หมอหญิงพลิกธรรมเนียม - บทที่ 13
ลู่เซวียนมองสี่จวี๋ด้วยความโกรธ สีหน้าแปรเปลี่ยนไปมา เห็นหลวนอวิ๋นชูใบหน้าผ่ายผอม ริ้วแดงที่สองข้างแก้มยังไม่เลือนหาย สวมชุดสีขาวไว้ทุกข์ ดูอ่อนแอบอบบางเสียจนทำให้คนเห็นแล้วปวดใจ แววตาพลันหม่นขรึมลงอย่างไม่รู้ตัว
เวลาเปลี่ยนคนเปลี่ยน เหตุการณ์บนโลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เขากับนางไม่อาจกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้อีก
วันนี้ไม่เหมือนวันวาน ไม่อาจเรียกชื่อนางเหมือนแต่ก่อนได้อีก ผิดธรรมเนียมปฏิบัติ วันนี้ถ้าเขาโกรธขึ้นมาจริง สาวใช้ไร้มารยาทผู้นี้ต้องถูกลงโทษ หลวนอวิ๋นชูมีหรือจะรอดพ้น นางที่เพิ่งเป็นม่ายจะเผชิญหน้ากับคำติฉินนินทาที่ตามมาอย่างไร
กลืนคำพูดโกรธโมโหที่มาถึงริมฝีปากกลับลงไป ลู่เซวียนประสานมือ หันไปทำความเคารพหลวนอวิ๋นชูอย่างนอบน้อม กล่าวด้วยน้ำเสียงฝืดฝืน
“ต่ง…ฟูเหรินโปรดอย่าตำหนิ ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว”
เห็นลู่เซวียนเปลี่ยนมาเรียกนางว่า ‘ต่งฟูเหริน’ ด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ หลวนอวิ๋นชูรู้สึกห่อเหี่ยว จะอย่างไรเขาก็เป็นคนในสมัยโบราณที่ถูกจารีตประเพณีผูกมัดอยู่
หลวนอวิ๋นชูยอบตัวเล็กน้อยเป็นการคารวะตอบ แล้วเกาะแขนฝูหรงเดินผ่านเขาไปช้าๆ
ลู่เซวียนเผลอตัวยื่นมือออกมา จากนั้นก็ลดมือลง มองเงาร่างผอมบางหายลับไปตรงสุดปลายถนนอย่างเศร้าสลด…
หลวนอวิ๋นชูมองไปแต่ไกลเห็นสาวใช้และหญิงรับใช้สูงวัยกลุ่มหนึ่งยืนเหลียวซ้ายมองขวาอยู่ที่หน้าประตู บางครั้งบางคราวบ่าวไพร่ของเรือนอื่นก็ชะโงกหน้าชะโงกตามามองเช่นกัน
นางใจสั่นสะท้าน
ไม่ใช่กระมัง ต่งเหรินเพิ่งจะกรอกน้ำในทะเลสาบเข้าไปในสมองไม่กี่คำ ก็มาเอาผิดข้าเร็วเพียงนี้เชียว
ด้วยความคิดแบบเดียวกัน ฝูหรงใบหน้าซีดขาว มือที่ประคองหลวนอวิ๋นชูสั่นน้อยๆ กระตุกแขนนางเบาๆ อย่างไม่สบายใจ ใช้สายตาแสดงเจตนาให้มองไปข้างหน้า
หลวนอวิ๋นชูลอบถอนหายใจ นางหนูผู้นี้อะไรก็ดี มีความจงรักภักดีอย่างมาก เสียแต่ขี้ขลาดตาขาว เรื่องเล็กเท่ารูเข็มก็แบกรับไม่ไหวเสียแล้ว นางหันไปส่งสายตาบอกฝูหรงให้วางใจพลางเหยียดหัวไหล่ขึ้น เดินไปข้างหน้าอย่างไม่รีบไม่ร้อน
หากยังไม่ถึงช่วงเวลาสุดท้าย ก็ไม่อาจลนลานเสียความสุขุมเยือกเย็นไปก่อน
“สะใภ้สี่ท่านดู ดูเหมือนจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว” พบว่าที่หน้าประตูเรือนลู่ย่วนมีความผิดปกติ สี่จวี๋ก็สีหน้าเปลี่ยนไป “หรือไม่บ่าวลองไปสอบถามดูก่อน”
หลวนอวิ๋นชูไม่ได้พูดอะไร เพียงเดินไปอย่างไม่เร็วไม่ช้า
“สะใภ้สี่กลับมาแล้ว!” สาวใช้รุ่นเล็กตาไวคนหนึ่งร้องขึ้นมาก่อนใคร “รีบไปบอกพี่สี่หลัน”
มีหญิงรับใช้สูงวัยซอยเท้าเข้ามารับหน้า
“สะใภ้สี่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว สี่หลันส่งคนหลายคนออกไปตามหาท่าน”
“ก็แค่ชั่วยาม* เดียว” ฝีเท้าไม่ได้หยุด หลวนอวิ๋นชูยังคงเดินไปข้างหน้า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงได้มามุงกันอยู่ที่หน้าประตู”
หญิงรับใช้สูงวัยเบี่ยงตัวหลบ ตามติดอยู่ข้างหลังนาง “เรียนสะใภ้สี่ ซิ่วเอ๋อร์ ซิ่วเอ๋อร์เกิดเรื่องแล้วเจ้าค่ะ!”
ไม่ใช่เรื่องต่งเหรินตกน้ำถูกเปิดโปงก็ดีแล้ว
สีหน้าหลวนอวิ๋นชูผ่อนคลายลง จากนั้นก็ขมวดคิ้ว หันกลับมาถาม “ซิ่วเอ๋อร์เป็นอะไรไปหรือ”
“ซิ่วเอ๋อร์…” หญิงรับใช้สูงวัยผู้นั้นยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดตา “ซิ่วเอ๋อร์ไม่อยู่แล้วเจ้าค่ะ”
“ไม่อยู่แล้ว!” คนมีชีวิตคนหนึ่งยังจะหายไปที่ใดได้ สี่จวี๋นึกขำ “คนตัวโตออกปานนั้นจะไม่อยู่แล้วได้อย่างไร”
“นั่นสิ คนตัวโตมีชีวิตคนหนึ่ง บอกไม่อยู่ก็ไม่อยู่ได้อย่างไร” ฝูหรงขัดขึ้นมา แล้วก็อ้าปากกว้างด้วยความตื่นตระหนก ความคิดที่น่ากลัวอย่างหนึ่งผุดขึ้นมา “เฉียนหมัวมัวจะบอกว่า…จะบอกว่า…”
“ใช่…” เฉียนหมัวมัวพยักหน้า “ซิ่วเอ๋อร์โรคร้ายกำเริบฉับพลัน สิ้นลมแล้ว”
หลวนอวิ๋นชูหยุดชะงักทันที หันไปทางเฉียนหมัวมัว เพิ่งเข้าใจที่นางบอกว่า ‘ไม่อยู่แล้ว’ ก็คือ ‘ตายแล้ว’
“ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลย” สี่จวี๋พึมพำขึ้น “เหตุใดจึง…”
“เมื่อครู่ก่อนยังอยู่ด้วยกัน นางก็ยังดีๆ อยู่เลย” ฝูหรงร้องเสียงแหลมขึ้นมา “เพียงแค่ชั่วยามเดียว เฉียนหมัวมัวห้ามพูดจาเหลวไหล!”
“แม่นางฝูหรงสงบสติอารมณ์สักหน่อย เรื่องนี้ข้าจะกล้าพูดจาส่งเดชได้อย่างไร ศพก็อยู่ในห้อง แม่นางเข้าไปดูก็จะรู้” สีหน้าเฉียนหมัวมัวพลันเศร้าสลด “ไม่มีทางช่วยแล้ว”
หลวนอวิ๋นชูหันหน้ากลับ สาวเท้าเดินไป สาวใช้และหญิงรับใช้สูงวัยที่หน้าประตูพากันถอยหลังแยกออกเป็นสองฝั่ง ยืนชิดติดไปด้านข้างแล้วทำความเคารพ สี่หลันได้ยินเสียงก็ออกมารับหน้า ร้องเรียกด้วยนัยน์ตาที่แดงก่ำ
“สะใภ้สี่…”
หลวนอวิ๋นชูโบกมือ “ซิ่วเอ๋อร์อยู่ที่ใด”
“อยู่ในห้องของนาง เพิ่งสิ้นลมเจ้าค่ะ”
สี่หลันพูดพลางพาหลวนอวิ๋นชูอ้อมผ่านสระน้ำภูเขาจำลอง เดินตามระเบียงตรงไปยังลานด้านหลัง พอผ่านประตูก็ได้ยินเสียงร้องไห้เศร้ากำสรดดังมาแต่ไกล สี่หลันก้าวเร็วๆ เข้าไปเปิดประตู หลวนอวิ๋นชูก้าวเท้าเดินเข้าไป
เพ่งสายตามองไป เพียงเห็นซวงเอ๋อร์คุกเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ที่นั่น สาวใช้หลายคนร้องไห้ไปปลอบไป
เห็นหลวนอวิ๋นชูเข้ามา ทุกคนวุ่นวายกันอยู่พักหนึ่ง พากันเข้ามาทำความเคารพ นางโบกมือ เดินไม่กี่ก้าวก็เข้ามาถึงหน้าเตียงเตา ก้มหน้าลงจะตรวจดู จู่ๆ ซวงเอ๋อร์ก็คลานเข่าเข้ามาสองก้าว กอดขานางแล้วร้องไห้บอก
“สะใภ้สี่กลับมาแล้ว ท่านต้องช่วยจัดการให้พี่ซิ่วเอ๋อร์ด้วยนะเจ้าคะ นางตายอย่างแปลกประหลาดเกินไป”
“ตบปาก!” สี่หลันมีสีหน้าตกอกตกใจ “เรื่องใหญ่ถึงชีวิตคนเช่นนี้ ไม่มีพยานหลักฐานก็กล้าพูดจาส่งเดชหรือ ระวังถ้าเรื่องไปถึงหูนายหญิงใหญ่ เจ้าจะต้องถูกถลกหนัง!” แล้วหันมากล่าวกับหลวนอวิ๋นชู “สะใภ้สี่โปรดอย่าฟังคำพูดเหลวไหลของซวงเอ๋อร์เด็ดขาด นางเสียใจมากเกินไปจนเลอะเลือนแล้ว”
“เด็กดี…” เฉียนหมัวมัวพยายามดึงซวงเอ๋อร์ออกไป “ข้ารู้ปกติเจ้ากับซิ่วเอ๋อร์สนิทกัน แต่ก็ไม่อาจพูดจาส่งเดช เจ้าไม่อยากได้ดี ยินดีจะตามนางไป ก็อย่าทำให้พวกเราต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วยเลย ไม่เห็นหรือ คนที่ทะเลสาบลั่วเยี่ยนเหล่านั้นมีคนใดพบจุดจบที่ดีบ้าง”
เฉียนหมัวมัวพูดมาถึงตรงนี้พลันหยุดชะงัก ปรายตามองหลวนอวิ๋นชูอย่างไม่สบายใจแวบหนึ่ง
หลวนอวิ๋นชูเพียงทำเป็นไม่เห็น รอเฉียนหมัวมัวดึงซวงเอ๋อร์ออกไปแล้ว นางก็ก้มหน้าลงมองไป ก่อนจะอดตื่นตะลึงไม่ได้ เห็นเพียงซิ่วเอ๋อร์หน้าตาบิดเบี้ยว ตะแคงตัวม้วนขดอยู่บนเตียง มุมปากยังมีคราบโลหิตสีดำติดอยู่
ไหนเลยจะใช่โรคร้ายกำเริบ เห็นชัดว่าถูกวางยาพิษ!
นางยื่นมือไปอังที่จมูก ไม่มีลมหายใจนานแล้ว
“สะใภ้สี่รีบหยุดมือ” เห็นนางพลิกเปลือกตาซิ่วเอ๋อร์ดู เฉียนหมัวมัวรีบห้าม “คนที่ตายกะทันหันไม่อาจแตะต้อง จะพลอยโชคร้ายไปด้วย ท่านไปรอที่ห้องโถงก่อนเถิด ประเดี๋ยวหลี่ว์หมัวมัวก็มา” แล้วเอ่ยเสริมขึ้น “สะใภ้ใหญ่เป็นคนส่งมา รับผิดชอบเรื่องบรรจุศพใส่โลงโดยเฉพาะเจ้าค่ะ”
ไม่ใช่กลัวว่าหลวนอวิ๋นชูจะตรวจพบอะไรแม้แต่น้อย คนโบราณเชื่อเรื่องงมงาย เฉียนหมัวมัวเห็นว่าแตะต้องคนตายไม่เป็นมงคล โดยเฉพาะคนที่เพิ่งสิ้นลม
ชาติก่อนตอนอยู่มหาวิทยาลัยแม้แต่ศพก็ผ่ามาแล้ว ยังต้องกลัวสิ่งนี้อีกหรือ
ไม่สนใจคำพูดร่ำไรของเฉียนหมัวมัว หลวนอวิ๋นชูสวมรองเท้าขึ้นไปบนเตียง ยอบตัวลง ตรวจดูอย่างละเอียด…
หญ้าไส้ขาด ซิ่วเอ๋อร์ถูกพิษหญ้าไส้ขาด! หลังตรวจสอบเสร็จหลวนอวิ๋นชูก็สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง
หญ้าไส้ขาด หนึ่งในสี่หญ้าพิษร้ายแรง ดอกสีสันสวยงาม กลับมีพิษร้ายแรงอย่างที่สุด หลังจากกินเข้าไปลำไส้จะเปลี่ยนเป็นสีดำและเหนียวติดต่อกัน สุดท้ายไส้ก็จะขาดและตายในที่สุด จึงได้ชื่อว่า ‘ไส้ขาด’ หลวนอวิ๋นชูหยัดกายขึ้นมา สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง พยายามกดข่มหัวใจที่เต้นตึกๆ เอาไว้ หมุนกายแล้วก้มตัวลงเล็กน้อย ยกมือขึ้นยับยั้งคำพูดพิรี้พิไรของเฉียนหมัวมัว
“นาง…โรคกำเริบแต่เมื่อไร”
ในห้องพลันเงียบกริบลง ทุกคนต่างมองหน้ากันแล้วสั่นศีรษะ สุดท้ายสายตาก็จับนิ่งไปที่ร่างของซวงเอ๋อร์
“ตอนเช้ายังดีๆ อยู่เจ้าค่ะ” ซวงเอ๋อร์สะอื้นไห้ “เห็นนางกลับมา บ่าวจึงขอให้นางช่วยถักเชือกเป็นลวดลาย ไหนเลยจะรู้พอเข้าห้องมานางก็บอกว่าปวดท้อง ลงไปนอนฟุบอยู่บนเตียง ตอนแรกก็ไม่ได้ใส่ใจ เข้าใจว่ากระทบถูกลมเย็น บ่าวจึงรินน้ำร้อนให้ถ้วยหนึ่ง คิดไม่ถึงว่ายิ่งนานยิ่งปวดขึ้นทุกที ตอนหลังนอนฟุบอยู่บนเตียงส่งเสียงร้องครวญครางไม่หยุด บ่าวจึงช่วยนวดให้นาง ไหนเลยจะรู้ ยิ่งนวดก็ยิ่งปวด ถึงกับเริ่มเกลือกกลิ้งไปมาทั่วเตียง” สะอึกสะอื้นอยู่ครู่หนึ่งซวงเอ๋อร์ก็พูดต่อ “คราวนี้บ่าวถึงได้กลัวขึ้นมา ออกไปเรียกเฉียนหมัวมัว”
ยิ่งนวดโลหิตยิ่งไหลเวียนเร็ว หญ้าไส้ขาดยิ่งออกฤทธิ์เร็วขึ้น เห็นซวงเอ๋อร์สะอึกสะอื้นจนพูดไม่เป็นคำ หลวนอวิ๋นชูจึงหันไปมองเฉียนหมัวมัว
“บ่าวมีชีวิตอยู่มาถึงป่านนี้ ยังไม่เคยเห็นใครเจ็บปวดมากเพียงนี้มาก่อน” เฉียนหมัวมัวยกชายแขนเสื้อขึ้นเช็ดตา “ที่ห้องบ่าวมียางดอกอิงซู่ที่ใช้รักษาอาการปวดท้องอยู่บ้าง เดิมคิดจะเอามา แต่เห็นนางเป็นเช่นนี้ ไหนเลยจะกล้าใช้ส่งเดช…เห็นท่านกับสี่หลันสี่จวี๋ล้วนไม่อยู่ จึงตัดสินใจไปเรียนสะใภ้ใหญ่ นางสั่งให้ตามหมอแล้ว” รับกระดาษเงินกระดาษทองที่สาวใช้รุ่นเล็กเอาเข้ามาไปปิดหน้าให้ซิ่วเอ๋อร์ “เด็กสาวที่ดีคนหนึ่ง ใครจะคิดว่าอาภัพเช่นนี้ ตั้งแต่เล็กก็ไม่มีแม่ มีพ่ออยู่คนเดียว พ่อนางรับใช้อยู่ข้างกายนายท่าน ฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้วจู่ๆ ก็โรคร้ายกำเริบตายไป เพิ่งจะผ่านมาได้ไม่กี่เดือน”
เฉียนหมัวมัวพูดพลางจับตัวเสื้อด้านหน้าขึ้นมาเช็ดตาแล้วพร่ำรำพันขึ้นมา “นี่เป็นเพราะชะตากรรม…ดีที่บ่าวไม่ได้เอายางดอกอิงซู่ให้นางกิน หาไม่คงยากจะอธิบายแล้ว”
อิงซู่ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อยาฝิ่น ใช้รักษาอาการปวดท้องได้จริง แต่จะถอนพิษหญ้าไส้ขาดได้อย่างไร
“บิดาของนางก็ตายเพราะโรคกำเริบฉับพลัน?” หลวนอวิ๋นชูไม่ชอบที่เฉียนหมัวมัวพูดพิรี้พิไรไม่จบไม่สิ้นจึงตัดบทนาง “เฉียนหมัวมัวเห็นตอนเขาตายหรือไม่ว่าเป็นอย่างไร” แล้วถามอีก “เหมือนซิ่วเอ๋อร์หรือไม่”
“เหมือนกับซิ่วเอ๋อร์เจ้าค่ะ สะใภ้สี่สงสัยว่านี่จะเป็นโรคที่สืบทอดทางสายเลือดหรือ” คำถามออกจะห่างจากประเด็นไปไกล เฉียนหมัวมัวงงงัน ผ่านไปพักใหญ่จึงได้สติ “คิดว่าคงเพราะสะใภ้สี่อายุยังน้อย ประสบการณ์ไม่มาก” เห็นหลวนอวิ๋นชูนิ่งเงียบไม่พูด จึงเข้าใจว่านางยอมรับแล้ว “ขอเพียงเป็นโรคร้ายพวกนี้ ล้วนเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่เกี่ยวกับที่บิดาเคยเป็น”
“อาการของพวกเขาไม่เหมือนกันหรือ”
“ล้วนเป็นคนข้างกายนายท่านที่จัดการ นายท่านเองก็ไม่เห็น ได้ยินซิ่วเอ๋อร์บอกเพราะบิดาของนางทำงานไม่รอบคอบจึงถูกลงโทษ เพราะโทสะถึงทำให้ล้มป่วย เห็นว่าท้องร่วง ทั้งยังเวียนหัวคลื่นเหียน หมอบอกเป็นอาการของโรคที่เกิดจากความหนาวเย็น”
ท้องร่วง เวียนหัว คลื่นเหียน นี่ไม่ใช่พิษของหญ้าไส้ขาดแน่นอน ฟังคำพูดของเฉียนหมัวมัวแล้ว หลวนอวิ๋นชูแอบหัวเราะเยาะตนเอง ระแวงเกินไปแล้วจริงๆ ไม่ว่าอะไรก็นึกสงสัยไปเสียหมด ดูจากซิ่วเอ๋อร์ พ่อของนางก็ต้องเป็นคนซื่อๆ คนหนึ่ง ไม่ใช่คนสำคัญอะไร ใครจะไปคิดทำร้ายเขาเล่า
เพียงแต่ซิ่วเอ๋อร์เด็กสาวที่คล่องแคล่วน่ารักคนหนึ่ง ลำพังเมื่อเช้าเห็นนางอยู่ภายใต้แรงกดดันของสี่จวี๋สี่หลันก็ไม่กล้าเข้ามาใกล้ตน ก็รู้แล้วว่านางไม่ใช่คนชอบเอาชนะชอบก่อเรื่องก่อราว เพราะผลประโยชน์ส่วนได้ส่วนเสียใดกันที่ทำให้นางต้องเอาชีวิตมาทิ้งเสียตั้งแต่อายุยังน้อย
พอหลวนอวิ๋นชูเห็นสี่หลันก็นึกถึงตอนอยู่ที่ประตูข้างฝั่งตะวันตก ช่วงที่ซิ่วเอ๋อร์ขอกลับมา ตนเองเป็นเพราะตื่นตัวระแวดระวังภัย ตอนหันไปมองนางครั้งนั้น เห็นนางใบหน้าซีดขาว หน้าผากมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมออกมาก็ไม่ได้เอะใจ เพียงเข้าใจว่านางคงเหนื่อย ตอนนี้มาคิดดูในเวลานั้นซิ่วเอ๋อร์คงถูกพิษแล้ว และเริ่มจะออกฤทธิ์
ด้วยสภาพของซิ่วเอ๋อร์ในตอนนั้น นางต้องถูกพิษมาแล้วอย่างน้อยเกินครึ่งชั่วยาม พวกนางเดินเที่ยวเล่นอยู่ในสวนสมุนไพรเกือบหนึ่งชั่วยาม นั่นก็หมายความว่าซิ่วเอ๋อร์ถูกพิษตอนอยู่ในสวนสมุนไพร
สี่จวี๋สี่หลันไม่ได้เข้าสวนสมุนไพร ตอนนั้นมีเพียงนางกับฝูหรง…
ลุงใบ้!
เฮยเจ๋อเฉ่า หยางเจี่ยวเถิง…ในสวนสมุนไพรปลูกพืชมีพิษมากเพียงนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าลุงใบ้ต้องเป็นยอดฝีมือในการใช้พิษแน่นอน
นึกถึงบุรุษอัปลักษณ์ที่เป็นเหมือนปริศนาผู้นั้น หลวนอวิ๋นชูอดที่จะร่างสั่นเทาน้อยๆ ไม่ได้
ภาษามือที่ชำนิชำนาญของซิ่วเอ๋อร์ พอลุงใบ้เห็นนางก็คลี่ยิ้มออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ซิ่วเอ๋อร์จับแขนลุงใบ้พลางออดอ้อนด้วยความสนิทสนมเช่นนั้น อากัปกิริยาเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้น ไม่มีสิ่งไหนไม่บ่งบอกถึงความคุ้นเคยของคนทั้งสอง มองเห็นได้ถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งดุจพ่อลูกของพวกเขา
สาเหตุอะไรที่ทำให้ลุงใบ้ตัดสินใจวางยาสังหารซิ่วเอ๋อร์ในเวลาชั่วพริบตาเดียว การตัดสินใจที่เหี้ยมโหดไร้เยื่อใยเช่นนี้ได้นำมาปฏิบัติจริงจนสัมฤทธิผล!
เป็นตอนที่ซิ่วเอ๋อร์ถามถึงหยางเจี่ยวเถิงหรือ
หลวนอวิ๋นชูย้อนนึกทุกการเคลื่อนไหวของพวกตนตอนอยู่ในสวนสมุนไพรอย่างละเอียด ตอนซิ่วเอ๋อร์ถามถึงหยางเจี่ยวเถิง ลุงใบ้มีท่าทีผิดปกติเล็กน้อย ยังมีตอนที่นางคิดจะหยั่งเชิงเขา จู่ๆ อากาศรอบตัวก็เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกขึ้นมา ตอนนั้นเพียงเข้าใจว่าลุงร้อนตัวกลัวพวกนางจะพบหญ้าพิษในสวนสมุนไพร ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ดูเหมือนจะมีความลับอย่างอื่นซุกซ่อนอยู่…
ลุงใบ้ผู้นี้ที่แท้แล้วมีภูมิหลังเช่นใดกันแน่
“สะใภ้สี่…”
เห็นหลวนอวิ๋นชูสีหน้าซีดขาว ฝูหรงจึงร้องเรียกออกมาด้วยความเป็นห่วง
หลวนอวิ๋นชูตื่นจากภวังค์ เห็นฝูหรงใบหน้าซีดเผือด กำลังสะอึกสะอื้น แม้แต่ร่างก็สั่นเทาไม่หยุด ใจของหลวนอวิ๋นชูก็สั่นสะท้าน
“เจ้าไม่เป็นไรกระมัง…ปวดท้องหรือ”
“บ่าวไม่เป็นไร” ฝูหรงเงยหน้าขึ้นมาด้วยความฉงน “สะใภ้สี่เป็นอะไรไป”
ถ้าฝูหรงถูกพิษด้วยจริง เกรงว่าคงเหมือนซิ่วเอ๋อร์ วิญญาณกลับสู่ยมโลกไปนานแล้ว ไหนเลยจะรอมาถึงป่านนี้ พอคำพูดออกจากปากหลวนอวิ๋นชูก็นึกเสียใจแล้ว นึกบ่นว่าตนเองที่มุทะลุบุ่มบ่ามกลายเป็นนกตื่นธนู* มองว่าจวนกั๋วกงแห่งนี้ก็คือสุสานรกร้างที่น่าสะพรึงกลัวแห่งหนึ่ง แม้ตอนกลางดึกจะกลายเป็นคฤหาสน์ที่งามหรูหรา แต่ทว่าทุกหนแห่งกลับดูแปลกประหลาด ลี้ลับ และน่าอึดอัดจนทำให้คนหายใจไม่ได้…
สงบจิตสงบใจลงแล้ว หลวนอวิ๋นชูแข็งใจทำเป็นสุขุมเยือกเย็น
“เห็นเจ้าสีหน้าไม่ดี ยังเข้าใจว่าเจ้าก็ไม่สบาย”
“บ่าวเพียงตื่นตระหนกตกใจ เหตุใดจู่ๆ ซิ่วเอ๋อร์ก็…ตอนเช้านางยังพูดคุยหัวเราะอยู่ด้วยกันแท้ๆ”
ขณะพูดอยู่นั้นก็เห็นสาวใช้รุ่นเล็กคนหนึ่งมาเคาะประตู เกาะขอบประตูอยู่ด้วยท่าทางอกสั่นขวัญหาย ร้องบอกอยู่ห่างๆ
“เรียนสะใภ้สี่ หลี่ว์หมัวมัวมาแล้วเจ้าค่ะ รออยู่นอกประตู”
“หลี่ว์หมัวมัว?”
“นางมาเพื่อทำความสะอาดร่างกายแต่งตัวให้ซิ่วเอ๋อร์เจ้าค่ะ” สาวใช้รุ่นเล็กตอบ
หลังสาวใช้รุ่นเล็กพูดจบ เห็นหลวนอวิ๋นชูไม่ตอบ เฉียนหมัวมัวก็กล่าวเสริมขึ้น
“ซิ่วเอ๋อร์ตายตั้งแต่อายุยังน้อย มีความอัปมงคลสูง เชิญสะใภ้สี่ไปรอที่ห้องโถงเถอะเจ้าค่ะ จะได้ให้หลี่ว์หมัวมัวเข้ามาบรรจุศพ”
หลวนอวิ๋นชูขมวดคิ้ว
“บรรจุศพตั้งแต่ตอนนี้ ใช่เร็วไปหน่อยหรือไม่”
คนพวกนี้ไม่มีความรู้เรื่องการแพทย์ มองไม่ออกว่าซิ่วเอ๋อร์ถูกพิษ แต่ซิ่วเอ๋อร์ตายอย่างมีเลศนัย ย่อมต้องให้คนมาชันสูตรศพ สืบสาวราวเรื่องดู ไม่อาจเลอะๆ เลือนๆ เอาคนไปฝังเช่นนี้กระมัง
ไม่ว่าอย่างไรเรื่องก็เกี่ยวพันถึงชีวิตคน
อีกประการหนึ่งในสวนด้านหลังมีลุงใบ้ที่เป็นคนลึกลับ จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต เชี่ยวชาญการใช้พิษอยู่คนหนึ่ง ก็เหมือนมีระเบิดเวลาอยู่ลูกหนึ่ง ย่อมต้องหาโอกาสกำจัดไปเสียจึงจะสบายใจ
“นี่…นี่เป็นคำสั่งของสะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ”
คิดไม่ถึงว่าหลวนอวิ๋นชูจะคัดค้าน เฉียนหมัวมัวเงยหน้าเล็กน้อย ก็แค่สาวใช้ชีวิตต่ำต้อยคนหนึ่ง เรื่องมีเลศนัยในจวนมีออกมากมาย ดีไม่ดีจะกลายเป็นหาเรื่องใส่ตัว สะใภ้สี่ผู้นี้เยาว์วัยเกินไปแล้ว
* ชั่วยาม เป็นหน่วยนับเวลาของจีนในสมัยโบราณ โดยหนึ่งชั่วยามเท่ากับ 2 ชั่วโมง
* นกตื่นธนู เป็นสำนวน ใช้เปรียบเทียบกับคนที่เคยผ่านเหตุการณ์ที่ไม่ดีมา และภายหลังเมื่อมีอะไรมากระทบเล็กน้อยก็จะตื่นกลัวอย่างมาก