หมอหญิงพลิกธรรมเนียม - บทที่ 15
ต่งกั๋วกงอยู่หน้า สี่จู๋ สี่เหมย และอี๋ไท่ไท่* หลายคน รวมทั้งหญิงรับใช้สูงวัยกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมนายหญิงใหญ่เดินตามเข้ามา วุ่นวายโกลาหลขึ้นมาทันที ทุกคนพากันลุกขึ้นทำความเคารพ มีเพียงพานหมิ่นที่ยังชี้หน้าหลวนอวิ๋นชูดุจแม่เสือที่ดุร้าย แข็งค้างอยู่กับที่ยังไม่ได้สติกลับคืนมา
เสียงของนางแหลมเล็ก ทั้งยังโมโหสุดขีด แม้จะอยู่ห่างกันระยะหนึ่ง แต่เสียงด่าว่ายังคงดังไปเข้าหูต่งกั๋วกงกับนายหญิงใหญ่ เวลานี้ยังเห็นนางชี้หน้าหลวนอวิ๋นชูอย่างไร้มารยาท ไม่มีภาพลักษณ์ของหญิงสาวที่อ่อนโยนและดีงามแม้แต่น้อย ต่งกั๋วกงก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
นายหญิงใหญ่ลอบถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง บุตรสาวของพ่อค้าผู้นี้ไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน พูดแต่แรกแล้วว่าไม่อาจแต่งเข้ามา นายท่านกลับไม่ฟัง ตอนนี้ดีเลย เอะอะโวยวายจนเรือนชิ่นย่วนบรรยากาศอึมครึมเต็มไปด้วยพิษร้ายยังไม่พอ ถึงกับเอะอะมาถึงเรือนของนาง อาละวาดออกมาต่อหน้าน้องสามีหลายคน
ที่แท้ในบรรดาสะใภ้ทั้งสี่คนของต่งกั๋วกง เหยาหลันเป็นบุตรสาวของอัครเสนาบดีเหยาเหิงป๋อ สะใภ้รองเฉาเสวี่ยเป็นบุตรสาวเฉาเจิ้งวั่งผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายสำนักตรวจการนครหลวง ขุนนางชั้นหนึ่งขั้นรอง หลวนอวิ๋นชูก็ไม่ต้องพูดถึงแล้ว ทั้งสามคนมาจากครอบครัวขุนนาง มีเพียงพานหมิ่นเป็นบุตรสาวของพานตี๋พ่อค้าเกลือรายใหญ่
การแต่งงานในครั้งนั้นเดิมทีนายหญิงใหญ่ไม่เห็นด้วย แต่แคว้นชื่อ แคว้นหลี แคว้นหลวนทั้งสามแคว้น แคว้นชื่อด้านตะวันออกติดทะเล แม้จะไม่อุดมสมบูรณ์ แต่เมล็ดพันธุ์ธัญพืช เกลือ และอื่นๆ โดยพื้นฐานก็พอเลี้ยงดูตนเองได้ ทว่าแคว้นหลีที่อยู่ทางตอนเหนือนั้นไม่เหมือนกัน ถึงจะมีแหล่งแร่อุดมสมบูรณ์ แต่เมล็ดพันธุ์ธัญพืชและเกลือกลับขาดแคลนมาก ส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาอาศัยแคว้นหลวน การค้าเกลือจึงกลายเป็นแหล่งรายได้สำคัญของแคว้นหลวน กลายเป็นเส้นเลือดสำคัญทางการค้าของแคว้นหลวน เพื่อจะควบคุมการค้าเกลือและยึดกุมการเงินของแคว้นหลวนแคว้นหลีสองแคว้นกลายๆ ต่งกั๋วกงจึงเจตนาลดเกียรติลดศักดิ์ศรีไปผูกญาติเกี่ยวดองกับพ่อค้าเกลือโดยผ่านการแต่งงาน
อีกฝ่ายหนึ่งพานตี๋ที่เป็นพ่อค้า แม้จะร่ำรวยเทียบเท่าท้องพระคลัง แต่แคว้นหลวนให้ความสำคัญกับการเกษตรควบคุมการค้า เขาไม่มีฐานะทางการเมืองอะไร ย่อมคิดจะคบค้าสมาคมกับขุนนางคหบดีโดยผ่านการเกี่ยวดองด้วยการแต่งงาน ปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้ประโยชน์จากบุตรสาวปีนป่ายขึ้นสู่ยอดไม้สูง เมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งสองฝ่ายจึงต่างมีแผนสกปรกอยู่ในใจ สามารถตกลงกันได้อย่างรวดเร็ว พานหมิ่นที่หน้าเลือดและหยาบคายจึงเข้าประตูใหญ่จวนกั๋วกงมาได้อย่างถูกจังหวะและมีขั้นตอน การแต่งงานระหว่างสองครอบครัวเคยดังสะเทือนเลื่อนลั่นทั่วทั้งเมืองหลวนเฉิงมาแล้ว
คิดไม่ถึงว่าพานหมิ่นผู้นี้จะหยาบคายไม่ฟังเหตุผล ต่งเหรินผู้นั้นก็เป็นอันธพาลไม่ยึดมั่นในเหตุผล ถือเป็นคู่ที่สวรรค์บรรจงสรรค์สร้างอย่างแท้จริง หลังแต่งงานทั้งสองหวานชื่นกันอยู่ไม่กี่วัน จากนั้นก็เริ่มทะเลาะเบาะแว้งกัน ต่อมาต่งเหรินเชื่อฟังการจัดการของต่งกั๋วกงไปหลอกล่อชักจูงเจียงเสียนให้ตกต่ำ ก็ยิ่งดื่มสุราเล่นการพนันทุกวัน เที่ยวสำนักนางโลมทุกคืน เขากับเจียงเสียนสองคนไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่ทำ
เห็นต่งเหรินเปลี่ยนเป็นแย่ลง ต่งกั๋วกงก็บังคับควบคุมไม่ไหว นายหญิงใหญ่ยิ่งผลักภาระหน้าที่มาให้ลูกสะใภ้ที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยผู้นี้ วันนี้ได้มาเห็นนางเล่นบทหญิงปากร้ายข่มเหงหลวนอวิ๋นชูกับตาตนเอง ในใจก็ยิ่งเอือมระอา
“หมิ่นเอ๋อร์…” นายหญิงใหญ่ข่มกลั้นความโกรธ ยกน้ำชาขึ้นมาจิบคำหนึ่ง “บทแรกของคุณธรรมสตรีคือสงบเสงี่ยมสง่างาม ครองพรหมจรรย์ แต่งกายเรียบร้อย ทำอะไรมีขอบเขตรู้จักละอายใจ คำพูดและการกระทำมีขอบเขต เจ้าดูตัวเจ้าสิ ทำอากัปกิริยาเสียมารยาทต่อหน้าน้องสามีหลายคน นี่มันธรรมเนียมปฏิบัติอะไร”
หลังจากหลวนอวิ๋นชูแต่งงานก็ยังไม่เคยมาคารวะผู้ใหญ่ นายหญิงใหญ่ก็แล้วแต่นาง คำพูดของหลวนอวิ๋นชูก็ไม่มีคุณธรรมสตรี นายหญิงใหญ่ไม่เพียงไม่ว่า กลับไม่ถามว่าใครผิดใครถูก อบรมสั่งสอนใส่หน้าตนโครมๆ ฟังคำพูดเหล่านี้แล้วพานหมิ่นพลันรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างยิ่งยวด
พานหมิ่นไม่รู้ว่าเป็นเพราะหลวนอวิ๋นชูพูดเสียงเบา ทั้งพูดไปก่อนหน้าแล้วนายหญิงใหญ่ไม่ทันได้ยิน กลับเป็นนางที่โก่งคอร้องด่า อยู่ห่างออกไปแปดหลี่* ก็ยังได้ยิน หลวนอวิ๋นชูยังเป็นบัณฑิตหญิงที่มีชื่อเสียง ย่อมต้องมีคุณธรรมปัญญาอ่อนโยนดีงาม จะปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างโหดร้ายได้อย่างไร กลับเป็นนางที่ดุร้ายไร้เหตุผลจนขึ้นชื่อ กล่าวว่าสำหรับนายหญิงใหญ่แล้ว ความผิดนี้ย่อมเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว
แม้จะรู้สึกว่านายหญิงใหญ่จัดการเรื่องอย่างไม่เป็นธรรม แต่ต่อให้พานหมิ่นไม่ฟังเหตุผลเพียงใด ก็ไม่กล้าโต้เถียงพ่อแม่สามี ขอบตาแดงเรื่อขึ้นมาทันที
“นายหญิงใหญ่สั่งสอนได้ถูกต้อง สะใภ้รู้ตัวว่าผิดแล้วเจ้าค่ะ”
“นี่ข้าไม่ให้ความเป็นธรรมกับเจ้าหรือ”
“สะใภ้ไม่กล้า เพียงแต่เรื่องในวันนี้ เดิมสะใภ้สี่…”
เดิมสะใภ้สี่เป็นคนพูดจาไม่ดีก่อน ข้าถึงได้โมโห
พูดออกมาได้ครึ่งหนึ่งก็นึกได้ว่าเรื่องนี้นางเป็นคนเริ่มก่อน ว่ากันถึงที่สุดต้องโทษปากของนางเอง ยามกะทันหันจึงชะงักค้างอยู่อย่างนั้น ไม่รู้คำร้องเรียนนี้จะฟ้องอย่างไร ได้แต่มองจ้องหลวนอวิ๋นชูอย่างดุดัน
“ล้วนเป็นเพราะสะใภ้ไม่ดี” หลวนอวิ๋นชูเองก็หยาดน้ำตาวาววับอยู่ในดวงตาอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม “สะใภ้เป็นคนอัปมงคล ขอท่านป้าได้โปรดช่วยให้สมปรารถนา ให้สะใภ้กลับไปครองพรหมจรรย์ที่บ้านเดิม จะได้ไม่นำ…”
นี่ไม่ใช่เล่นงานข้าถึงตายหรือ!
เล่าลือกันไปทั่วว่าก่อนแต่งงานหลวนอวิ๋นชูกับลู่เซวียนมีความสนิทสนมใกล้ชิดกัน หลังแต่งงานวันที่สองต่งอ้ายก็โกรธจนกระอักโลหิต วันที่สามดวงวิญญาณก็ไปสู่ยมโลก ต่างบอกว่าเป็นเพราะถูกดวงของนางข่ม บางทีนายหญิงใหญ่อาจจะอยากขับหลวนอวิ๋นชูออกจากจวนนานแล้ว เพียงติดอยู่ที่หน้าตาของมารดานาง ทั้งไม่มีข้ออ้าง เกิดนายหญิงใหญ่ยืมเนินลงจากหลังลา* จริง เห็นดีให้หลวนอวิ๋นชูกลับไปบ้านเดิม ไม่พูดถึงทำให้จวนหัวหน้าสำนักศึกษาหลวงเดือดดาล ด้วยอำนาจของหลวนอวิ๋นชูที่มีอยู่ในหมู่ปัญญาชนในเมืองหลวนเฉิง เกรงว่าคงจะพากันลุกฮือขึ้นมาโจมตี เช่นนั้นตนเองย่อมมีชื่อเสียงเหม็นฉาวโฉ่ไปไกลแล้ว
“ขอนายท่าน นายหญิงใหญ่ตรวจสอบให้แน่ชัด” ไม่รอให้หลวนอวิ๋นชูพูดจบ พานหมิ่นก็คุกเข่าลงไป “สะใภ้สี่ใส่ร้ายสะใภ้ สะใภ้ไม่ได้…”
คำพูดที่ว่า ‘จะได้ไม่นำโชคร้ายมาสู่จวนกั๋วกง’ ค้างติดอยู่ในลำคอ หลวนอวิ๋นชูมองพานหมิ่นอย่างงงงัน นางไม่ได้จะกลั่นแกล้งพานหมิ่น เพียงแต่คาดเดาว่านายหญิงใหญ่กับต่งกั๋วกงจะต้องได้ยินพานหมิ่นด่าว่านางเป็นดาวหายนะถึงได้พูดเช่นนี้ ประการแรกเพื่อหยั่งเชิงดูท่าทีของต่งกั๋วกงกับนายหญิงใหญ่ที่มีต่อคำพูดนี้ ประการที่สองเพราะอยากกลับไปจวนสกุลหลวนจริง บางทีกิ่งหลิวที่ปักส่งเดชอาจให้ร่มเงาก็ได้**
เห็นพานหมิ่นที่ปากร้ายไร้เหตุผลตกใจจนเป็นเช่นนี้ หลังจากหายตะลึงงันก็แอบนึกขัน พานหมิ่นผู้นี้ก็มีเวลาที่รู้จักกลัวเหมือนกัน!
ข้าไม่ได้คิดไปไกลถึงเพียงนั้นเสียหน่อย
“เงียบปากกันให้หมด!” ต่งกั๋วกงสีหน้าเขียวคล้ำ “ตั้งแต่เช้าเลย ดูพวกเจ้าซิ ท่าทางเหมือนอะไรแล้ว!”
“ล้วนเป็นเพราะผู้น้อยไม่ดีเอง” เฉียนอี๋ไท่คุกเข่าตึงลงไป “นายท่านขัดใจก็ลงโทษผู้น้อยเถิด อย่าโกรธจนเสียสุขภาพ”
เฉียนอี๋ไท่เป็นสาวใช้ที่ติดตามมาพร้อมการแต่งงาน หลังจากมีต่งเหรินแล้วจึงได้เลื่อนขึ้นเป็นอี๋เหนียง ปกติทำอะไรต้องดูสีหน้านายหญิงใหญ่ ต่งอ้ายไม่อยู่แล้ว เมื่อเปรียบดูแล้วนายหญิงใหญ่ย่อมรู้สึกใกล้ชิดกับต่งเหรินที่สุด เดิมเข้าใจว่าในที่สุดนางก็อดทนจนได้ลืมตาอ้าปากแล้ว คิดไม่ถึงว่ากลับมาเจอลูกสะใภ้ที่ไม่เอาการเอางาน ปกติฐานะก็ต่ำกว่าผู้อื่นครึ่งศีรษะแล้ว เฉียนอี๋ไท่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น ได้แต่โอดครวญอยู่ในใจ
ยืนอยู่ริมแม่น้ำมองฝั่งตรงข้ามไฟไหม้*** จงอี๋ไท่มารดาของคุณชายหกคุณชายเจ็ดกลับเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมาจางๆ สาวใช้หญิงรับใช้สูงวัยที่อยู่บนพื้นกลับปิดปากเงียบดุจจักจั่นที่กลัวความหนาว****
ตอนนั้นจัดงานมงคลเพื่อแก้ดวงให้ต่งอ้าย เป็นนายหญิงใหญ่คว้าฟางเส้นสุดท้ายเพื่อช่วยชีวิตต่งอ้าย คิดไม่ถึงว่าจะแต่งคนที่เป็นยันต์เร่งเอาชีวิตเข้ามา ทำลายความหวังทั้งหมดของนาง ถึงแม้หลวนอวิ๋นชูจะเฉลียวฉลาดไปทุกเรื่อง ใช้ประโยชน์จากนางได้มากมาย แต่ได้ยินคำพูดของพานหมิ่นที่มาเข้าหูก็อดไม่ได้ที่นางจะคิดไปทางนั้น ในใจรู้สึกอึดอัดคับข้อง แต่นางก็เข้าใจว่าเหตุใดต่งกั๋วกงจึงเกิดโทสะ
หลวนอวิ๋นชูไม่อาจถูกขับให้กลับไปบ้านเดิมอย่างเด็ดขาด!
มองสีหน้าที่แตกต่างกันไปของอี๋ไท่ไท่แต่ละคน ความคิดหมุนวนไปมา นายหญิงใหญ่ตัดสินใจไกล่เกลี่ยให้เรื่องราวสงบลง
“ลุกขึ้นมาให้หมด เช้าๆ เช่นนี้ก็มาคุกเข่ากัน ทำให้คนเห็นแล้วจิตใจขุ่นมัว”
เรื่องวุ่นวายสงบลง นายหญิงใหญ่มองหลวนอวิ๋นชูแล้วเปลี่ยนเรื่องถาม
“เรื่องของซิ่วเอ๋อร์จัดการเรียบร้อยแล้วหรือ”
“เรียนท่านป้า จัดการเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” เห็นนายหญิงใหญ่ผงกศีรษะ หลวนอวิ๋นชูก็เอ่ยเสริมขึ้น “น้าชายห่างๆ ของซิ่วเอ๋อร์มาแล้ว สะใภ้ทำตามที่นายท่านสั่ง ให้ค่าทำศพไปหนึ่งร้อยตำลึง ให้เขารับคนกลับไป”
หนึ่งร้อยตำลึง?
สะใภ้จอมล้างผลาญผู้นี้!
ถ้ารู้แต่แรกว่านางทำงานไว้ใจไม่ได้เช่นนี้ ให้เหยาหลันไปจัดการเสียก็ดี มีเงินก็ไม่อาจใช้สิ้นเปลืองเช่นนี้! ปกติครอบครัวที่มีกันอยู่สามคน เงินห้าตำลึงก็เพียงพอให้ใช้ไปได้หนึ่งปีแล้ว สาวใช้รุ่นเล็กคนหนึ่งยี่สิบสามสิบตำลึงก็นับว่าเมตตากรุณามากแล้ว ในจวนมีธรรมเนียมปฏิบัติอยู่ เหตุใดหลวนอวิ๋นชูจึงไม่ตรวจสอบดู บ่าวไพร่ที่เรือนนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยเตือน ดูท่าคงต้องรีบเปลี่ยนตัวบ่าวไพร่เสียแล้ว
อยากจะตักเตือนและตำหนิสักสองคำ แต่นี่เป็นคำสั่งของต่งกั๋วกงจริง เพียงบอกให้ส่งศพออกไปให้ดี ไม่ได้บอกให้เงินเท่าไร ย่อมไม่อาจตบหน้าเขาต่อหน้าผู้คน นายหญิงใหญ่สีหน้าแปรเปลี่ยนแล้วแปรเปลี่ยนอีก ในที่สุดคำพูดตำหนิก็ไม่ได้พูดออกจากปาก
แม้แต่หญิงรับใช้สูงวัยที่นั่งอยู่ที่พื้นยังมองหลวนอวิ๋นชูด้วยความตื่นตะลึง สมกับเป็นคุณหนูในตระกูลสูงศักดิ์ ไม่รู้ว่าฟืนข้าวสารน้ำมันเกลือแพง มีใครเขาใช้เงินเช่นนี้กัน นี่ไม่ต่างอะไรกับการโยนเงินไปบนท้องถนน!
เหยาหลันแววตามีประกายยินดีในความโชคร้ายของคนอื่นพาดผ่านจางๆ ไม่พูดอะไร เพียงมองว่านายหญิงใหญ่จะจัดการลงโทษอย่างไร แม่นมของนายหญิงใหญ่ตาย ให้เงินไปเจ็ดสิบตำลึงนับเป็นเงินที่สูงที่สุดในจวนแล้ว บัณฑิตหญิงผู้นี้กลับดียิ่ง หยิบเงินออกมาทีก็หนึ่งร้อยตำลึง เพียงพอให้ครอบครัวเล็กในที่ห่างไกลสร้างบ้านเรือน ซื้อที่ดินดีๆ สักหลายผืนอยู่อย่างสงบสุขไปตลอดชีวิตได้แล้ว เข้าใจว่าเงินของจวนกั๋วกงมีลมพัดหอบมาให้หรืออย่างไร
เฉาเสวี่ยไม่ได้ดูแลเรือนย่อมไม่เป็นห่วงเรื่องนี้ กลับเป็นพานหมิ่นที่มาจากครอบครัวพ่อค้า ทุกเรื่องล้วนคิดคำนวณเข้าไปในกระดูก พอได้ยินคำพูดดังกล่าวก็แทบจะพ่นสิ่งที่อยู่ในปากออกมา
หนึ่งร้อยตำลึง?
เท่ากับเงินรายเดือนหนึ่งปีของสาวใช้รุ่นใหญ่ห้าคน ซื้อสาวใช้รุ่นเล็กได้เจ็ดแปดคน นางขยับปากแล้วขยับปากอีก เพียงเพราะเพิ่งถูกตำหนิมาจึงไม่กล้าแย้ง ได้แต่เบิกตารูปเมล็ดซิ่งมองหลวนอวิ๋นชูอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ
ชีวิตคนไม่อาจตีมูลค่า ตามความคิดของหลวนอวิ๋นชู จวนกั๋วกงไม่ขาดแคลนเงินทอง ต่งกั๋วกงก็บอกให้ใช้จ่ายได้ตามสบาย ถ้าบิดามารดาของซิ่วเอ๋อร์ยังอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องให้สองร้อยตำลึง อย่างน้อยก็เพียงพอให้พวกเขาเลี้ยงดูตนเองยามแก่เฒ่า แต่เมื่อนึกถึงว่าซิ่วเอ๋อร์กับน้าชายห่างๆ ของนางแต่ไรมาไม่เคยไปมาหาสู่กัน จึงได้ให้ไปหนึ่งร้อยตำลึง
จะอย่างไรก็มีช่องว่างระหว่างกันอยู่พันปี ในเวลาอันสั้นหลวนอวิ๋นชูยังไม่อาจเข้าใจถึงความคิดของคนเหล่านี้ได้อย่างถ่องแท้ เวลานี้เห็นพวกนางมองตนเหมือนมองมนุษย์ต่างดาว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียดายเงิน หลวนอวิ๋นชูยังเข้าใจว่าเป็นเพราะตำหนินางว่าเชื่อคนนอกง่ายเกินไปจึงเอ่ยเสริมขึ้น
“ท่านป้าวางใจ สะใภ้เห็นน้าชายของซิ่วเอ๋อร์เป็นคนซื่อๆ คนหนึ่ง ยังขอบอกขอบใจเราใหญ่โต เชื่อฟังถ้อยคำและจะนำไปปฏิบัติตาม ไม่กล้าเอาเงินไปใช้จ่ายส่งเดช สะใภ้ได้กำชับให้เฉียนหมัวมัวตามไปจับตาดูเขาซื้อโลงและจัดงานศพให้ซิ่วเอ๋อร์อย่างดีที่สุด เรื่องนี้ไม่ผิดพลาดแน่”
ไม่ใช่ตัวโง่งม ใครได้เงินหนึ่งร้อยตำลึงย่อมต้องขอบอกขอบใจเสียใหญ่โตอยู่แล้ว โลงศพของสาวใช้คนหนึ่งต่อให้ดีเพียงใดก็แค่ไม่กี่ตำลึง แต่งบทกวีมากเกินไปจนสมองกลายเป็นแป้งเปียกไปแล้วจริงๆ!
“คนในครอบครัวซิ่วเอ๋อร์ไม่ได้เอะอะโวยวายก็ดีแล้ว” นายหญิงใหญ่ฝืนใจควบคุมเสียงให้ราบเรียบแล้วหันไปทางเหยาหลัน “หลันเอ๋อร์อย่าลืมไปบอกห้องบัญชี เมื่อวานที่อวิ๋นชูเบิกเงินไปหนึ่งร้อยตำลึง ให้ลงในบัญชีใหญ่ยี่สิบตำลึง ที่เหลือลงไว้ในบัญชีส่วนตัวของข้า”
กลัวจะเสียธรรมเนียมปฏิบัติ ทำให้เกิดการเปรียบเทียบระหว่างสะใภ้ด้วยกัน นายหญิงใหญ่ไม่พูดอะไรก็ช่วยรับส่วนที่หลวนอวิ๋นชูเบิกเกินไปเป็นส่วนของตน
เหยาหลันเผยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย ต่างก็เป็นสะใภ้เช่นกัน นางมาคารวะพ่อแม่สามีตอนเช้า ปรนนิบัติเข้านอนตอนค่ำ ทำงานตื่นเช้านอนดึกทุกวันก็ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้นมา หลวนอวิ๋นชูผู้นี้เพิ่งเข้ามาอยู่ไม่กี่วัน ไม่ให้มาคารวะตอนเช้าก็แล้วไปเถิด วันนี้ยังให้เพิ่มสาวใช้ พรุ่งนี้ชดเชยเงินให้ กลัวหลวนอวิ๋นชูจะไม่ได้รับความเป็นธรรม
มองหลวนอวิ๋นชูแวบหนึ่ง เหยาหลันแอบกัดฟัน กดข่มความรู้สึกไม่ยุติธรรมที่มีอยู่เต็มอกพลางเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้ม
“ดูท่านพูดเข้า ยังจะขาดเงินเพียงไม่กี่ตำลึงนี้หรือ น้องสาวก็ไม่ใช่คนนอก จะให้ท่านเป็นคนชดเชยได้อย่างไร ลงบัญชีใหญ่โดยตรงเลยแล้วกัน ไยต้องแบ่งแยกชัดเจนเช่นนั้นด้วย”
“หลันเอ๋อร์ไม่เข้าใจความตั้งใจดีของข้า ไม่ใช่เรื่องเงินมากน้อย แต่ธรรมเนียมปฏิบัติไม่อาจถูกทำลาย หาไม่พรุ่งนี้เรือนเจ้ามีสาวใช้ตายคนก็หนึ่งร้อยตำลึง อีกวันเรือนอื่นมีสาวใช้ตายคนก็อีกหนึ่งร้อยตำลึง…เช่นนี้ก็ไม่จบไม่สิ้นแล้ว” น้ำเสียงเจือการอบรมสั่งสอนเข้ามาหลายส่วน นายหญิงใหญ่มองเหยาหลันอย่างอ่อนโยน “หลันเอ๋อร์ก็ต้องจำไว้ ครอบครัวใหญ่กิจการใหญ่ พวกเจ้าพี่สะใภ้น้องสะใภ้หลายคน ทุกเรื่องไม่ว่าใหญ่ว่าเล็ก ล้วนต้องมีขอบเขต ถ้าไม่มีธรรมเนียมปฏิบัติก็จะมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งฟ้องกันไปมาไม่จบไม่สิ้น”
พูดมาถึงขั้นนี้ทุกคนมีหรือจะไม่เข้าใจ ในใจของแต่ละคนต่างรู้สึกไม่ยุติธรรม แต่ไม่ได้แสดงออกมาบนใบหน้า เว้นแต่พานหมิ่นที่ถลึงตารูปเมล็ดซิ่ง มองหลวนอวิ๋นชูราวกับไก่ชนแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็คล้อยตามด้วยสีหน้ายิ้มๆ บอกนายหญิงใหญ่คิดมากไปแล้ว ที่นี่หลวนอวิ๋นชูอายุน้อยที่สุด ใครจะไปคิดเล็กคิดน้อยเพียงแค่เงินไม่กี่ตำลึงนี้…
นายหญิงใหญ่มองหลวนอวิ๋นชู พลันนึกถึงเรื่องที่เมื่อวานนางไปทะเลสาบลั่วเยี่ยนขึ้นมาได้ ต่งเหรินถูกผีหลอก นางกลับไม่เป็นไรเลย ทำให้รู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างแปลกประหลาด มุมปากขยับไปมา แต่ติดอยู่ที่นายท่านสนับสนุน พานหมิ่นก็อยู่ด้วยจึงกลืนคำพูดกลับลงไป นึกถึงประตูข้างฝั่งตะวันตกขึ้นมาจึงถามเหยาหลัน
“เหตุใดจนป่านนี้แล้วยังไม่ปิดตายประตูนั้นไป”
“เรียนนายหญิงใหญ่ เดิมสะใภ้หาคนมาแล้ว” เหยาหลันตอบ “กำลังจะลงมือ บังเอิญหมอดูหยวนอู่ที่จัดงานศพมาพบเข้าพอดี บอกยังไม่ครบวันไว้ทุกข์ ไม่อาจกระทุ้งพื้น* สะใภ้ได้ใส่กุญแจไว้แล้ว ลูกกุญแจให้คนรับผิดชอบดูแลโดยเฉพาะ ทั้งสั่งกำชับไว้ห้ามใครเข้าออก เดิมตั้งใจจะมาเรียนให้ท่านทราบ แต่บังเอิญช่วงหลายวันนั้นมีงานยุ่งมากจึงได้ลืมไป” แล้วบอก “นายหญิงใหญ่ไม่ต้องร้อนใจ ประเดี๋ยวสะใภ้จะไปเอาลูกกุญแจกลับคืนมา เก็บรักษาไว้ที่ท่านนี่ รอคุณชายสี่ครบสี่สิบเก้าวันแล้ว ก็จะให้คนไปปิดตายทันที”
เหยาหลันพูดไปก็มองหลวนอวิ๋นชูแวบหนึ่ง เห็นนางนั่งสง่าผ่าเผยอยู่ที่นั่น สีหน้าไม่มีร่องรอยความละอายใจแม้แต่น้อยนิด คล้ายเรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางอยู่แล้ว เหยาหลันอดหงุดหงิดโมโหไม่ได้ ช่างเป็นจอมก่อเรื่องก่อราว ตกน้ำไปครั้งหนึ่งแล้วยังไม่จดจำ กระทั่งสูญเสียความทรงจำแล้วก็ยังไม่ยอมหยุด ตนต้องถูกตำหนิเพราะนาง นางกลับเฉยเมยเหมือนไม่มีอะไร นั่งอยู่ตรงนั้นราวกับพระพุทธรูป คอยชมเรื่องสนุก
เอ่ยถึงต่งอ้ายนายหญิงใหญ่ก็เศร้าอาดูรขึ้นมา พูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ ต่งกั๋วกงจึงเอ่ยขึ้น
“เมื่อวานเหรินเอ๋อร์เจอผีที่นั่น แม่สามีของเจ้าเป็นห่วงว่าถ้าเข้าออกที่นั่นตามใจชอบอาจเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นอีก จึงเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ประตูบานนั้นในเมื่อคุณชายสี่ทำไว้ตอนที่มีชีวิตอยู่ ก็ไม่ต้องไปปิดแล้ว ทิ้งไว้เถิด”
เหยาหลันพยักหน้ารับคำ หันกลับมาส่งสายตาให้อิ๋งชุน อิ๋งชุนก็ล่าถอยออกไปเงียบๆ
เดิมนายหญิงใหญ่คิดจะทำเช่นที่เหยาหลันกล่าว เก็บลูกกุญแจมาเสียเลย คิดไม่ถึงว่าต่งกั๋วกงชิงพูดขึ้นเสียก่อน ไม่สะดวกจะโต้แย้งต่อหน้าทุกคน นางได้แต่แอบถอนใจ ไม่พูดอะไรอีก
เช่นนี้ถูกต้องแล้ว ทำประตูก็เพื่อให้คนเดินเข้าออก เพียงเพราะสำลักจึงเลิกกินอาหาร* ได้อย่างไร ไม่เสียทีที่เป็นต่งกั๋วกง พบเห็นมามาก มีความรู้กว้างขวางเข้าใจเหตุผล ได้ยินคำพูดนี้แล้วหลวนอวิ๋นชูนอกจากรู้สึกซาบซึ้งใจแล้ว ยังชมต่งกั๋วกงอย่างไม่ตระหนี่ถ้อยคำ กลับไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่เจตนาดีอะไร ที่ต่งกั๋วกงทำเช่นนี้เพียงอยากใช้นางเป็นเหยื่อล่อเพื่อแผนการอันยิ่งใหญ่ของเขา
เห็นทุกคนไม่มีใครพูดอะไร หลวนอวิ๋นชูนึกถึงเมื่อวานซวงเอ๋อร์ถูกนายหญิงใหญ่เรียกมาสอบถาม ทั้งคืนไม่ได้กลับไปจึงตั้งใจจะถามถึง ไม่แน่อาจช่วยชีวิตสาวใช้น้อยที่หุนหันบุ่มบ่ามผู้นี้ได้ ขณะจะเปิดปากก็ได้ยินสาวใช้คนหนึ่งเข้ามารายงาน
“เรียนนายท่าน นายหญิงใหญ่ อาหารเช้าส่งมาแล้ว จะตั้งโต๊ะตอนนี้เลยหรือไม่เจ้าคะ”
“ตั้งโต๊ะเถิด”
นายหญิงใหญ่รับคำอย่างไร้เรี่ยวแรง
หลังกินอาหารเสร็จต่งกั๋วกงไปที่ห้องหนังสือนอก ทุกคนต่างห้อมล้อมนายหญิงใหญ่กลับไปที่ห้องโถง พากันนั่งลงอีกครั้ง เห็นต่งซิ่น ต่งอี้ ต่งเหอคุณชายน้อยทั้งสามตามเข้ามาด้วย นายหญิงใหญ่จึงเอ่ยถาม
“วันนี้ไม่ต้องไปสำนักศึกษาหรือ ถึงได้พากันตามเข้ามา”
ต่งอี้ต่งเหอชอบความเรียงบทกวี แต่ไรมาก็เลื่อมใสพี่สะใภ้สี่ที่มีความสามารถปราดเปรื่องผู้นี้ วันนี้เห็นนางมาแล้วก็ดีอกดีใจเป็นพิเศษ หลังจากกินอาหารแล้วย่อมต้องตามเข้ามาห้อมล้อม ประหนึ่งผู้ติดตามดาราตัวน้อยสองคน
ต่งซิ่นไม่ยอมถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ย่อมต้องตามน้องชายสองคนเข้ามาด้วย เห็นนายหญิงใหญ่ถามด้วยน้ำเสียงตำหนิติเตียน ใบหน้าก็แดงเรื่อขึ้นมาทันทีพลางมองไปที่ต่งเหอ เขาไม่มีมารดาตั้งแต่เล็ก อยู่กับนายหญิงใหญ่มาโดยตลอด จึงเกรงกลัวมารดาที่น่าเกรงขามผู้นี้อย่างมาก
ต่งเหอแลบลิ้นให้ต่งซิ่นแล้วหมุนตัวไป เงยหน้าบอกนายหญิงใหญ่
“เรียนท่านแม่ ลูกเห็นว่ายังเช้าอยู่ อยากจะขอให้พี่สะใภ้สี่ช่วยแต่งบทกวีสักบท เอาไปให้ท่านอาจารย์ดู เขาจะได้ไม่เอาแต่วางท่าสูงส่งทั้งวัน ราวกับว่าในจวนแห่งนี้นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครแต่งบทกวีได้อีก!”
แต่งบทกวี! ข้าแต่งเป็นเสียที่ใดกัน กระทั่งตัวอักษรยังไม่รู้จัก
ได้ยินต่งเหอบอกอยากจะขอให้ช่วยแต่งบทกวีจะเอาไปให้อาจารย์ดู หลวนอวิ๋นชูก็ใจเต้นรัวขึ้นมา ปลายจมูกมีเหงื่อผุด ก้มหน้าลงศึกษาพิจารณารองเท้าผ้าด้ายดิบ ดูว่าจะมีบทกวีออกมาสักบทหรือไม่
* อี๋ไท่ไท่ เป็นคำเรียกอนุภรรยาในเชิงยกย่อง ส่วนคำเรียกอนุภรรยาทั่วไปจะใช้ว่า ‘อี๋เหนียง’
* หลี่หรือลี้ เป็นหน่วยมาตราวัดของจีน เท่ากับความยาว 15 อิ่น เทียบได้กับระยะทางประมาณ 500 เมตร
* ยืมเนินลงจากหลังลา เป็นคำเปรียบเปรย หมายถึงอาศัยเหตุที่เกิดขึ้นมาเป็นข้ออ้าง
** คำพูดเต็มคือ ‘ต้นไม้ที่ตั้งใจปลูกไม่ออกดอก กิ่งหลิวที่ปักส่งเดชให้ร่มเงา’ เป็นสำนวน หมายถึงสิ่งที่ทุ่มเทความพยายามไปมาก สุดท้ายกลับไม่สมปรารถนา แต่สิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจกลับให้ผลลัพธ์ที่ดี
*** ยืนอยู่ริมแม่น้ำมองฝั่งตรงข้ามไฟไหม้ เป็นสำนวน หมายถึงเห็นผู้อื่นตกอยู่ในอันตรายแต่เลือกที่จะอยู่เฉย
**** ปิดปากเงียบดุจจักจั่นที่กลัวความหนาว เป็นสำนวน หมายถึงกลัวจนไม่กล้าเปิดปากพูด
* เป็นธรรมเนียมปฏิบัติข้อหนึ่งของจีนในช่วงไว้ทุกข์ เช่นไม่จัดงานมงคล ไม่แต่งงาน ไม่ทำการก่อสร้างต่างๆ
* เพียงเพราะสำลักจึงเลิกกินอาหาร เป็นสำนวน หมายถึงเพียงเกิดปัญหาเล็กน้อยหรือกลัวจะเกิดปัญหาขึ้น จึงไม่ยอมทำแม้แต่เรื่องที่ควรทำ