ เข้าไปรับหน้า สะใภ้ใหญ่ลุกขึ้นไปต้อนรับก่อนแล้ว นางยอบตัวลงน้อยๆ เอ่ยทักทาย
“คารวะนายหญิงใหญ่ คารวะท่านน้า”
เห็นนางอยู่ที่นี่ คนที่ถูกเรียกว่า ‘นายหญิงใหญ่’ ผู้นั้นพลันชะงักอึ้งไป ปรายตาไปที่จางหมัวมัวกับหลิ่วเอ๋อร์ สีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก จากนั้นก็ผงกศีรษะให้สะใภ้ใหญ่ แล้วเดินเข้ามาข้างใน
“ในที่สุดสะใภ้สี่ก็ฟื้นแล้ว! บ่าวตกใจแทบตาย หมู่ตันนาง…”
สาวใช้รูปร่างอรชรหน้าตาสะสวยที่อยู่ข้างกายนายหญิงใหญ่คนหนึ่งเห็นเลี่ยวจิ้งชูนั่งอยู่ ขอบตาก็แดงขึ้นมาทันที ส่งเสียงร้องมาแต่ไกล ยังพูดไม่ทันจบก็ถูกนายหญิงใหญ่ถลึงตาใส่ นางอึกๆ อักๆ เดินมาถึงข้างกายเลี่ยวจิ้งชู ไม่กล้าพูดต่อ
เลี่ยวจิ้งชูหันไปมองสาวใช้ผู้นั้นแวบหนึ่ง
คนผู้นี้เป็นใคร ดูเหมือนจะสนิทสนมกับข้ามาก
ขณะกำลังคิดคนที่ถูกเรียกว่า ‘ท่านน้า’ ผู้นั้นได้คว้ามือนางมากุมไว้
“อวิ๋นชูฟื้นแล้ว บุตรสาวที่อาภัพของแม่ เจ้าทำให้แม่ตกใจแทบตายแล้ว”
อวิ๋นชู?
เป็นชื่อของเจ้าของร่างนี้หรือ…
มองประกายห่วงกังวลอย่างจริงใจในดวงตาของสตรีงดงามวัยกลางคนผู้นี้แล้ว เลี่ยวจิ้งชูก็เชื่ออย่างไม่สงสัย อีกฝ่ายก็คือมารดาในชาตินี้ของนาง
“สวรรค์ เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว!” เห็นเลี่ยวจิ้งชูเซื่องซึมไม่พูดไม่จา ท่านน้าหลวนพลันสีหน้าเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก ยกมือขึ้นโบกไปมาตรงหน้านาง “แม่มาเยี่ยมเจ้าแล้ว อวิ๋นชู เจ้าพูดอะไรสักคำเถิด!”
“ไม่ว่าเป็นใครสะใภ้สี่ก็จำไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ” จางหมัวมัวถือโอกาสเอ่ยขึ้น “นี่ไม่ใช่หรือ กระทั่งยาเย็นแล้ว นางก็ไม่ยอมดื่ม สะใภ้ใหญ่เพิ่งเกลี้ยกล่อมอยู่พักใหญ่เจ้าค่ะ”
“เป็นคนตายหรืออย่างไร ยาเย็นแล้วก็ไม่รู้จักไปอุ่นมา” นายหญิงใหญ่นิ่งงันไปชั่วขณะ แล้วหันมาด่าหลิ่วเอ๋อร์ “ยังจะยืนทึ่มทื่ออยู่นั่น!”
หลิ่วเอ๋อร์มองสะใภ้ใหญ่แวบหนึ่งแล้วรีบรับคำ
สะใภ้ใหญ่เบือนหน้าไปอีกทางหนึ่ง
เห็นสาวใช้ยกม้านั่งทรงดอกเหมยมาแล้ว นายหญิงใหญ่ก็ดึงท่านน้าหลวนมาพลางบอก “น้องสาวนั่งก่อน มีอะไรก็ค่อยๆ พูดคุย” แล้วหันไปหาสะใภ้ใหญ่ “หลันเอ๋อร์ไม่ใช่ไปเรือนหลันฟางแล้วหรือ ซูเอ๋อร์ยังก่อเรื่องวุ่นวายอยู่หรือไม่”
“คุณหนูสามบอก คุณชายสี่เพิ่งจากไปนางก็ออกเรือน ไม่พูดถึงว่ายังทำใจไม่ได้ บ้านว่าที่แม่สามีก็จ้องจะจับผิด เป็นคนทั่วไปก็แล้วไปเถิด แต่นี่คู่หมายเป็นถึงบุตรชายของแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการทหารสิบมณฑล นางบอกว่าเป็นตายก็ไม่ยอมแต่ง”
นายหญิงใหญ่ย่นหัวคิ้ว “เจ้าไม่ได้บอกหรือว่านี่เป็นพระราชโองการของฝ่าบาท แม้แต่นายท่านก็ไม่อาจตัดสินใจเองได้”
“สะใภ้บอกไปแล้วเจ้าค่ะ ยังบอกว่านายท่านได้กราบทูลเรื่องงานศพแล้ว ทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของฝ่าบาท ถ้าฝ่าบาททรงยืนกรานให้จัดงาน เช่นนั้นจวนกั๋วกงก็ไม่กล้ากล่าวคำว่าไม่ วันหน้าถ้ายังกล้าทูลเรื่องนี้อีก นั่นก็เท่ากับชี้ว่าฝ่าบาททรงวินิจฉัยผิดพลาดมิใช่หรือไร หลังแต่งงานไปหากคุณหนูสามจะกลับมาที่จวนกั๋วกง นายท่านย่อมช่วยออกหน้าให้ แต่ถ้าฝ่าบาททรงเห็นว่าไม่เหมาะ ย่อมทรงยกเลิกกำหนดวันแต่งงานด้วยพระองค์เอง พอพูดไปเช่นนี้ อย่างน้อยสะใภ้ก็เกลี้ยกล่อมนางให้สงบลงได้แล้ว”
“คนทั้งบ้าน ไม่มีสักคนที่รู้ประสา ทุกเรื่องล้วนทำให้คนเป็นห่วง หลันเอ๋อร์ทำทุกอย่างด้วยความตั้งอกตั้งใจจนถึงที่สุด กลับไม่ใช่คนนำโชค* ไม่รู้ข้าทำเวรทำกรรมมาแต่ชาติไหน มีบุตรชายสายตรงอยู่เพียงสองคน กลับทยอยจากไปคนหนึ่งก่อนคนหนึ่งหลัง จนตอนนี้ไม่เหลือแล้ว ถ้าไม่ใช่ยังมีหลานชายตัวน้อยอยู่อีกคน ข้าก็อยากตายไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด!”
นายหญิงใหญ่พูดไป ไม่รู้คำพูดประโยคไหนทำให้สะเทือนใจ น้ำตาร่วงเผาะๆ ลงมาราวกับมุกไม่ขาดสาย สะใภ้ใหญ่รีบกล่าวปลอบ
“นายหญิงใหญ่โปรดระงับความเศร้าโศกด้วย คนทั้งบ้านต่างหวังพึ่งท่านนะเจ้าคะ”
“ที่ด้านหน้ามีเจ้าหน้าที่สำนักศึกษาหลวงมาจำนวนหนึ่ง…” นายหญิงใหญ่เช็ดดวงตา มองสะใภ้ใหญ่ “เสื้อผ้าด้ายดิบไม่พอแล้ว ข้าจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าในคลังยังมีผ้าด้ายดิบอีกหลายพับ เจ้าเอากุญแจไปหาดู…”
“นายหญิงใหญ่ความจำดียิ่งนัก ที่เหลือจากปีก่อนล้วนเก็บอยู่ในคลัง สะใภ้ได้สั่งให้อิ๋งตงไปเอากุญแจแล้ว”
“อืม ยังคงเป็นหลันเอ๋อร์ที่ละเอียดรอบคอบ…” นายหญิงใหญ่ผงกศีรษะ “จริงสิ ที่ด้านหน้าได้เขียนใบแสดงรายละเอียดของใช้ไว้แล้ว เจ้าไปดูซิว่ายังมีอะไรขาดอีกหรือไม่ ถ้าในจวนมีของก็เอาออกมาให้หมด ถ้าไม่มีก็รีบไปซื้อมาเพิ่มเติม อย่าโอ้เอ้จนเสียงานเสียการ”
“สะใภ้จะไปเดี๋ยวนี้ นายหญิงใหญ่ยังมีอะไรจะสั่งอีกหรือไม่เจ้าคะ”
“ไปเถิด จัดการเรียบร้อยแล้ว ก็ไปเฝ้าห้องโถงที่ตั้งศพ อย่าลืมควบคุมบรรดาสะใภ้และหญิงรับใช้สูงวัยให้ดี ให้หญิงรับใช้ที่อยู่ด้านหน้าเหล่านั้นดื่มสุราให้น้อยลงหน่อย ตอนเฝ้ายามกลางคืนให้มีสติ อย่าได้ก่อปัญหาขึ้น”
หลังจากสะใภ้ใหญ่แยกตัวไปแล้ว นายหญิงใหญ่ก็หันมามองเลี่ยวจิ้งชู “อวิ๋นชูจำอะไรไม่ได้เลยจริงหรือ”
เลี่ยวจิ้งชูพยักหน้า เลียนแบบน้ำเสียงของสะใภ้ใหญ่ “เรียนนายหญิงใหญ่ สะใภ้จำอะไรไม่ได้เลยเจ้าค่ะ”
“อย่าเรียกข้าว่านายหญิงใหญ่ ดูห่างเหินพิกล อวิ๋นชูยังคงทำเหมือนเมื่อก่อน เรียกข้าว่าท่านป้าเถอะ” แล้วหันไปทางท่านน้าหลวนที่กำลังเช็ดน้ำตา “น้องสาวก็อย่าเสียใจมากเกินไป จะอย่างไรอวิ๋นชูก็ยังมีชีวิตอยู่ ไม่เหมือนอ้ายเอ๋อร์ที่ไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว”
เห็นพวกนางพูดคุยกัน สาวใช้หน้าตาสะสวยผู้นั้นก็กระซิบเสียงเบากับเลี่ยวจิ้งชู
นางก็เป็นสาวใช้ที่ติดตามมาพร้อมการแต่งงาน มีชื่อว่าฝูหรง เมื่อครู่ถูกนายหญิงใหญ่เรียกตัวไปซักถาม ส่วนหมู่ตันที่นางเอ่ยถึงเมื่อครู่ก็คือสาวใช้ที่ติดตามมาพร้อมการแต่งงานอีกคน ซึ่งหลิ่วเอ๋อร์บอกว่าตายพร้อมผู้เป็นนายผู้นั้น
ที่นี่คือเมืองหลวนเฉิงซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นหลวน เจ้าของร่างนี้ก็แซ่หลวน นามอวิ๋นชู บิดาเป็นหัวหน้าสำนักศึกษาหลวง เลี่ยวจิ้งชูคิดอยู่นานก็จำไม่ได้ว่าในประวัติศาสตร์มีแคว้นหลวนอยู่ สุดท้ายก็ส่ายหน้า ชาติก่อนเรียนประวัติศาสตร์ได้ไม่ดี บางทีข้าอาจจะลืมไปแล้ว หรือไม่ก็อาจจะเป็นมิติอื่น
นางจึงกระซิบถามฝูหรงเรื่องอื่น
แคว้นหลวนเลื่อมใสและส่งเสริมเรื่องความรู้การศึกษา ท่วงทำนองในการใช้ภาษาและตัวอักษรหลากหลายฟุ่มเฟือย หลวนอวิ๋นชูในฐานะบุตรสาวสุดที่รักของหัวหน้าสำนักศึกษาหลวง…อาจารย์ใหญ่แห่งสถาบันการศึกษาสูงสุดของแคว้นหลวนตั้งแต่เล็กก็สติปัญญาดีเฉลียวฉลาด ห้าขวบก็พูดจาเป็นเนื้อถ้อยกระทงความ แต่งบทกวีได้ในเจ็ดก้าวแล้ว เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาก็ยิ่งเชี่ยวชาญทุกอย่างทั้งหมาก พิณ อักษร วาดภาพ
ฝูหรงยังบอกนางเคยได้รางวัลชนะเลิศในงานชุมนุมบทกวีที่จัดขึ้นในเมืองหลวนเฉิงปีละครั้งติดต่อกันถึงสามปี เอาชนะคนหนุ่มสาวที่มีความสามารถโดดเด่นจำนวนมาก ได้รับการยกย่องเป็นบัณฑิตหญิงผู้ยอดเยี่ยมแห่งยุค เป็นบุปผาล้ำค่าแห่งเมืองหลวนเฉิง เหล่าบัณฑิตและกวีลือนามพากันมาเยือนด้วยความเลื่อมใสในชื่อเสียงจนธรณีประตูจวนสกุลหลวนแทบจะแบนราบ แต่ก็จนใจด้วยผู้ใหญ่ได้ตกลงหมั้นหมายนางให้กับต่งอ้ายคุณชายสี่บุตรชายเจิ้นกั๋วกงไว้ตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้คนได้แต่ทอดถอนใจด้วยความเสียดาย
ต่งอ้ายมีพี่ชายน้องชายเจ็ดคน พี่สาวน้องสาวสี่คน ชื่อของพี่น้องผู้ชายเจ็ดคนตั้งตามอักษรตัวหน้าเจ็ดตัวของคุณธรรมทั้งแปด* จง เซี่ยว เหริน อ้าย ซิ่น อี้ และเหอ ชื่อของพี่น้องผู้หญิงสี่คนแบ่งเป็นฉี ฉิน ซู และฮว่า**
เจิ้นกั๋วกงเป็นนายทหารคนหนึ่ง ต่งอ้ายตั้งแต่เล็กชอบฝึกยุทธ์ไม่ชอบเรียนหนังสือ ชอบคบค้าสหายในยุทธภพ ทำให้ไม่เป็นที่ชอบใจของหัวหน้าสำนักศึกษาหลวงอย่างมาก เมื่อเปรียบกับกวีลือนามของสำนักศึกษาหลวงแล้ว ก็รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมต่อบุตรสาว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ประการแรกจวนกั๋วกงมากอำนาจ ประการที่สองฟูเหริน*** ของจวนทั้งสองเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน
ครึ่งปีก่อน ต่งอ้ายก็ล้มป่วยนอนอยู่กับเตียง พยายามรักษาทุกวิถีทางก็ไร้ผล จวนกั๋วกงจึงไปเชิญหมอดูมาผู้หนึ่ง หมอดูบอกเป็นโรคที่เกิดจากความอัปมงคล และให้จัดงานมงคลเพื่อแก้ดวงชะตา ไหนเลยจะรู้ อาการป่วยยังไม่หาย เพิ่งแต่งงานได้สามวันหลวนอวิ๋นชูก็กลายเป็นม่ายเสียแล้ว
ขณะกำลังพูดคุยอยู่นั้นหลิ่วเอ๋อร์ก็ยกยาที่อุ่นร้อนแล้วเข้ามา
นายหญิงใหญ่เห็นแล้วก็แตะตัวเลี่ยวจิ้งชู “อวิ๋นชูรีบดื่มตอนที่ยังร้อน”
เลี่ยวจิ้งชูย่นหัวคิ้ว ไม่รู้ครั้งนี้ยายังมีปัญหาหรือไม่
“อวิ๋นชูเป็นอะไรไป” เห็นนางไม่พูด นายหญิงใหญ่ซึ่งในใจมีความลับที่ไม่อาจบอกคนอื่นซุกซ่อนอยู่จึงซักไซ้ “ไม่อยากกินยาหรือ”
“เอ่อ…”
ยามกะทันหันเลี่ยวจิ้งชูคิดคำพูดไม่ออก เมื่อมาไตร่ตรองอย่างละเอียด นายหญิงใหญ่คิดจะวางยาพิษให้นางเป็นใบ้ เป็นเพราะอยากให้นางหุบปาก เมื่อรู้ว่านางสูญเสียความทรงจำแล้วย่อมไม่ทำร้ายนางอีก ยานี้น่าจะไม่มีปัญหาแล้ว เลี่ยวจิ้งชูลังเลเล็กน้อยแล้วบอก
“ยานี่ขมเกินไป ข้า…สะใภ้ไม่ชอบ”
นายหญิงใหญ่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็มุ่นหัวคิ้ว เผยสีหน้าไม่ค่อยพอใจออกมาเล็กน้อย
“อวิ๋นชูยังคงเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่เล็กก็ไม่ชอบดื่มยาต้ม ทุกครั้งพอไม่สบาย พ่อของเจ้าต้องรับปากพาเจ้าไปเที่ยวเล่นที่สำนักศึกษาหลวง เจ้าจึงจะยอมดื่มยา ตอนนี้สูญเสียความทรงจำแล้ว แต่ความเคยชินเหล่านี้กลับยังไม่ลืม” เห็นนายหญิงใหญ่ขมวดคิ้ว ท่านน้าหลวนก็ทอดถอนใจแล้วกล่าวขึ้น จากนั้นก็เบนหัวข้อสนทนา “เจ้าออกเรือนแล้ว ไม่อาจใช้อารมณ์แบบเด็กๆ อีก ถ้าแม่สามีไม่พอใจ…”
ท่านน้าหลวนพูดไป หยาดน้ำตาก็ร่วงลงมา
เลี่ยวจิ้งชูรับถ้วยยามาแต่โดยดี
เพิ่งจะบ้วนปากเสร็จ ก็มีหญิงรับใช้สูงวัยเข้ามารายงาน “คนในห้องโถงที่ตั้งศพฝากคำพูดมาบอกว่าจะทำพิธีบรรจุศพลงโลง ให้สะใภ้สี่ไปร้องไห้ไว้อาลัย”
“อะไรนะ ทำพิธีบรรจุศพลงโลง?!”
“เมื่อวานเพิ่งทำพิธีสวมชุด เหตุใดวันนี้ก็ทำพิธีบรรจุศพลงโลงแล้วเล่า”
นายหญิงใหญ่กับท่านน้าหลวนต่างสีหน้าแปรเปลี่ยน
หญิงรับใช้สูงวัยผู้นั้นคุกเข่าดังตึง โขกศีรษะแล้วบอก “บ่าวก็ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ ได้ยินหมอดูบอก คุณชายสี่ยังไม่ทันเข้าพิธีสวมหมวก* ตายตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่อาจประกอบพิธีศพตามประเพณีปกติได้เจ้าค่ะ”
“อ้ายเอ๋อร์ของแม่!” นายหญิงใหญ่กรีดร้องออกมาคำหนึ่ง น้ำตาไหลพร่างพรมดุจสายฝน เห็นนายหญิงใหญ่ร่ำไห้ ทุกคนก็พลอยโหยไห้ตาม ในห้องเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้คร่ำครวญขึ้นมาทันที
ผ่านไปพักใหญ่จางหมัวมัวก็เช็ดน้ำตา เดินเข้ามากล่าวปลอบ
“นายหญิงใหญ่โปรดระงับความเศร้าโศกด้วย ท่านเอาแต่ร้องไห้อยู่เช่นนี้ ดวงวิญญาณคุณชายสี่บนสวรรค์ก็ยากจะสงบใจลงได้ ท่านให้คุณชายสี่จากไปอย่างสบายใจเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่เสียใจ เขาเกิดมาเพื่อจะคิดบัญชี มาตามทวงหนี้ข้า สิบเจ็ดปีมานี้ มีวันใดบ้างที่ทำให้ข้าสบายใจ” หยุดน้ำตาไว้ได้ นายหญิงใหญ่ก็กัดฟันขาวซี่เล็กไว้แน่น “ไปอย่างหมดจดเช่นนี้ก็ดีแล้ว!” แล้วสั่งการ “ไปถ่ายทอดคำพูด สะใภ้สี่จะไปเดี๋ยวนี้”
* คนนำโชค หมายถึงคนที่มีพร้อมทั้งบิดามารดาและลูกหลาน สามีภรรยารักใคร่กัน พี่น้องสามัคคีกลมเกลียวกัน เมื่อมีคนนำโชคมาจัดการดูแลงานแต่งงาน จะช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิตคู่
* คุณธรรมแปดประการ ได้แก่ ความภักดี ความกตัญญูกตเวที ความเมตตา ความรัก ศรัทธา ความเป็นธรรม สันติภาพ และความสงบสุข
** มาจากคุณสมบัติของสตรีในสมัยโบราณ ได้แก่ หมากล้อม ดีดพิณ คัดอักษร วาดภาพ และเย็บปักถักร้อย
*** ฟูเหริน เดิมเป็นตำแหน่งของสตรีในวัง ในสมัยโบราณเป็นบรรดาศักดิ์อนุภรรยาของกษัตริย์ ลำดับขั้นแตกต่างไปตามแต่ละสมัย ต่อมาใช้เป็นขั้นยศของภรรยาเอกขุนนางชั้นสูง (นายหญิงบรรดาศักดิ์) ก่อนจะใช้เป็นคำเรียกขานภรรยาเอกของผู้มีฐานะโดยทั่วไป
* พิธีสวมหมวก บุรุษชาวจีนเมื่ออายุครบยี่สิบปีจะต้องทำพิธีสวมหมวกเพื่อแสดงถึงความเป็นผู้ใหญ่