Summary
เมื่อ ‘หลวนอวิ๋นชู’ ตื่นขึ้นมา นางก็พบว่าตนเองไม่มีสิทธิ์แม้แต่เลือกเจ้าบ่าว ในโลกใบนี้นางกลายเป็นหญิงม่ายที่สามีเพิ่งตายหลังแต่งงานได้เพียงสามวัน! อีกทั้งตระกูลสามียังคาดหวังให้นาง ‘ครองพรหมจรรย์’
เสียงพูดคุยกระซิบกระซาบทำให้ตกใจตื่น เลี่ยวจิ้งชูลืมตาขึ้นมา…แปลกจริง ทำไมไม่รู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงจากอาการเมาค้าง เหลียวมองไปรอบด้าน คล้ายกำลังอยู่ในแดนเซียนอย่างไรอย่างนั้น ชั่วขณะนั้นเลี่ยวจิ้งชูถึงกับไม่รู้ว่าตนเองอยู่ในความฝันหรือความจริง กระทั่งขยับตัวเล็กน้อยแขนขารู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรง นางถึงได้สติแจ่มชัดขึ้นมา
ที่นี่คือที่ไหน
บนผนังที่อยู่ด้านหน้ามีภาพบุคคลวาดด้วยหมึกจีนใส่อยู่ในกรอบไม้แดง ข้อความที่เขียนติดอยู่คล้ายตัวอักษรเสี่ยวจ้วน* เลี่ยวจิ้งชูเพ่งมองอยู่เป็นนาน ดูจากภาพแล้วเดาว่าเป็น ‘ภาพหญิงงาม’ สามคำนี้ คำบรรยายและลงนามท้ายภาพอ่านไม่ออกแม้แต่ตัวเดียว สายตาเคลื่อนไปที่จุดอื่น บนโต๊ะยาวลายมังกรบนปุยเมฆที่ตั้งติดผนังมีคันฉ่องสำริดแบบโบราณที่เรียบง่ายงดงามตั้งอยู่บานหนึ่ง ด้านข้างมีอ่างหยกแกะลวดลายประณีตงดงามวางอยู่ สองข้างของโต๊ะมีเก้าอี้ทรงกลมตั้งอยู่สองตัว นอกจากนี้ยังมีม้านั่งเตี้ยทรงดอกเหมยอีกสี่ตัว บนโต๊ะเตี้ยมีพิณหยกวางอยู่คันหนึ่ง ให้กลิ่นอายของความโบราณ บนตู้มีเครื่องลายครามของโบราณที่ประณีตงดงามวางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด
มองม่านมุ้งซ้อนกันเป็นชั้นๆ บนเตียง สูดดมกลิ่นเย็นจางๆ ต่อให้เป็นคนที่ความรู้สึกช้าเพียงใด เลี่ยวจิ้งชูก็รู้ว่าตนทะลุมิติมาแล้ว
นิ้วมือเรียวยาวดุจหยกนุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูก บนข้อมือมีกำไลหยกสุกใสแวววาว ยิ่งขับผิวพรรณให้ขาวผ่องดุจหิมะ เพียงเห็นก็รู้ว่าไม่เคยทำงานหนัก เลี่ยวจิ้งชูรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา สวรรค์ดีต่อนางไม่น้อย ไม่ได้ให้นางตกอับไปเป็นหญิงในครอบครัวยากจน
มองตามเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบไป เลี่ยวจิ้งชูพบว่าห้องที่อยู่ติดกันเป็นห้องอุ่น** เสียงพูดดังมาจากที่นั่น เป็นเสียงที่ทำให้นางตกใจตื่น จึงอดย่นหัวคิ้วไม่ได้
ห้องนี้ดูโอ่อ่ารโหฐาน เหตุใดถึงไม่กันเสียง
ฟังออกว่าคนพูดพยายามลดเสียงลงเบามากแล้ว แต่ทั้งมีผนังห้องกั้นอยู่ เสียงก็ยังคงลอยมาเข้าหูนางอย่างควบคุมไม่ได้
เสียงแรกเป็นเสียงแก่ชรา “รีบไป ฉวยโอกาสที่นางยังไม่ตื่น เอายากรอกลงไป”
“นี่…ทำได้หรือ” เสียงขลาดกลัวเสียงหนึ่ง “สะใภ้สี่เพียงสำลักน้ำ ไม่นานก็จะฟื้นแล้ว คนถูกคุณชายเจียงช่วยชีวิตไว้ ทั้งยังพาส่งกลับมาแล้ว ถ้าถูกพิษตายอีก เกรงว่า…”
“เจ้าอย่าคิดอะไรเหลวไหล นางเป็นหลานสาวแท้ๆ ของนายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่จะทำร้ายนางถึงตายได้อย่างไร นี่เป็นยาที่ทำให้เป็นใบ้ นายหญิงใหญ่กลัวว่าถ้านางเอะอะโวยวายใหญ่โต จวนกั๋วกง*** แห่งนี้ก็ต้องพังพินาศแล้ว”
“ก็แค่สาวใช้ที่ติดตามมาพร้อมการแต่งงานตายไปคนหนึ่ง เหตุใดนางต้องเอะอะโวยวายใหญ่โต” เสียงชะงักนิ่งไปครู่หนึ่ง “อีกอย่าง นางเป็นบัณฑิตหญิง ต่อให้เป็นใบ้แล้ว ก็ยังเขียนหนังสือได้”
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่บ่าวต้องเป็นห่วง คำสั่งของเจ้านาย เจ้าแค่ปฏิบัติตามก็พอ!” เสียงแก่ชราพลันน่าสะพรึงกลัวขึ้นมา “จำไว้ อยากจะมีชีวิตยืนยาว จงปล่อยให้เรื่องพวกนี้เน่าอยู่ในท้อง!”
“เรื่องพวกนี้ข้าเข้าใจ เพียงแต่…”
“รีบไป ขืนโอ้เอ้ชักช้า ท่านน้าหลวนก็จะมาแล้ว”
มิน่าเล่า ข้าถึงทะลุมิติมาได้ ที่แท้เจ้าของร่างนี้จมน้ำตายไปแล้ว
เลี่ยวจิ้งชูรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว นางไม่สงสัยแม้แต่น้อย ตนเองก็คือ ‘สะใภ้สี่’ ที่พวกนางพูดถึงผู้นั้น
ที่นี่คือจวนกั๋วกง นางกับสาวใช้ที่ติดตามมาพร้อมการแต่งงานตกน้ำไปทั้งคู่ นางถูกช่วยขึ้นมาได้ ส่วนสาวใช้ตายแล้ว นายหญิงใหญ่…หรือก็คือป้าแท้ๆ ของนางกลัวนางจะเอะอะโวยวาย จึงคิดจะวางยาให้นางกลายเป็นใบ้
สั้นๆ ไม่กี่ประโยคข่าวที่เลี่ยวจิ้งชูได้รับมาก็มีเพียงเท่านี้ เมื่อมาขบคิดดูอย่างละเอียดก็พบว่าไม่ถูกต้อง!
ไม่ใช่บอกว่าชีวิตของสาวใช้ในสมัยโบราณล้วนไร้ค่าหรอกหรือ ไฉนสาวใช้ตายไปคนเดียว นายหญิงใหญ่ก็กลัวนางจะเอะอะโวยวายเล่า
ขณะกำลังคิดอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียง ‘แอ๊ด’ ประตูถูกผลักเข้ามาจากข้างนอก ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าดังตึกๆ เลี่ยวจิ้งชูรีบหลับตาลง
“สะใภ้สี่ สะใภ้สี่เจ้าคะ”
หลิ่วเอ๋อร์ยกถาดเงินใบหนึ่งเข้ามา ในถาดมีชามหยกสีขาวอยู่สองใบ เดินช้าๆ เข้ามาถึงหน้าเตียง ร้องเรียกสองคำ เห็นเลี่ยวจิ้งชูไม่ขานรับก็ลอบระบายลมหายใจ แล้วเอาถาดเงินวางลงบนโต๊ะ
“ฟื้นแล้วหรือ” จางหมัวมัว* ที่ตามเข้ามาเอ่ยถาม
“ยังไม่ฟื้น” หลิ่วเอ๋อร์หันหน้าไป “จางหมัวมัวช่วยหน่อยเจ้าค่ะ”
สองคนช่วยกันประคองเลี่ยวจิ้งชูขึ้นมา หลิ่วเอ๋อร์หยิบหมอนอิงใบหนึ่งมารองแผ่นหลังให้เลี่ยวจิ้งชู
รับรู้ได้ว่ามีชามยายื่นมาถึงริมฝีปาก เลี่ยวจิ้งชูกัดฟันไว้แน่น
“นางกัดฟันไว้แน่นเกินไป ป้อนไม่ได้เลย”
“คนหมดสติก็เป็นเช่นนี้ เจ้าเอามือบีบขากรรไกรทั้งสองข้างของนาง ปากก็จะอ้าออกแล้ว”
ขากรรไกรปวดแปลบขึ้นมา เลี่ยวจิ้งชูทนไม่ไหวร้องออกมาคำหนึ่ง ลืมตาขึ้นมาทันที จ้องหลิ่วเอ๋อร์เขม็ง
หลิ่วเอ๋อร์ตัวสั่นเทา หลุดเสียงร้องออกมา น้ำยาเกือบจะกระฉอก
“เจ้าจะทำอะไร!”
เดิมเลี่ยวจิ้งชูคิดจะยับยั้งหลิ่วเอ๋อร์ เมื่อครู่เห็นมือที่ยกชามยาของอีกฝ่ายสั่นระริก เล็บซีดขาว นางตวาดออกมาไม่แน่ยานั่นอาจกระฉอกหก คิดไม่ถึงว่าทุ่มเทเรี่ยวแรงที่มีอยู่จนหมดเสียงกลับคล้ายยุงบิน ชามยาในมือหลิ่วเอ๋อร์ยังคงอยู่ดี
เลี่ยวจิ้งชูหน้าม่อยคอตก จากนั้นก็พยายามเอนตัวไปข้างหลังหลบเลี่ยงชามยา
หลิ่วเอ๋อร์หันไปมองจางหมัวมัว
“สะใภ้สี่ไม่ต้องกลัว นี่เป็นยาขับไล่ความหนาวเย็น” จางหมัวมัวหลอกล่อนางเสียงเบา “ท่านกระโดดทะเลสาบฆ่าตัวตายบูชาความรัก กระทบถูกความเย็นเข้า ท่านหมอเหยียนเพิ่งมาตรวจไป” นางรับชามยามา “มาเถอะเจ้าค่ะ รีบดื่มยาตอนที่ยังร้อนเถิด”
ฆ่าตัวตายบูชาความรัก?
ที่แท้ไม่ใช่ก้าวพลาดตกลงไปในน้ำ
เลี่ยวจิ้งชูพบว่าตัวนางเองสวมชุดสีขาวทั้งร่าง ในห้องเต็มไปด้วยสีขาวที่เย็นเยือกวังเวง นางย่นหัวคิ้วมองไปทั่วร่างของตน อายุก็ยังไม่มากนี่ เหตุใดถึงได้เป็นแม่ม่าย ช่างโชคร้ายเสียจริง
ถ้าจะฆ่าตัวตายบูชาความรัก ใช้แพรขาวสามศอก* ก็พอ ไยต้องวิ่งออกไปกระโดดทะเลสาบที่ข้างนอกด้วย
เลี่ยวจิ้งชูรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ในเวลาอันสั้นยังจับสายสนกลในของเรื่องไม่ออก ได้แต่มุ่นหัวคิ้ว จ้องยาน้ำสีดำชามนั้นอย่างงงงัน
ได้ชีวิตกลับคืนมาอีกครั้งไม่ง่าย นางอยากใช้ชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี เพียงแต่…นางจะหลบหลีกจากมหันตภัยในครั้งนี้ไปได้อย่างไร
“สะใภ้สี่กลัวจะขมหรือ” จางหมัวมัวถามหยั่งเชิง แล้วชี้ไปที่ชามหยกขาวอีกใบหนึ่ง “นี่ไม่ใช่เตรียมน้ำหวานไว้ให้ท่านแล้วหรือ” เห็นนางเม้มปากแน่น จางหมัวมัวก็ถอนหายใจ “ท่านหมอเหยียนบอกท่านจมน้ำ ความเย็นเข้าสู่ร่างกาย ถ้าไม่บำรุงรักษาให้ทันท่วงทีก็จะทิ้งโรคเรื้อรังไว้” จากนั้นก็เช็ดๆ ดวงตา “บ่าวเพิ่งทราบ คุณชายสี่เพิ่งจากไป ท่านมีความทุกข์ทรมานใจ แต่ท่านอายุยังน้อย วันเวลายังอีกยาวนาน อย่าได้คิดไม่ตกเป็นอันขาด”
หลิ่วเอ๋อร์สะอึกสะอื้นขึ้นมา
ได้ยินเสียงร้องไห้จางหมัวมัวก็สะดุ้งตกใจ หันไปมองประตูห้องว่ามีคนหรือไม่ทันที จากนั้นก็ถลึงตาใส่หลิ่วเอ๋อร์อย่างดุดันทีหนึ่งแล้วยื่นชามยาให้นาง “เจ้าอยู่ปรนนิบัติก่อน ข้าจะไปเรียนนายหญิงใหญ่”
หลิ่วเอ๋อร์กัดฟันแน่น ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย ไม่สนใจเลี่ยวจิ้งชูที่สั่นหัวไม่หยุด ดึงดันจะยกชามยามาที่ริมฝีปากของนาง
หลิ่วเอ๋อร์จำเป็นจะต้องกรอกยาลงไปเดี๋ยวนี้ เพราะถ้าถูกคนพบเห็นเข้าจะลำบาก
เห็นหลิ่วเอ๋อร์ใช้กำลังบีบบังคับ เลี่ยวจิ้งชูร่างสั่นเทิ้ม แขนขยับเล็กน้อย คิดจะปัดชามยาให้คว่ำ กลับใช้แรงออกมาไม่ได้แม้แต่น้อยนิด
ทำอย่างไรดี…บอกไปตามตรงว่ายานี้มีพิษ?
ดูจากท่าทาง น่ากลัวว่าหลิ่วเอ๋อร์จะต้องเป็นสุนัขจนตรอกกระโดดขึ้นกำแพง**
หากคิดจะใช้ฐานะของความเป็นนายขู่ขวัญหลิ่วเอ๋อร์ล่ะก็ เลี่ยวจิ้งชูส่ายหัวทันที รู้ทั้งรู้ว่านางฟื้นคืนสติแล้ว หลิ่วเอ๋อร์ยังดึงดันจะกรอกยา ไม่กลัวว่านางจะรู้ว่าถูกวางยาให้เป็นใบ้ เห็นชัดว่านางกลัวนายหญิงใหญ่มากกว่า
ในจวนแห่งนี้คำสั่งของนายหญิงใหญ่น่าจะมีอำนาจสูงสุดแล้ว!
ทั้งที่รู้ว่านางเขียนหนังสือได้ วางยาให้นางเป็นใบ้ก็แค่ปิดหูขโมยกระดิ่ง* แต่นายหญิงใหญ่ยังคงยืนกราน เห็นได้ว่าเรื่องนี้ต้องไม่ปกติธรรมดา ปิดบังท่านน้าหลวนเช่นนี้ ไม่แน่นายหญิงใหญ่อาจยังคิดหาวิธีทำให้นางเขียนหนังสือไม่ได้ด้วย
ที่แท้แล้วเป็นเรื่องอะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้นายหญิงใหญ่หวาดกลัวเช่นนี้
จิตใต้สำนึกบอกกับนาง ต้องไม่ใช่เช่นที่หลิ่วเอ๋อร์พูดว่ามีสาวใช้ประจำตัวตายไปคนหนึ่ง
เลี่ยวจิ้งชูมองหลิ่วเอ๋อร์ คิดจะบอกไปตรงๆ ว่านางสูญเสียความทรงจำแล้ว ไม่รู้อะไรทั้งนั้น ไม่ต้องดื่มยานี้หรอก ทว่าก็ได้แต่ฝืนยิ้ม มาพูดตอนนี้น่ากลัวจะช้าไปแล้ว
สูญเสียความทรงจำกับดื่มไม่ดื่มยาไม่เกี่ยวกัน นางพลาดโอกาสที่จะพูดไปแล้ว หลิ่วเอ๋อร์จะต้องเห็นว่านางแสร้งทำเป็นสูญเสียความทรงจำแน่
ความคิดหมุนไปอย่างเร็วรี่ เลี่ยวจิ้งชูคิดหาหนทางไปร้อยแปด กลับไม่มีสักวิธีที่ใช้ได้ นางจำต้องกัดฟันเอาไว้แน่น แม้จะรู้ว่าทำเช่นนี้จะยืนหยัดได้ไม่นาน แต่นางก็ยังคงยืนหยัดต่อไป เวลาที่ผ่านไปไม่กี่อึดใจล้วนทุกข์ทรมาน เพียงเวลาชั่วแวบเดียวก็มีเหงื่อออกมาชุ่มร่าง วันแรกที่ได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง นางก็ได้ลิ้มรสชาติที่ว่า ‘มีดเขียงคือเขา เราเป็นเนื้อปลา’**
“น้องสาวฟื้นแล้วหรือ เหตุใดจึงคิดไม่ตกเช่นนี้!”
ขณะไม่รู้จะทำอย่างไรดีอยู่นั้น เสียงสุภาพนุ่มนวลเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา เลี่ยวจิ้งชูช้อนตามองไป ก็เห็นสาวใช้หน้าตางดงามกลุ่มหนึ่งเดินล้อมหญิงแต่งงานแล้วหน้าตาสะสวยท่าทางสุภาพสง่างามคนหนึ่ง ผลักประตูเข้ามา
หญิงหน้าตางดงามคนนั้นสวมเสื้อคลุมบุนวมตัดเย็บจากผ้าดิ้นอวิ๋นจิ่น*** ลายดอกสีขาว ข้างในสวมกระโปรงสีน้ำเงินปักลวดลายที่ขอบชุด เสื้อผ้าที่สวมใส่ฝีมือในการตัดเย็บชั้นหนึ่ง แม้จะดูเรียบง่าย แต่ไม่อาจอำพรางความงดงามล้ำค่าไว้ได้ ยิ่งไม่อาจอำพรางรูปโฉมอันอรชร ใบหน้าขาวคิ้วดำเรียวงาม และที่ทำให้เลี่ยวจิ้งชูประหลาดใจก็คือหญิงผู้นี้แลละม้ายคล้ายคลึงกับหลิ่วเอ๋อร์อยู่สามส่วน แต่งามล้ำมากกว่า บุคลิกท่วงทีสูงส่งสง่างามกว่า ผิวพรรณขาวหมดจดกว่าหลิ่วเอ๋อร์
เลี่ยวจิ้งชูในใจสั่นสะท้าน หรือพวกนาง…
“สะใภ้ใหญ่หยุดก่อน สะใภ้สี่…”
ขณะกำลังคาดเดาอยู่นั้น จางหมัวมัวที่บอกจะไปรายงานนายหญิงใหญ่ก็ตามติดเข้ามา พอเห็นหลิ่วเอ๋อร์ถือถ้วยยายืนงงอยู่กับที่ สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน เสียงขาดหายไปทันที
จางหมัวมัวยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วกัดฟันเดินเข้ามา ทางหนึ่งก็ขยิบตาให้หลิ่วเอ๋อร์
เห็นหลิ่วเอ๋อร์ถือถ้วยยาจะเดินออกไปข้างนอก สะใภ้ใหญ่ก็ถามขึ้น “นี่คือยาอะไร”
“เรียนสะใภ้ใหญ่ นี่คือยาขับไล่ความหนาวเย็น” หลิ่วเอ๋อร์หน้าซีดเผือด ลนลานทำความเคารพ “สะใภ้สี่ไม่ดื่ม บ่าวจะไปเชิญนายหญิงใหญ่”
“เอาวางไว้ที่นี่ก่อนเถิด”
สะใภ้ใหญ่คล้ายไม่ได้สังเกตเห็นความลนลานของหลิ่วเอ๋อร์ นางลงนั่งที่ขอบเตียง จับมือเลี่ยวจิ้งชูอย่างสนิทสนมแล้วบ่นขึ้น
“ถ้าไม่ใช่คุณชายเจียงบังเอิญเดินผ่านทะเลสาบลั่วเยี่ยน น่ากลัวคงไม่ได้เจอเจ้าอีกแล้วจริงๆ…” ยกมือขึ้นเช็ดหัวตาแล้วกล่าวปลอบ “น้องสาวปลงให้ตกสักหน่อยเถิด เจ้าดูข้า ตั้งหลายปีเพียงนี้ก็ไม่ใช่ผ่านมาแล้วหรือ นี่เป็นชะตากรรม”
ขอบคุณฟ้า ขอบคุณดิน ขอบคุณพระโพธิสัตว์!
เลี่ยวจิ้งชูมอง ‘ผู้ช่วยชีวิต’ ที่ลงมาจากฟากฟ้า ในใจรู้สึกโล่งอก ท่องบทสวดพระโพธิสัตว์ออกมา
“ท่านเป็นใครหรือ ที่นี่คือที่ใด”
สะใภ้ใหญ่มองดวงตาที่ดูงุนงงของเลี่ยวจิ้งชูแล้วตะลึงงัน หันไปมองจางหมัวมัวกับหลิ่วเอ๋อร์ กลับเห็นพวกนางมีสีหน้าประหลาดใจ สายตาพลันจับจ้องไปที่ถ้วยยา ไม่มีร่องรอยของการดื่ม จึงหันกลับมาจ้องดวงตาของเลี่ยวจิ้งชู ถามด้วยความห่วงใย
“น้องสาวจำข้าไม่ได้จริงหรือ”
เลี่ยวจิ้งชูสั่นศีรษะ
มีประกายผิดหวังจางๆ พาดผ่านดวงตาสะใภ้ใหญ่ ปากกลับทอดถอนใจบอก “เป็นเพราะเจ้าเพิ่งฟื้นขึ้นมา ยังไม่ได้สติ” แล้วอธิบายอย่างใจเย็น “ที่นี่คือจวนเจิ้นกั๋วกง ข้าเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้า คุณชายใหญ่กับคุณชายสี่ล้วนเป็นบุตรชายที่นายหญิงใหญ่เป็นผู้ให้กำเนิด”
“พี่สะใภ้ใหญ่…”
“เราใกล้ชิดกันที่สุดแล้ว เจ้าเพิ่งแต่งงานได้สามวันก็…เดิมทีข้าควรมาอยู่กับเจ้าอย่างใกล้ชิดไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว” หัวข้อเรื่องพลันเปลี่ยนไป “ล้วนเป็นเพราะคุณหนูสาม ฝ่าบาทเพิ่งพระราชทานสมรส ในจวนก็มีงานศพ นางเอะอะโวยวายบอกจะล้มเลิกการแต่งงาน จะไว้ทุกข์ให้คุณชายสี่” ทอดถอนใจออกมาคำหนึ่ง “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ห้ามปรามนางไว้ได้แล้ว จากนั้นก็ได้ยินว่าเจ้าเกิดเรื่อง จึงได้รีบเร่งรุดมา”
แต่งงานได้สามวัน!
เลี่ยวจิ้งชูตะลึงงัน นางฆ่าตัวตายบูชาความรักมิใช่หรือ
ไม่ใช่บอกสมัยโบราณไม่มีอิสระเรื่องความรักหรอกหรือ เพิ่งแต่งเข้ามาได้สามวัน นางกับคุณชายสี่ก็มีความรักลึกซึ้งต่อกันถึงขั้นนี้แล้ว?
เลี่ยวจิ้งชูนวดคลึงจุดไท่หยาง* พึมพำกับตนเอง
“ข้าคือใคร”
สะใภ้ใหญ่เบิกตากว้าง ส่วนลึกในดวงตามีอารมณ์ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกพาดผ่านจางๆ
หลิ่วเอ๋อร์ร้องอุทานออกมาอย่างยั้งไม่อยู่ “สะใภ้สี่ลืมหมดสิ้นทุกสิ่งอย่างเลยหรือ”
ทุกคนต่างมองมาที่เลี่ยวจิ้งชูอย่างไม่อยากจะเชื่อ นางย่นหัวคิ้วน้อยๆ ในดวงตาที่คล้ายมีหมอกปกคลุมมีประกายใสซื่อขุมหนึ่ง ลักษณะท่าทางเช่นนี้ไม่อาจเสแสร้งออกมาได้เด็ดขาด
ผ่านไปพักใหญ่ สะใภ้ใหญ่โบกมือแล้วบอก “ดูข้าสิ มัวแต่ห่วงพูดคุย ถึงกับลืมยาของเจ้าไปเลย น้องสาว เจ้ากระทบถูกความเย็นมากเกินไป ดื่มยาก็หายแล้ว อีกประเดี๋ยวยาก็จะเย็นไป” แล้วหันไปทางหลิ่วเอ๋อร์ “ยังจะยืนโง่งมอยู่อีก ไม่รีบเข้ามาปรนนิบัติรึ!”
หลิ่วเอ๋อร์ตัวสั่น มองไปที่จางหมัวมัวตามสัญชาตญาณ
“ยาเย็นไปนานแล้วเจ้าค่ะ” จางหมัวมัวรีบบอก “สะใภ้สี่ร่างกายล้ำค่า ไม่อาจดื่มยาที่เย็นแล้วได้” แล้วหันไปทางหลิ่วเอ๋อร์ “ยังไม่รีบไปอุ่นให้ร้อนอีกหรือ”
หลิ่วเอ๋อร์รับคำแล้วเดินไปทางประตู
“เอามานี่ ข้าจะชิมดู”
เสียงไม่ดังแต่กลับมีพลังกดข่มคุกคาม ในหูจางหมัวมัวมีเสียงอึงอล ถ้าให้สะใภ้ใหญ่ชิมยานี้จริง แล้วสะใภ้สี่ดื่มเข้าไป นางยังจะมีชีวิตอยู่ได้หรือ
จางหมัวมัวถลึงตาดุดันใส่หลิ่วเอ๋อร์ทีหนึ่ง พยายามสงบอกสงบใจ ยิ้มเจื่อนแล้วบอก “เรื่องนี้ทำไม่ได้เด็ดขาด สะใภ้ใหญ่ร่างกายล้ำค่า จะลองชิมยาด้วยตนเองได้อย่างไร”
“มีอะไรทำไม่ได้ ยกมา!” สะใภ้ใหญ่ดึงมือเลี่ยวจิ้งชู “เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ หัวใจของข้าก็แหลกสลายแล้ว ข้าชีวิตอาภัพ จะอย่างไรก็ยังได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับคุณชายใหญ่อยู่สองปี” พูดแล้วสะใภ้ใหญ่ก็เช็ดดวงตา ผ่านไปพักใหญ่ก็เปลี่ยนเรื่องพูด “น้องสาวไม่ต้องกังวล พรุ่งนี้ข้าจะรีบไปเชิญหมอหลวงสวีมาตรวจอาการเจ้า เขาได้ชื่อว่าเป็นหมอเทวดา จะต้องรักษาเจ้าให้หายได้แน่นอน” จากนั้นก็หันไปทางหลิ่วเอ๋อร์ “ยังไม่รีบยกมาอีก!”
“สะใภ้ใหญ่ร่างกายล้ำค่า เรื่องชิมยาเช่นนี้ทำไม่ได้เป็นอันขาด” จางหมัวมัวกัดฟันทำใจดีสู้เสือ “ให้นายหญิงใหญ่รู้เข้าจะต้องถลกหนังบ่าวแน่นอน สะใภ้ใหญ่โปรดเข้าใจและเห็นใจในความลำบากใจของบ่าวด้วย”
“ที่จางหมัวมัวพูดก็ถูก” สะใภ้ใหญ่ผงกศีรษะน้อยๆ หันไปทางอิ๋งชุนสาวใช้รุ่นใหญ่ “เจ้าไปลองชิมดู ถ้ายังไม่เย็นก็ถูไถดื่มไปเสีย ยกออกไปไม่รู้ต้องเสียเวลาอีกนานเท่าไร”
ได้ยินอิ๋งชุนขานรับเสียงใส จางหมัวมัวก็เหงื่อไหลรินออกมาทันที สีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก
อุ่นยาชามหนึ่งจะเสียเวลาสักเท่าไรกันเชียว จะอย่างไรจางหมัวมัวก็เป็นคนโปรดของนายหญิงใหญ่ สะใภ้ใหญ่ที่แต่ไรมานุ่มนวลละมุนละไมเข้าได้กับทุกฝ่ายถึงกับไม่ไว้หน้านางแม้แต่น้อย นางพลันตระหนักรู้ขึ้นมาในฉับพลัน คิดว่าสะใภ้ใหญ่คงรู้อยู่ก่อนแล้วว่ายามีปัญหา ตอนแรกที่ขวางไว้ด้วยคิดจะให้สะใภ้สี่โวยวายขึ้นมา พอเห็นว่าอีกฝ่ายสูญเสียความทรงจำจึงเปลี่ยนความคิด
หัวใจของเลี่ยวจิ้งชูก็เต้นตึกตักขึ้นมาเช่นกัน เดิมทีเข้าใจว่านางประกาศออกไปว่าตนสูญเสียความทรงจำต่อหน้าผู้คนที่จ้องมองอยู่ หลิ่วเอ๋อร์ก็จะผลักเรือตามน้ำยกยาออกไป เช่นนี้ก็หลบพ้นภัยในครั้งนี้ไปได้แล้ว คิดไม่ถึงว่ากลับมาเจอคนที่มีน้ำใจเร่าร้อน กลัวร่างกายของนางจะทนทรมานไม่ไหว ยืนกรานจะให้นางดื่มยาลงไป หลิ่วเอ๋อร์กับจางหมัวมัวคนชั่วที่โง่งมทั้งสองคน ตอนนี้ค่อยจะมาคิดทำลายของกลาง ก่อนหน้านี้มัวทำอะไรอยู่ตั้งนาน!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความกระตือรือร้นของสะใภ้ใหญ่และการไม่รู้จะรับมืออย่างไรของจางหมัวมัว กับหลิ่วเอ๋อร์ เลี่ยวจิ้งชูก็ลังเลใจขึ้นมา
ไม่รู้สะใภ้ใหญ่ที่มีจิตใจเร่าร้อนผู้นี้มีฐานะเช่นไรในจวนและมีความสัมพันธ์เช่นไรกับนายหญิงใหญ่
เรื่องที่นางคาดเดาออกว่าในยามีพิษ จะนำมาซึ่งหายนะแก่ตนมากขึ้นหรือไม่
* อักษรเสี่ยวจ้วน เป็นอักษรที่ได้จากการปฏิรูปตัวอักษรหลังจากจิ๋นซีฮ่องเต้รวมแผ่นดินจีนเข้าด้วยกัน โดยมีการสร้างมาตรฐานรูปแบบตัวอักษรที่เป็นหนึ่งเดียวกันทั่วแผ่นดินโดยนำเอาตัวอักษรเดิมของรัฐฉิน (อักษรจ้วน) มาปรับให้ง่ายขึ้น
** ห้องอุ่น หมายถึงห้องเล็กๆ ที่กั้นแยกไว้สำหรับวางเตาผิงไฟและเตียงเตาเพื่อให้ความอบอุ่น
*** กั๋วกง เป็นบรรดาศักดิ์ในสมัยโบราณของขุนนางจีน แต่งตั้งให้เชื้อพระวงศ์หรือผู้มีคุณงามความชอบ โดยบรรดาศักดิ์ห้าขั้นรองจากชั้นอ๋องคือกง โหว ป๋อ จื่อ หนาน แต่ละสมัยจะมีคำเรียกและลำดับแยกย่อยต่างกัน กั๋วกงถือเป็นขั้นสูงสุดในลำดับกง
* หมัวมัว เป็นคำเรียกหญิงรับใช้สูงวัย มีความหมายหลากหลายทั้งย่า ยาย ป้า และยังเป็นคำเรียกหญิงรับใช้อาวุโสในเชิงยกย่อง รวมถึงนางข้าหลวงอาวุโสในวังด้วย
* แพรขาวสามศอก เป็นสิ่งที่กษัตริย์พระราชทานให้ขุนนางหรือฝ่ายในที่กระทำความผิดใช้ผูกคอปลิดชีพตนเอง
** สุนัขจนตรอกกระโดดขึ้นกำแพง เป็นสำนวน หมายถึงอับจนหนทางจนยอมทำทุกวิถีทาง
* ปิดหูขโมยกระดิ่ง เป็นสำนวน หมายถึงคิดว่าตัวเองไม่ได้ยิน คนอื่นก็ไม่ได้ยินด้วย เปรียบเปรยถึงการหลอกตัวเอง มีเรื่องเล่าว่าชายคนหนึ่งเข้าไปขโมยกระดิ่งในบ้านหลังหนึ่ง เขากลัวว่าเจ้าของบ้านจะได้ยินเสียงกระดิ่งจึงปิดหูตัวเองไว้ เพราะคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะไม่มีใครได้ยินเสียงกระดิ่งเหมือนกับเขา แต่สุดท้ายเจ้าของบ้านก็จับตัวเขาได้
** ‘มีดเขียงคือเขา เราเป็นเนื้อปลา’ เป็นสำนวน หมายถึงตกอยู่ใต้อำนาจของผู้อื่น โดยไม่อาจเอาตัวรอดได้
*** ผ้าดิ้นอวิ๋นจิ่น คือผ้าต่วนปักดิ้นเงินดิ้นทองเป็นลวดลายสวยงามคล้ายหมู่เมฆ เป็นที่มาของชื่อลายอวิ๋นจิ่นซึ่งแปลว่าผ้าดิ้นเมฆา ถือเป็นงานหัตถกรรมชั้นสูง
* จุดไท่หยาง คือจุดชีพจรบริเวณขมับทั้งสองข้าง
Dangdd
เรื่องนี้มีขายมั้ยคะ อยากอ่านยาวๆเลยอ่ะค่ะ