หมอยาหวานใจท่านประธาน - ตอนที่ 452 ทัศนคติของทั้งคู่ ตอนที่ 453 ลงมือหลอมยา
ตอนที่ 452 ทัศนคติของทั้งคู่
อีลั่วเสวี่ยไม่พูดอ้อมค้อม “ขอบอกตามตรง ไอทิพย์บนโลกนี้มีจำกัด ส่วนฉันมาที่นี่คำนวณคร่าวๆ ก็เพิ่งหนึ่งปี ถ้าต้องเริ่มบำเพ็ญเพียรตั้งแต่ต้นจะไม่ทันเวลา อีกอย่างระดับการเป็นนักหลอมยาเวลานี้ไม่พอจะหลอมยาได้ จึงต้องเชิญท่านผู้อาวุโสให้ช่วย”
“คุณอีเกรงใจเกินไปแล้ว ฉันคงไม่กล้ารับกับคำว่าผู้อาวุโส ถ้าคุณไม่รังเกียจก็เรียกฉันว่าอาจารย์มั่วเถอะ” มั่วเวิ่นรู้ตัวดี เขาไม่บังอาจให้คนโบราณมาเรียกตนว่าผู้อาวุโส
จะว่าไปแล้วผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ใช้เพียงนิ้วมือนิ้วเดียวก็คงสามารถสังหารเขาได้ งั้นเขาจะถือตนเป็นผู้อาวุโสได้อย่างไร
“เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ ไม่ทราบว่าอาจารย์มั่วจะช่วยฉันรักษาความลับได้หรือไม่ ช่วยฉันหลอมยา แน่อนว่าหลังเสร็จงานฉันต้องตอบแทนอย่างหนัก!” เธอคิดเรียบร้อยแล้วว่าจะตอบแทนสองคนนี้อย่างไร
เฟิงฉี่ตะลึงงัน ราวกับถูกฟ้าผ่า “เจ๊ แล้วคุณอายุเท่าไรแล้ว คงไม่ใช่ยายปีศาจพันปีนะ?” คนเซ่อซ่าอย่างเฟิงฉี่ ถึงกับหลุดคำพูดเช่นนี้ออกมา
มุมปากมั่วเวิ่นกระตุก แล้วตบต้นขาเฟิงฉี่แรงๆ “อย่าพูดจาเหลวไหล!” ผู้หญิงตรงหน้าเป็นกึ่งเทพ กล้าดูหมิ่นหรือ ไม่รักตัวกลัวตายหรือไง
อีลั่วเสวี่ยแปลกใจ “ชาติที่แล้วอายุมากกว่าเวลานี้ไม่กี่ปี ฉันไม่ได้แก่อย่าที่คุณคิดหรอก ไม่งั้นระหว่างเราคงมีช่องว่างระหว่างวัยแล้ว”
เฟิงฉี่คิดดูแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงพยักหน้าหงึกๆ “ที่พูดก็จริง ถ้างั้นโลกก่อนหน้านี้ของคุณเป็นอย่างไร บำเพ็ญเพียรได้เหมือนกัน มีผู้บำเพ็ญเพียรมากไหม ขั้นสูงสุดสูงถึงระดับใด?”
“ขั้นสูงสุด ตอนนั้นที่ฉันพบเห็น ขั้นสูงสุดน่าจะเป็นระดับเทพ”
เฟิงฉี่กับมั่วเวิ่นสบตากัน “ขั้นเทพ เป็นขั้นที่สูงแค่ไหน?” พวกเขาไม่เคยได้ยิน สำหรับโลกนี้แล้ว ขอเพียงเมื่อถึงขั้นฟ้า ก็มีความสามารถที่จะไปจากโลกนี้ได้แล้ว แต่นี่ก็เป็นเพียงเรื่องเล่าในตำนาน ไม่เคยมีใครทำได้
“ระดับขั้นของการบำเพ็ญเพียรที่โลกนั้นของเราที่จริงก็ไม่ต่างจาที่นี่นัก ขั้นธรรมดา ขั้นพิสดาร ขั้นดิน ขั้นฟ้า สุดท้ายก้าวเข้าสู้ขั้นเทพซึ่งจะไร้ตัวตน แต่ละขั้นยังมีเจ็ดระดับ เวลานี้ฉันเพิ่งเข้าสู่ขั้นดินเท่านั้น
การจะหลอมโอสถทิพย์เพื่อรักษาเฉวียนหมิงนั้นฉันต้องมีพลังทิพย์ถึงขั้นฟ้าขึ้นไป” เรื่องไฟทิพย์ไม่น่ามีปัญหา ที่ยากคือปัญหาระดับความสามารถ
เรื่องที่นักหลอมยาในโลกนั้นทำได้ แต่พอมาถึงโลกนี้กลับกลายเป็นเรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรง คิดอยากทำแต่พละกำลังไม่พอ
คราวนี้ไม่ใช่แค่เฟิงฉี่ที่กลืนน้ำลาย แม้แต่มั่วเวิ่นก็ตะลึงงัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตั้งสติได้ แค่ขั้นดินหรือ สำหรับพวกเขาแล้วการจะข้ามขั้นพิสดารก็ยากมากแล้ว ยังจะต้องสูงขึ้นไปอีก
“ที่จริงพวกคุณไม่ต้องตกใจหรอก เป็นเพราะโลกนี้มีไอทิพย์น้อยเกินไป หรืออาจพูดได้ว่าไอทิพย์บนโลกนี้พัฒนามาถึงขั้นนี้แล้วก็ค่อยๆ ลดน้อยลง ดังนั้นไอทิพย์ที่ทุกคนจะแบ่งปันได้จึงน้อยมาก” อีลั่วเสวี่ยจำเป็นต้องอธิบาย เพราะกลัวว่าส่งจะผลเสียต่อคนทั้งสอง
เฟิงฉี่และมั่วเวิ่นต่างถอนหายใจหนักๆ “นี่แหละที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน วันนี้พวกเราได้เรียนรู้แล้ว” ที่จริงโลกนี้เดิมมีผู้บำเพ็ญเพียรมากมาย แต่ผ่านมาจนถึงเดี๋ยวนี้ค่อยๆ มีจำนวนลดลง
วันนี้ถือได้ทัศนคติของสองคนนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่หมดแล้ว สายตาและความคิดเปิดกว้างขึ้นมาก
เดิมทีเรื่องราวเหล่านี้คนเราอาศัยจินตนาการคิดขึ้นเองว่านอกจากโลกนี้แล้วไม่มีดาวอื่นที่มีสิ่งมีชีวิต แต่ความจริงนั้นมีอยู่ แต่ต่างฝ่ายต่างอยู่ต่างมิติกัน ห่างไกลเกินไป ยากที่จะพบกันได้
“โอ้โห นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ๊จะมีความเป็นมายิ่งใหญ่อย่างนี้ นับถือ นับถือ” เฟิงฉี่เอาอยางคนโบราณ ประสานมือคารวะเธอ
ตอนที่ 453 ลงมือหลอมยา
อีลั่วเสวี่ยท่าทางกะอักกะอ่วน รีบประสานมือคารวะตอบ “เกรงใจแล้ว!”
“ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าทำไมคุณถึงพูดจาต่างจากคนอื่น ที่แท้เพราะคุณเป็นคนโบราณ” ตอนแรกที่เฟิงฉี่เพิ่งพบเธอ เธอมีลักษณะต่างจากคนทั่วไป ยังคิดว่าเป็นเพราะเธอเหมือนตนเองที่แยกตัวออกมาบำเพ็ญเพียรเป็นเวลานาน
ที่แท้เธอเป็นคนโบราณขนานแท้ ท่าทางเหมือนจอมยุทธสาวในวงนักเลง ต่อมารู้ว่าเธอยังเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เขายังคิดว่าเป็นเพราะเธอดูชอบละครทีวีอ่านนิยาย
ตอนนี้พอเฟิงฉี่คิดทบทวนความคิดของตัวเองก็รู้สึกว่าช่างโง่เขลานัก
“คริคริ จะคนโบราณหรือคนเดี๋ยวนี้ จะต่างกันหรือ ถ้าออกไปใครจะพูดว่าฉันเป็นคนโบราณ?” อีลั่วเสวี่ยเลิกคิ้วขึ้น สีหน้ากระหยิ่มใจ เธอก็แค่พิเศษหน่อยเท่านั้น เป็นดวงวิญญาณคนโบราณในร่างคนปัจจุบัน รวมความทรงจำของทั้งสองคนเข้าด้วยกัน
มั่วเวิ่นเห็นอีลั่วเสวี่ยสนิทสนมได้ง่าย บวกกับที่ศิษย์ตนเคยสัมพันธ์กับเธอ เข้าใจดีว่าเธอไม่ใช่คนที่ถือว่าตัวเองเก่งคอยข่มคนอื่น จึงรู้สึกผ่อนคลายลง
เขาไม่ใช่คนซื่อๆ เฉื่อยชาอย่างศิษย์ตนเอง จึงยอมรับความจริงในเวลาอันรวดเร็ว สามารถพูดคุยต่อไปได้
“ฉันอยากถามคุณอีว่าอยากให้เราช่วยอะไร?” มั่วเวิ่นอยากรู้อยากเห็นมาก อดถามไม่ได้
ถึงตอนนี้เฟิงฉี่ไม่กล้าพูดเล่นแล้ว หุบปากอย่างจริงจัง คอยฟังว่าอีลั่วเสวี่ยจะพูดอะไร
“เรียกฉันว่าลั่วเสวี่ยเถอะค่ะ ถ้าเปลี่ยนชื่อเรียกตอนนี้ฉันกลับจะไม่คุ้นเคย อยู่ที่นี่ฉันยังคงเป็นผู้เยาว์” อีลั่วเสวี่ยเองไม่อยากให้เรื่องแพร่งพรายออกไป มีคนรู้เรื่องที่เธอทะลุมิติมาน้อยหน่อยจะดีกว่า
เพราะเธอเป็นทั้งคนที่ทะลุมิติมาและยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียร ไม่ว่าด้านไหนย่อมมีคนสนใจตัวเธอแน่นอน อยากเอาเธอไปค้นคว้าวิจัย จากนั้นคิดหาวิธีไปยังโลกนั้นของเธอ
มนุษย์ช่างโลภมาก เธอเข้าใจจุดนี้ดี ไม่ว่าโลกไหน ไม่ว่ายุคใด ผู้กุมอำนาจล้วนชอบขยายอำนาจ ตัวอย่างเช่นบริษัทหนึ่ง พอธุรกิจใหญ่โตขึ้นแล้วก็ยิ่งอยากขยายให้ใหญ่ขึ้น อยากเปิดร้านสาขาเพิ่มขึ้นอีก
“ก็ได้ ลั่วเสวี่ย” มั่วเวิ่นเห็นด้วยกับข้อเสนอของอีลั่วเสวี่ย พูดตามจริงถ้าให้เขาเรียกชื่อแบบโบราณ คงรู้สึกไม่คล่องปาก
อีลั่วเสวี่ยยิ้ม แล้วล้วงกล่องใหญ่เล็กหลายใบออกมาจากเป้ ในนั้นบรรจุสมุนไพรทิพย์ไว้
“คืออย่างนี้ค่ะ ก่อนอื่นฉันอยากผสมสมุนไพรเหล่านี้เข้าด้วยกัน ใช้เครื่องมือสมัยใหม่ จากนั้นก็ใช้พลังทิพย์หลอมเข้าด้วยกันให้กลายเป็นโอสถทิพย์ ทำอย่างนี้สามารถลดการสูญเสียพลังทิพย์ของฉันในการหลอมยา”
ถ้าเป็นพลังของเธอเมื่อก่อน ใช้พลังทิพย์บดยาเหล่านี้ให้ละเอียดจะดีกว่าการใช้เครื่องมือทันสมัย แต่เวลานี้ต่างออกไป เธอไม่สามารถใช้วิธีหลอมยาแบบเดิมได้ เธอต้องลดขั้นตอนลง นำพลังทิพย์ที่ประหยัดไว้พื่อใช้ในการหลอมขั้นสุดท้าย ไม่เช่นนั้นพลังทิพย์อาจจะไม่พอ
ถึงตอนนี้มั่วเวิ่นและเฟิงฉี่เข้าใจความหมายของเธอแล้ว “ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง เรื่องนี้ง่าย!”
เธอนึกได้ว่าทางมั่วเวิ่นจะมีเครื่องมือครบและดีเยี่ยม ทั้งเขายังยินดีเก็บความลับให้เธอ จึงมาที่นี่ ไม่เช่นนั้นคงหาที่ที่มีเครื่องมือพร้อมอย่างนี้ได้ยาก
“ห้องทดลองนี่เป็นของส่วนตัว ปกติมีเพียงฉันกับเฟิงฉี่เท่านั้นที่ใช้ ลั่วเสวี่ย คุณวางใจได้ ไม่มีใครมารบกวนแน่นอน” มั่วเวิ่นรับประกัน
อีลั่วเสวี่ยซาบซึ้งใจมาก “ต้องขอบคุณอาจารย์มั่วมากเลยค่ะ ขั้นต้อนการหลอมยาคงต้องให้คุณช่วยเหลือ ต้องรบกวนอาจารย์แล้ว”
“ไม่รบกวน ไม่รบกวน ฉันสามารถพบเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ได้รู้โลกอื่นที่ชั่วชีวิตนี้คงไม่รู้จัก ก็คุ้มค่ามากแล้ว!”