หมอยาเสน่ห์หา - ตอนที่ 35 เขาเขียวทึบ ดอกไม้เบ่งบาน
ตอนที่ 35 เขาเขียวทึบ ดอกไม้เบ่งบาน
จี้เซียงเร่งเดินผ่านอารามหลวงมาจนถึงตำหนักของ ฮองเฮา เมื่อนางมาถึงก็พบว่าฮองเฮาประทับเอนวรกายอยู่ ที่ตั้งเตียงข้างหน้าต่าง จีเซียงจึงสั่งให้นางกำนัลคนอื่นๆ ออกไปจากห้องให้หมด
ฮองเฮาที่ถือตำราเล่มหนึ่งอยู่ในมือเห็นเช่นนั้นก็เงยหน้า ขึ้นมองจี้เสียงเล็กน้อย “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
จี้เซียงรู้สึกกลุ่มใจก่อนจะเอ่ยทูลเสียงเบา “พระชายาบอก บอกหม่อมฉันว่าก่อนที่ท่านอ๋องจะพบกับกลุ่มโจรภูเขา พวกนั้นท่านอ๋องสูญเสียพลังลมปราณไปแทบจะทั้งหมด เพคะ หากเป็นเช่นนั้นแล้วท่านอ๋องที่ต้องเผชิญหน้ารับมือ กลุ่มโจรเหล่านั้นเพียงผู้เดียว ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันกลัว เหลือเกินว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับท่านอ๋อง!”
ตำราในมือหล่นจากมือของฮองเฮาทันที เอ่ยถามอย่าง ร้อนใจ “เหตุใดเขาจึงสูญเสียพลังลมปราณได้เล่า”
จีเซียงเล่าเรื่องราวที่ตนได้ยินมาจากซูเซี่ยทั้งหมดทูลให้ฮองเฮาทราบ ฮองเฮานิ่งเงียบอยู่นาน พระอัสสุชล คลอพระเนตรก่อนจะค่อยๆไหล สีพระพักตร์ฉายแววเจ็บ ปวดออกมา “ข้าภาวนาให้เขาทำดีต่อหยิงหลงมาโดย ตลอด แต่เขาก็ดื้อรั้นไม่เคยฟังคำพูดของเป็นคงเลยสัก ครั้ง ทำท่าทีเย็นชากับปั้นปึงต่อหยิงหลงมาโดยตลอด ใน วันนี้เขาน่ะหรือถึงขั้นยอมสูญเสียพลังลมปราณทั้งหมด เพื่อช่วยชีวิตหยิงหลง เป็นไปได้ว่าเด็กคนนี้จะมีใจให้หยิง หลงเข้าเสียแล้วล่ะ เพียงแต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับฉ่ายเวิ นอาจจะยังฝังใจเขาทำให้ความแค้นฝังลึกอยู่ในใจนานถึง เพียงนี้ได้ สองปีมานี้เขาก็คงจะผ่านมันมาลำบากไม่ใช่น้อย หากว่ายามนี้เขาเป็นอะไรขึ้นมาอีกข้าก็คงไม่อยากมีชีวิต อยู่อีกต่อไปแล้ว”
จี้เซียงได้ยินเช่นนั้นก็ร้อนรนรับเข้ามาปลอบประโลม ฮองเฮาไม่ให้พระองค์คิดมากไปมากกว่านี้ “ฮองเฮาเพคะ อย่าได้มองโลกในแง่ร้ายถึงเพียงนี้เลยเพคะ ยามนี้พวก เราต่างก็นึกถึงผลร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นเพียงเท่านั้น ไม่ใช่ เรื่องจริงเสียหน่อย ท่านอ๋องเป็นผู้มีบุญญาธิการสูงส่ง ทั้ง ยังมีสายเลือดเชื้อพระวงศ์ หม่อมฉันเชื่อว่าสวรรค์จะต้อง คุ้มครองให้พระองค์ปลอดภัยกลับมาอย่างแน่นอนเพคะ”
ฮองเฮาไหนเลยจะรับฟังคำพูดเหล่านั้น ยามนี้พระองค์ รู้สึกกระวนกระวายใจยิ่งนัก “เจ้ารีบไปอุโบสถกับข้าเดี๋ยวนี้ ข้าและองค์ไทเฮาจะสวดมนต์ภาวนาต่อสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ช่วยคุ้มครองให้เย็นเอ๋อกลับมาหาข้าได้อย่าง ปลอดภัย!”
“เพคะ!”เสียงช่วยฮองเฮาผลัดเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังอุโบสถทันที
เดินเพียงไม่กี่ก้าวฮองเฮาเอ่ยบางอย่างขึ้นมาโดยไม่ได้ หันพระพักตร์กลับมามองข้างหลัง “ตั้งแต่เมื่อใดกันที่หยิง หลงรู้วิชาการแพทย์ ข้าไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน”
จี้เซียงก็เห็นว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากลเช่นกัน “เรื่องนี้ หม่อมฉันก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกันเพคะ เดิมที่อาการของ พระชายาเจิ้นหยวนไม่อาจรักษาได้แล้วทั้งยังถูกวางยาพิษ อีกด้วย หมอหลวงยังจนปัญญาที่จะรักษาได้แต่ท้ายที่สุด พระชายากลับช่วยเหลือพวกเขาได้ทั้งสองแม่ลูก!”
ฮองเฮาใคร่ครวญถึงเรื่องนี้ “เช่นนั้นเราก็รอให้เย่นเอ๋อก ลับวังหลวงอย่างปลอดภัยก่อนเถิด หลังจากนั้นจึงค่อยๆ ถามหยิงหลงก็ได้ บางทีนางอาจจะมีเรื่องที่ทำให้เราน่า แปลกใจกว่านี้ก็เป็นไปได้”
ทันทีที่ฮ่องเต้เสด็จกลับ หลิวมีเหอก็ก้าวมาหยุดอยู่ตรง หน้าชูเซี่ยจ้องมองใบหน้านางด้วยความเคียดแค้นก่อนจะ เงื้อฝ่ามือขึ้นตบใบหน้าชูเซี่ยอย่างแรง ดวงตาที่มองมา ฉายแววเยือกเย็น นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยขึ้น “เพื่อช่วย ชีวิตท่านเขากลับต้องสูญเสียพลังลมปราณจนหมด หาก เขาเป็นอะไรไปข้าจะไม่มีวันปล่อยท่านไปแน่!”
นางอยู่ข้างนอกได้ยินบทสนทนาระหว่างชูเซี่ยและฝ่า บาททุกคำ นางถูกความโกรธเข้าครอบงำจิตใจจนมิอาจ ระงับโทสะของตนเองได้ในยามที่ฮ่องเต้เสด็จออกมานาง ก็ไม่แม้แต่จะถวายบังคมลาพระองค์ด้วยซ้ำ
ชูเซี่ยไม่ได้โต้ตอบอีกฝ่ายกลับไปแม้แต่น้อย หากเป็น เมื่อก่อนหลิวมีเหอทำเช่นนี้กับนางนางคงไม่ลังเลที่จะ ตอบโต้อีกฝ่ายคืนในทันที ทว่าในครั้งนี้ชูเซี่ยกลับเลือกที่ จะยืนนิ่งรับฝ่ามือของอีกฝ่ายแต่โดยดี
หลิวมีเหอเมื่อเห็นว่านางเอาแต่ยืนนิ่งไม่โต้ตอบก็ยิ่ง ระบายโทสะออกมา “แท้จริงแล้วเรื่องราวทั้งหมดเป็นเช่น ที่เจ้ากล่าวมาจริงๆหรือ เขาน่ะหรือจะสูญเสียพลังลมปราณ ไปจนหมดสิ้นได้ ท่านอ๋องเป็นคนมีไหวพริบและระวังตน เสมอมา ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะประมาทเลินเล่อยอม ช่วยเจ้าจนตนเองสูญเสียพลังปราณไปจนสิ้นยามที่เขาจะเดินทางไปหุบเขาเทียนหลา ง เขาเองก็ทราบแก่ใจดีว่าหุบเขานั่นอันตรายเพียงใด เขา หรือจะยอมช่วยเหลือเจ้าจนตนเองต้องตกอยู่ในอันตราย เจ้าปิดบังอะไรอยู่ใช่หรือไม่”
ทุกคำที่นางเอ่ยออกมาล้วนแสดงถึงความกดดัน หลิวมี เหอไม่มีทางเชื่อว่าหลี่เฉินเย่นจะยอมช่วยเหลือชูเซี่ยได้ แต่ไรมาท่านอ๋องก็รังเกียจในตัวนางมาโดยตลอดมีหรือที่ จะเห็นนางตกอยู่ในอันตรายแล้วจะยอมยื่นมือเข้าไปช่วย เหลืออีกฝ่ายได้ เขาเกลียดนางถึงเพียงนี้จะยอมช่วยเหลือ อีกฝ่ายจนตนเองสูญสิ้นลมปราณไปจริงหรือ ไม่มีทาง
แต่ต่อให้นี่เป็นเรื่องจริงนางก็เชื่อว่ายามนั้นหลี่เฉินเย่นก็ คงไม่มีทางเลือก เขาอาจจะถูกสถานการณ์บังคับให้ต้อง ทำเช่นนั้นก็เป็นได้นางคิดไม่ถึงจริงๆว่าหลี่เฉินเย่นหรือจะ ยอมช่วยเหลือคนที่เขาเกลียดเข้ากระดูกดำถึงเพียงนั้น หากไม่มีความจำเป็นจริงๆนางเชื่อว่าด้วยนิสัยอย่างเขาคง ปล่อยให้หลิวหยิงหลงตายอยู่บนเขาเทียนหลางไปแล้ว หรือไม่อาจเป็นฝ่ายฆ่านางตายก่อนเสียด้วยซ้ำ ในใจของ หลิวมีเหอรับรู้มาโดยตลอดว่าหลี่เฉินเย่นรังเกียจพระชายา คนนี้ของเขามากแค่ไหน
ภายในใจชูเซี่ยรู้สึกกังวลอย่างมาก นางอยากกลับไป หุบเขาเทียนหลางเพื่อช่วยตามหาหลี่เฉินเย่นมากกว่าใคร ที่ว่านางเป็นผู้ไม่มีวรยุทธทั้งยามนี้ยังมีบาดแผลเต็มร่าง ของตนเองอีก ฮ่องเต้และไทเฮาไม่มีทางยอมปล่อยให้ นางออกไปนอกวังแน่
นางไม่ได้ถือสาหาความหลิวมีเหอเลยสักนิด แต่ปฏิกริยา เช่นนี้กลับยิ่งทำให้หลิวมีเหอยิ่งโมโหเกรี้ยวกราดมากยิ่ง กว่าเดิม หลิวมี่เหอรู้อยู่เต็มอกว่าต่อให้นางระบายอารมณ์ ใส่ซูเซี่ยมากแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ แต่นางก็ไม่รู้จะทำ เช่นไรแล้ว ทุกๆครั้งที่นางนั่งปล่อยให้เวลาผ่านไปอย่าง ช้าๆนางก็จะรู้สึกกระวนกระวายจนอยู่เฉยๆไม่ได้ สุดท้าย จึงเอาความรู้สึกทุกอย่างมาระบายกับชูเซี่ยเพื่อทำให้ ตนเองรู้สึกดีขึ้นบ้างสักนิดก็ยังดี
เนื่องด้วยข้อเท้าของชูเซี่ยเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อนหน้านี้ แม้ว่าตอนนี้นางจะไม่รู้สึกเจ็บแล้วก็ตามทว่ารอบยวมแดง ยังคงปรากฏให้เห็น ดังนั้นหมอหลวงจึงทำการรักษาข้อ เท้าให้นางโดยการฝังเข็ม ยามเมื่อเห็นเข็มของท่านหมอชู เซี่ยนางก็นึกขึ้นมาได้ว่านางมีเข็มทองคำที่พบบนยอดเขา เทียนหลางก่อนหน้านี้อยู่ในห่อสัมภาระของตนเอง รอจน กระทั่งหมอหลวงกลับออกไปนางก็รีบสั่งให้นางกำนัลไป นำห่อสัมภาระมาให้ ชูเซี่ยหยิบห่อผ้าใบเล็กที่มีเข็มทอง อยู่ในนั้นออกมา ก่อนจะลองเปิดตำราดูว่าพอจะมีวิธีใดที่ใช้รักษาอาการขององค์
ชายน้อยได้บ้าง
หลิวมี่เหอที่ถูกชูเซี่ยปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงในใจก็รู้สึกไม่ พอใจอย่างมาก นางก้าวไปด้านหน้าของซูเซี่ยก่อนจะเอื้อม มีหวังจะกระชากตำราออกจากมือของอีกฝ่าย ทว่าชูเชี่ ยกลับแลยหน้ามองจ้องมาที่นางพร้อมเอ่ยออกมาเสียง เป็น “นอกจากท่านอ๋องแล้วในเวลาเช่นนี้องค์ชายน้อยก็มี อันตรายไม่ต่างกัน เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้ อย่าได้มารบกวนข้า หากเจ้ากังวลเรื่องท่านอ๋องก็จงไปนึ่งอยู่ที่ห้องโถงหลักรอ ฟังข่าวคราวเหมือนกับคนอื่นๆเสีย!
หลิวมี่เหอถูกคำพูดของซูเซี่ยทำให้ตกใจจนร้องไห้ออก มาอย่างสุดกลั้น ทั้งที่นางพยายามอดกลั้นมาโดยตลอด เพราะโบราณเขาถือว่าสามีออกไปนอกบ้านภรรยามือาจ ร้องให้ได้มันเป็นลางไม่ดี แต่เมื่อยามตกใจนางจึงไม่อาจ อดกสั้นไว้ได้อีกปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาเสียงดัง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายร้องไห้ชูเซี่ยก็ลอบถอนหายใจก่อนจะวาง ตำราในมือลงและดึงมือของนางมาจับไว้ก่อนเอ่ยปลอบ ใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วงท่านอ้อง ข้าก็เป็นห่วงเขาไม่แพ้เจ้า ทรสา แต่ต่อให้ห่วงมากเพียงไหนเราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ยามนี้มีราชองครักษ์ไปช่วยกันตามหา เขาแล้วพวกเราก็อยู่ที่นี่รอฟังข่าวคราวของท่านอ๋องก็พอ ฟวกเราต้องมั่นใจในตัวของเขามัวแต่คิดเลอะเลือนไปก็ ช่วยอะไรเขาไม่ได้อยู่ดี!”
เมื่ออีกฝ่ายแข็งกลับมาหลิวมีเหอจึงจำใจต้องอ่อนลงมา อย่างเสียไม่ได้ นางจึงเอ่ยเสียงเศร้าสลดออกมา “ท่านพี่ หากครั้งนี้เขาสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ข้ากับท่าน ก็มายุติความบาดหมางกันดีหรือไม่ ข้าจะไม่มาวุ่นวายกับ ท่านอีกก็ได้” ครั้งนี้นางยามถอยให้อีกฝ่ายอย่างมาก นาง พร้อมจะไปสาบานต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอุโบสถต่อหน้า พระพักตร์ของฮองเฮา หากว่าหลี่เฉินเย่นกลับมาได้นางจะ ยอมถือศีลกินเจตลอดชีวิตของนาง
“เจ้าวางใจเถิด หากเขาปลอดภัยกลับมาได้ข้าจะยอม ออกจากตำหนักอ๋องและให้เจ้านั่งตำแหน่งพระชายาแทน ข้า!” ชูเซี่ยเอ่ย
หลิวหยิงหลงชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเบิกตากว้างมอง นางอย่างไม่เชื่อสายตา “จริงหรือ”
“จริงสิ ครั้งนี้เพื่อช่วยชีวิตข้าแล้วท่านอ๋องถึงกับยอม ละทิ้งชีวิตเพื่อช่วยเหลือข้า เช่นนั้นข้าก็จะตอบแทนเขาด้วยการสนับสนุนความรักระหว่างเขาและเจ้า ในใจของ ท่านอ๋องแต่ไหนแต่ไรก็มีเพียงเจ้า หากข้าต้องมายืนอยู่ ตรงกลางขัดขวางความรักระหว่างคนสองคนแล้วล่ะก็ ข้า ขอยอมถอนตัวออกมาเสียดีกว่า!” ชูเซี่ยกล่าวออกมาตาม ที่ตนเองคิด จริงๆแล้วนางก็คิดเรื่องนี้มานาน นางเป็นคน จากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดเคยชินกับการใช้ชีวิตแบบคู่ผัวเดียว เมียเดียว พวกเขาสองคนรักใคร่กันแต่นางกลับโผล่มาเป็น มือที่สามทั้งยังเป็นคนที่หลี่เฉินเย่นไม่รัก เป็นมือที่สามที่ เขาไม่รัก อันที่จริงแม้แต่มือที่สามนางก็ไม่มีสิทธิ์เป็นด้วย ซ้ำ
หลังจากได้ฟังถ้อยคำยืนยันจากซูเซี่ยแล้วนางก็รู้สึก วางใจได้เปลาะหนึ่ง นางเริ่มวางอีกฝ่ายอยู่ในฐานะพี่สาว ได้มากกว่าเดิม “ยามนี้ท่านพี่มีบาดแผลอยู่ตามร่างกายเต็ม ไปหมด อย่าได้อ่านตำราอีกเลย นอนพักเสียหน่อยเถิด!”
ภายในใจของชูเซี่ย หลิวมีเหอเป็นผู้น้องร่วมสายเลือด ของเจ้าของร่างนี้ เดิมที่นางก็ไม่ได้นึกเกลียดชังอะไรอีก ฝ่ายอยู่แล้ว หลิวมีเหอก็เป็นเพียงแค่สาวน้อยคลั่งรักคน หนึ่งเท่านั้น มีความอิจฉาริษยาอยู่บ้าง แต่แท้จริงแล้วก็เป็น เด็กสาวที่น่าสงสารคนหนึ่ง
นางค่อยๆวางตำราลงช้าๆในใจพยายามหาวิธีไล่ให้อีกฝ่ายออกจากห้องจึงค่อยๆเอ่ยออกมาช้าๆ “ดีเช่นนั้นข้า จะขอพักผ่อนสักหน่อยก็แล้วกัน น้องสาวเองก็ไปพักบ้าง เถิด!” กล่าวจบนางก็เอนกายลงบนเตียงบรรทมพร้อมปิด เปลือกตาลง
“เช่นนั้นก็ดีเจ้าค่ะ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะ ท่านพี่ก็ พักผ่อนให้สบายเถิด!” หลิวมีเหอเอ่ยตอบเสียงเบาก่อนหัน กายเดินออกจากห้อง ทว่าจู่ๆนางก็ได้ยินเสียงชูเซี่ยร้อง ออกมาจึงหันกลับไปดูก็พบว่ายามนี้ชูเซี่ยผุดลูกขึ้นมากม ศีรษะของตนเองใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด ดวงตาของนาง จับจ้องไปข้างหน้าคล้ายกับว่าสติของนางได้หลุดลอยออก ไปไกลจากที่แห่งนี้แล้ว
หลิวมีเหอนึกว่าชูเชี่ยรู้สึกเจ็บแผลจึงรีบร้อนตะโกนเรียก คนที่อยู่ด้านนอก มีใครอยู่หรือไม่ รีบตามหมอหลวงมาเร็ว เข้า!”
ชูเซี่ยได้ยินเสียงกรีดร้องของหลิวมีเหอสติของนางก็ ค่อยๆกลับคืนมา นางรีบร้อนลุกขึ้นจากเตียงดึงมือของหลิว มีเหอไว้ “เร็วเข้า รีบเรียกฝ่าบาทมา!”
หลิวมีเหอถูกนางทำให้ตกใจ “ท่านพี่เป็นอะไรไป เจ็บ แผลหรือ”
ชูเซียกุมศีรษะของตนเองไว้แน่น นางไม่ได้ยินเสียงของ หลิวมีเหออีกแล้ว ตอนนี้ความเจ็บจู่โจมเข้ามาจนนางไม่ อ่าจะรับไหว ท้ายที่สุดนางก็กรีดร้องออกมาเสียงดัง “ในถ้ำ ในถ้ำ เขาอยู่ที่ถ้ำในหุบเขา เขายังไม่ตาย รีบไป รีบไปช่วย เขา อ้า…ปวดเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน…รีบไปช่วยเขาเร็ว เข้า!”
หมอหลวงและฮ่องเต้เสด็จมาหลังจากนั้นไม่นาน ความ ปวดหัวที่รุมเร้าชูเซี่ยอยู่ไม่ได้ทุเลาลงแม้แต่น้อย แต่กลับ ดูจะรุนแรงมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ ยามนี้ใบหน้าของนางซีด เผือด เหงื่อกาฬไหลอาบจนเส้นผมยาวชื้นเปียกไปหมด เพียงขยับกายเล็กน้อยนางก็เจ็บปวดไปหมด
ฮ่องเต้เห็นอาการเช่นนี้ก็ตรัสถามหมอหลวงอย่างร้อน พระทัย “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดนางจึงเจ็บ ปวดถึงเพียงนี้”
หมอหลวงยังไม่ทันได้ตอบคำถาม ชูเซียก็พยายามผุดลุก ขึ้นมาคุกเข่าเบื้องหน้าองค์ฮ่องเต้ก่อนจะดึงมือพระองค์ไว้ นางค่อยๆเอ่ยคำออกมาอย่างยากลำบาก คำพูดที่ออกมา ขาดเป็นห้วงๆ “ท่านพ่อ…เขาอยู่ในถ้ำบนเขา ทิศตะวันออก เฉียงใต้ หน้าปากถ้ำมีก้อนหินและวัชพืชขึ้นบังอยู่ ขาของ เขาไม่สามารถขยับได้ อ้า…ปวดเหลือเกิน ท่านพ่อ ฮือ แม่จำ ปวดหัวเหลือเกิน” ชูเซี่ยร้องไห้ออกมา นางกุมศีรษะก่อนจะล้มลงบนเตียงทว่า ศีรษะกลับกระแทกเข้ากับโต๊ะข้างเตียงเข้าเสียก่อน
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้จึงไม่มีผู้ใด เข้าไปรับร่างของนางไว้ได้ทัน ศีรษะของนางกระแทกที่ ขอบโต๊ะอย่างแรงจนเลือดไหลอาบลงมา!
ร่างของซูเซี่ยล้มลงกับพื้นทันที
ฮ่องเต้ตื่นตระหนกตกพระทัยอย่างยิ่ง “เร็วเข้า รีบอุ้มพระ ชายาขั้นมา!”
ทันใดนั้นก็มีคนวิ่งเข้ามาอุ้มร่างของชูเซี่ยวางไว้บนเตียง บรรทม โชคดียิ่งนักที่มีหมอหลวงอยู่ในเหตุการณ์ด้วยจึง เข้าห้ามเลือดให้พระชายาได้ทันท่วงที
ฝ่าบาทหันพระวรกายออกคำสั่งทันที “สั่งให้หลีหนิงนำ กำลังทหารออกจากวัง ออกค้นหาทุกโพรงทุกถ้ำถ้ำทาง ทิศตะวันออกเฉียงใต้ตามคำกล่าวของพระชายาเมื่อครู่ ปากถ้ำมีก้อนหินและวัชพืชบดบังอยู่ รีบไป!”
“พะย่ะค่ะ!” องครักษ์รับคำสั่งก่อนจะรีบร้อนจากไป
หลีหนิงคือผู้บัญชาการกองทัพและเป็นสหายคนสนิท ของหลี่เฉินเย่นอีกด้วย
เมื่อได้รับรับสั่งจากฝ่าบาท หลีหนิงจึงจัดการส่งกำลังพล ของตนเองออกไปทันที เมื่อครั้งชูเชี่ยและหลี่เฉินเย่นเดิน ทางไปหุบเขาเทียนหลางพวกเขาใช้การเดินทางโดยรถม้า ทั้งยังมีการหยุดพักเป็นระยะจึงใช้เวลาเดินทางถึงหนึ่งคืน เต็มจึงจะเดินทางถึงตีนเขาเทียนหลาง แต่ยามนี้ใช้การเดิน ทางโดยม้าเร็วจึงใช้เวลาเพียงสองชั่วยามเท่านั้นก็ถ็ตีนเขา หุบเขาเทียนหลางแล้ว
เรื่องที่หลี่เฉินเย่นเกิดเรื่องถูกปิดบังไว้ไม่ให้เจินหยวน อ๋องทราบเรื่อง ท่านอ๋องคอยอยู่ข้างกายพระชายาของตน มาตลอดครั้นเมื่อเห็นว่าชายารักของตนอาการดีขึ้นแล้วก็ ตั้งใจว่าจะเดินทางไปหาชูเซี่ยเพื่อขอบคุณนางด้วยตนเอง ทว่าในทันทีที่ก้าวเท้าออกจากอารามชูหยาง ข่าวของหลี่ เฉินเย่นที่เกิดเรื่องขึ้นก็ลอยเข้าหูเขาในทันที เจิ้นหยวน อ๋องไม่รอช้าเร่งสั่งนำกำลังพลออกจากเมืองหลวงตามไป สมทบช่วยเหลือหลี่เฉินเย่น แม้ว่าเขาจะออกเดินทางหลัง หลีหนิงแต่ก็สามารถไปถึงได้ในเวลาไล่เลี่ยกัน
กำลังพลทหารสองกลุ่มแยกย้ายกันถือคบเพลิงออกตามหาโดยมุ่งเน้นไปตามทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ก่อน หน้านี้กลุ่มราชองครักษ์ของตำหนักอ๋องหนิงอานก็ได้ ฟบรังของโจรภูเขาเข้าแล้ว เนื่องด้วยพวกเขาคาดว่าหลี่ เป็นแผ่นจะถูกโจรภูเขาจับตัวไป ตอนนี้จึงกำลังบุกเข้าโจมตี ปะทะเหล่ากองโจรอยู่เช่นกัน ยามค่ำคืนของหุบเขาเทียน หลางที่เคยเงียบสงบมาโดยตลอดในยามนี้กลับเต็มไป ด้วยเสียงกระทบกันของอาวุธ การดีรันฟันแทง และเสียง เกลียดร้อง
หลังจากออกตามหาได้เพียงหนึ่งชั่วยาม ในท้ายที่สุด พวกเขาก็พบหลี่เฉินเย่นในถ้าแห่งหนึ่งกลางหุบเขา