หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 353 ครอบครัว 3 คน
บทที่ 353
ครอบครัว 3 คน
แล้วริมฝีปากของหานกุ้ยก็ได้เผยรอยยิ้มขึ้นมา เขาเอามือมาวางไว้บนหน้าของเขาต่อหน้าของผู้คน แล้วจากนั้นก็ได้กระชากออกอย่างแรง
ด้วยเสียงดัง“แคว่ก”ก็พบคนแปลกหน้าปรากฏตัวต่อหน้าของทุกคน “ผู้น้อยคือหลินหนานเฟิง เป็นหัวหน้าหน่วยราชองครักษ์ของฮ่องเต้”
หลังจากที่แนะนำตัวเองเรียบร้อยแล้ว หลินหนานเฟิงก็ได้ออกคำสั่ง “ทุกคนจัดการพวกคนที่ก่อความวุ่นวายและหมายจะชิงบัลลังก์ให้หมด”
“ขอรับ”
แล้วเหล่าทหารก็ได้พากันแห่เข้ามา แล้วไทเฮากับคนอื่นๆก็ได้ถูกจัดการควบคุมตัวเอาไว้โดยไม่มีโอกาสได้ต่อต้านเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งในเวลานี้ในที่สุดพวกเขาก็ได้รู้ซึ้งถึงความอันตรายของเจียงหวายเย่
จากแผนการนี้จะเห็นได้ว่าเขานั้นสามารถมองได้อย่างลึกซึ้งถึงสถานการณ์โดยรวมทั้งหมด ช่างเป็นความสามารถที่น่ากลัวอะไรเช่นนี้
แล้วในเวลานี้เองทันทีที่จัดการเรื่องนี้เรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว หลินหนานเฟิงก็ได้คุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้ “ขอผู้น้อยได้เป็นคนนำทัพในครั้งนี้ หวังว่าฝ่าบาทจะอนุญาต”
“ได้สิ”
ในเวลานี้ที่ชายแดนรัฐเจียง หลินซีเหยียนกำลังคิดค้นยาถอนพิษอยู่ ซึ่งเยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้มองมาที่หลินซีเหยียนด้วยสายตาไม่อยากเชื่อและเหมือนอยากที่จะพูดอะไรแต่สุดท้ายก็ไม่พูดออกมา
จนในที่สุดหลินซีเหยียนก็เริ่มที่จะทนไม่ไหวแล้วจ้องไปที่เขา “ถ้าพี่จุนเจี๋ยมีอะไรอยากจะพูดก็พูดมา ไม่ต้องมาทำยึกยักตรงหน้าข้านี่”
เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้บิดริมฝีปากของเขาด้วยใบหน้าที่บาดเจ็บ เขามองไปที่ลูกพี่ลูกน้องของเขาที่สวมชุดผู้ชาย แล้วในที่สุดเขาก็ได้กัดฟันพูด “น้องซีเหยียนเจ้าหลอกข้านี่นา หลินอวิ๋นเซวียนนั้นที่แท้ก็เป็นเจ้ามาตลอด”
หลินซีเหยียนที่ไม่คิดจะปิดบังตัวตนในฐานะหมอผีอยู่แล้ว นางจึงได้ผงกหัวแล้วกล่าวอย่างไม่ปรานี “เป็นท่านพี่ต่างหากที่โง่เอง ที่ไม่รู้สึกตัวเลยจนกระทั่งตอนนี้”
หลังจากที่พูดจบหลินซีเหยียนก็ได้หยิบเอาสมุนไพรที่นางตากแห้งเอาไว้ แล้วเดินผ่านเยี่ยจุนเจี๋ยไปแล้วเริ่มลงมือบดยาให้เป็นผงด้วยลูกบด
แล้วเยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้เอนตัวเข้าไปหา “มาให้ข้าทำเอง!” เขาที่มองไปที่ลูกบดในมือของหลินซีเหยียนแล้วก็จ้องไปที่ หลินซีเหยียนอย่างต่อเนื่อง
หลินซีเหยียนก็ได้ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้แล้วจากนั้นก็กล่าว “ถ้ากำลังเสริมยังไม่มาที่นี่ ข้าเกรงว่าท่านพี่กับ เจียงหวายเย่คงไม่อาจทานไหวแน่หากต้องเข้าปะทะกันอีกรอบ”
เนื่องจากสมุนไพรเกือบทั้งหมดในเมืองนี้ก็ได้ถูกรวบรวมมาด้วยมือของนางเอง ทำให้นางนั้นรู้ได้ว่ามีผู้บาดเจ็บมากมายขนาดไหนโดยอาศัยจากสมุนไพรในเมืองนี้ที่ถูกใช้ไป
“ถ้าน้องซีเหยียนกำลังกังวลเรื่องของยาอยู่ล่ะก็ พี่ชายของเขากำลังเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเองพร้อมด้วยกำลังพลมากมาย จากกำหนดการแล้วเข้าน่าจะมาถึงในวันพรุ่งนี้”
วันพรุ่งนี้งั้นเหรอ?
“ข้าคงได้แต่หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นคืนนี้ล่ะนะ” หลินซีเหยียนกล่าว
ที่หลินซีเหยียนพูดนั้นแสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากของพวกนาง ส่วนทางของจงซู่เฟิงเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก
“ฝ่าบาท พวกเราไม่มีเสบียงเหลือแล้วพ่ะย่ะค่ะ ถ้าเป็นแบบนี้พวกเราคงยกทัพต่อได้อีกแค่ภายในสามวันเท่านั้น ถ้าหากพวกเราไม่ได้เสบียงมาเพิ่มก็จำเป็นแต่ต้องถอยทัพกลับไปเท่านั้น”
จงซู่เฟิงก็ได้ผงกหัวแล้วก็ปรากฏแววตาดุดันขึ้นในดวงตาของเขา เขาได้โยนรายงานด่วนในมือของเขาลงไปที่พื้น “กองกำลังเสริมในรัฐเจียงจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราก็จะหมดโอกาสแล้ว ศึกในครั้งนี้จะสำเร็จหรือล้มเหลวจะต้องตัดสินกันในคืนนี้”
แล้วข่าวนี้แพร่นี้ออกไป กลับทำให้กองทหารรู้สึกหดหู่ ราวกับว่าพวกเขาได้แพ้รบก่อนที่จะได้สู้เสียอีก
“ออกคำสั่งออกไป ให้ทหารทุกนายกินและดื่มให้เต็มที่วันนี้ แล้วก็มาร่วมกับข้าไปบุกรัฐเจียงด้วยกันคืนนี้” จงซู่เฟิงก็ได้รู้ดีว่าในเวลานี้เขาจำเป็นต้องฟื้นฟูกำลังใจของกองทัพเสียก่อน แล้วก็กล่าวออกมาด้วยเสียงที่ดังฟังชัดราวกับว่าเขามีแผนการในใจแล้ว
แล้วเหล่าทหารก็ได้พากันโห่ร้อง แล้วจากนั้นก็ได้พากันพักผ่อน, กินและดื่ม แล้วก็รอคอยอย่างเงียบๆรอยามค่ำคืนมาถึง
กลางดึกนั้นเป็นช่วงเวลาที่เหน็ดเหนื่อยมากที่สุด ในขณะที่ทหารที่ทำหน้าที่เฝ้ายามกำลังง่วงเหงาหาวนอนอยู่นั้น ก็ได้มีธนูที่แหลมคมพุ่งเข้าเสียบคอหอยของเขาอย่างเงียบๆ
ถ้าหากเจียงหวายเย่และเยี่ยจุนเจี๋ยอยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาก็คงต้องถอนหายใจให้กับความแม่นยำของอีกฝ่าย
แล้วก็ได้มีแนวหน้ากล้าตายในชุดดำบุกเข้ามายังประตูเมืองอย่างเงียบๆแล้วจากนั้นก็ได้เริ่มต่อตัวกัน ภารกิจของพวกเขานั้นไม่ใช่การสังหารศัตรู แต่เป็นการเปิดประตูเมือง
แล้วเมื่อใดที่ประตูเมืองถูกเปิดออก ก็จะมีรางวัลใหญ่รอพวกเขาอยู่ ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญของพวกเขา
ซึ่งในขณะที่พวกเขากำลังปีนข้ามกำแพงเมืองอยู่นั้น มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่าพวกเขานั้นตื่นเต้นกันเพียงใด แต่ทว่าพวกเขากลับถูกอีกฝ่ายควบคุมเสียก่อนที่พวกเขาจะได้ลงมืออะไร
“พวกเจ้า……”
“คงจะแปลกใจสินะที่พวกเรายังไม่ได้หลับกันน่ะ?” เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้ยิ้มอย่างประชดประชัน จากนั้นก็ได้มองไปที่เหล่าทหารที่มากับเขา แล้วจากนั้นก็ได้บอกให้คนอื่นๆพากันจุดไฟ
ในชั่วขณะนั้นเองที่กำแพงเมืองนั้นก็ได้สว่างขึ้นมาราวกับกลางวัน ทำให้พวกคนที่แอบซ่อนตัวในความมืดนั้นไม่มีที่ให้หลบอีกต่อไป
เมื่อพวกคนที่อยู่ด้านล่างของกำแพงนั้นเห็นว่าพวกเขานั้นถูกพบตัวแล้ว พวกเขาก็ได้รีบส่งคนไปรายงานให้ฮ่องเต้ทราบทันที
“อะไรนะ? ถูกพบแล้ว?” จงซู่เฟิงก็ได้โมโหโยนสิ่งที่อยู่ในมือของเขาทิ้งทันที ดูเหมือนว่าจะเป็นการเดินหมากที่ แล้วเขาก็ได้หยิบเอาแผ่นป้ายขึ้นแล้วสั่งการออกไป “กระจายคำสั่งออกไปให้บุกเข้าตีเมืองตรงๆเลย”
และแล้วกองทหารรัฐจง 50,000 นายก็ได้มารวมพลแล้วเริ่มเคลื่อนทัพไปยังเมืองชายแดน
ด้วยการบุกครั้งใหญ่นี้ได้ปลุกเจียงหวายเย่กับ หลินซีเหยียนตื่นโดยไม่ต้องเตือน แล้วทั้งสองคนก็ได้มาที่กำแพงเมืองด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล “พวกเราจะต้องทนจนถึงพรุ่งนี้ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรก็ตาม”
“เร็วเข้า ไปแจ้งเตือนให้คนในเมืองทราบให้ย้ายสิ่งของที่พอจะย้ายได้ไปวางไว้ที่ประตูเมืองเพื่อป้องกันไม่ให้ประตูถูกทำลาย” เจียงหวายเย่ที่ยังคงเยือกเย็นอยู่ได้เสมอก็ได้ออกคำสั่งที่คิดว่าดีที่สุดออกไป
แล้วเหล่าทหารก็ได้แยกย้ายออกไป ส่วนเจียงหวายเย่ก็ได้นำเหล่ามือธนูไปหาตำแหน่งเหมาะๆบนกำแพง
มีคนมากมายที่มีชะตาจะต้องตายในสงครามครั้งนี้ โดยที่ไม่รู้ตัวว่าห่าฝนธนูตกลงมาจากบนท้องฟ้าตั้งแต่เมื่อไร พุ่งเข้าใส่หน้าของเหล่าทหาร ปลุกเร้าให้ตื่นรับสถานการณ์นี้กันมากขึ้น
แล้วเหล่าทหารอาสาในเมืองชายแดนก็ได้รวมมือกันช่วยกันปกป้องความสุขและบ้านของพวกเขาเองด้วยชีวิต
แต่ทว่าหากเทียบกันถึงกองกำลังทั้งสองฝ่ายแล้วมันมากเกินกว่าที่จะเอาชนะได้จริงๆ แล้วเหล่าทหารบุกตีเมืองก็ได้มาภายใต้การป้องกันของโล่เหล็ก เสียงดัง “ก๊องๆ” ที่ดังมาจากรถกระทุ้งที่กระแทกเข้ากำแพงเมืองก็ได้ฝังเข้าไปในจิตใจของผู้คนอย่างต่อเนื่อง
“ปล่อยน้ำมัน”
แล้วน้ำมันร้อนๆก็ได้ไหลลงไป แล้วตามมาด้วยเสียง กรีดร้องที่ข้างล่างอย่างต่อเนื่อง แต่การบุกตีเมืองก็ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป
“ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ประตูเมืองคงได้พังแน่ๆ ข้าจะรับหน้าที่บัญชาการต่อเอง มหาอุปราชท่านพาลูกพี่ลูกน้องข้าหนีออกไปจากที่นี่โดยไวเถอะ!” เยี่ยจุนเจี๋ยที่ยืนอยู่ตรงหน้า เจียงหวายเย่ก็ได้กล่าวด้วยความรับผิดชอบมากและต้องการที่จะปกป้องทั้งสองคนจากพายุนี้
มุมปากของหลินซีเหยียนก็ได้กระตุกขึ้นมาแล้วก็หยิก เยี่ยจุนเจี๋ยอย่างไม่ปรานี “เจ้าคิดจะให้พวกเราหนีเอาตัวรอดอย่างนั้นเหรอ?”
“เปิ่นหวางจะคอยปกป้องเสี่ยวเหยียนเอ๋อเอง” ดวงตาของเจียงหวายเย่เต็มไปด้วยความสง่างาม เขานั้นคิดว่าถ้าหากเขาไม่อาจที่จะเอาตัวรอดจากความตายได้จริงๆขึ้นมา เขาจะให้หลินซีเหยียนออกไปยังที่ปลอดภัย
ด้วยเหตุนี้ทั้งสามคนจึงได้ยืนอยู่ท่ามกลางห่าฝนนี้ และกำกระบี่และดาบในมือของพวกเขาแน่นแล้วรอชั่วขณะที่ประตูเมืองได้พังทลาย
“ประตูพังแล้ว!”
“เมืองแตกแล้ว”
แล้วเหล่าทหารในรัฐจงก็ได้พากันบุกเข้ามา โดยไม่สนใจว่าคนที่อยู่ข้างหน้าพวกเขานั้นเป็นทหารหรือชาวบ้าน พวกเขาได้ลงมือฆ่าทันทีที่เห็น ในชั่วพริบตาเดียวก็ได้มีคนจำนวนมากตายลงภายใต้คมดาบของพวกเขา
“ส่งคนไปพาชาวบ้านอพยพออกไปจากเมืองเร็ว”
แม้ในสถานการณ์เช่นนี้ เสียงของเจียงหวายเย่ก็ยังคงสงบเยือกเย็น แล้วผู้คนที่พากันตื่นตระหนกก็ได้พากันหยุดวิ่ง “มหาอุปราชที่มีค่าดั่งทองคำยังไม่กลัวตายเลย แล้วพวกเราที่เป็นแค่คนธรรมดาจะไปกลัวอะไร?”
แล้วพวกเขาก็ได้หยุดวิ่งแล้วหันไปหยิบจอบหยิบขวานขึ้นมาแล้วบุกเข้าหาศัตรูพร้อมกับพวกทหาร
“พวกเราก็ลงไปข้างล่างด้วย” เจียงหวายเย่ก็ได้ลูบหัวของหลินซีเหยียน “ข้างล่างนั้นวุ่นวายมาก เจ้ารอเราอยู่ที่นี่แหละ” ทันทีที่กล่าวจบเจียงหวายเย่ก็ได้จี้สกัดจุดหลินซีเหยียนก่อนที่นางจะได้พูดโต้แย้ง
“อันอี้, อันเอ้อ, เชียนอี้, เชียนเอ้อ พวกเจ้าคอยดูแลนางเอาไว้” เจียงหวายเย่กล่าวแล้วก็หันหลังไปและทิ้งให้ หลินซีเหยียนอยู่เพียงลำพัง “ที่เหลือทั้งหมดออกมาแล้วไปฆ่าศัตรูพร้อมกับข้า”
แล้วผู้คนที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดนั้นก็ได้ปรากฏตัวออกมา พวกเขานั้นคือกองกำลังที่เข้มแข็ง และเพราะการเข้าร่วมของพวกเขานั้นทำให้สถานการณ์ในเวลานี้ยังคงอยู่ในสภาพยื้อเอาไว้ได้
“อันอี้ปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้”
ในบรรดาหน่วยอันและหน่วยพันกลแล้ว คนที่เก่งที่สุดทั้ง 4 คนได้ยืนอยู่ล้อมรอบหลินซีเหยียนและคอยจัดการคนที่ไม่ดูตาม้าตาเรืออย่างไร้ปรานี
“ขอโทษด้วยขอรับองค์หญิง อันอี้ไม่สามารถขัดคำสั่งองค์ชายได้จริงๆ”
หลินซีเหยียนยังคงยืนอยู่บนกำแพงและมองดู เจียงหวายเย่กับเยี่ยจุนเจี๋ยต่อสู้กันอยู่ด้านล่างด้วยตาของนางเอง ตัวของพวกเขานั้นอาบไปด้วยเลือด โดยที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเลือดพวกนั้นเป็นของพวกเขาหรือศัตรูกันแน่
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ก็ได้มีคนยืนหยัดอยู่ในเมืองน้อยลงเรื่อยๆเท่านั้น กลิ่นเลือดที่แรงมากขึ้นเรื่อยๆก็ได้เข้าจมูกของผู้คนทำให้ผู้คนรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา
แขนขาที่ขาดและตับที่โผล่ออกมาได้แสดงให้เห็นถึงโศกนาฏกรรมในเวลานี้
เจียงหวายเย่และเยี่ยจุนเจี๋ยได้ยืนกันแบบหลังชนหลัง หน่วยอันและหน่วยพันกลที่เหลือก็ได้คอยคุ้มกันทั้งคู่ที่อยู่ตรงกลาง แต่พวกเขานั้นก็ได้พากันล้มลงไปทีละคนคนเช่นกัน
หลินซีเหยียนที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองก็ได้หน้าซีด และแก้มทั้งสองข้างของนางก็ได้เปียกไปด้วยน้ำตาโดยที่นางไม่รู้ตัวและมองดูกระบี่ของจงซู่เฟิงเข้าโจมตีใส่เจียงหวายเย่ ส่วนนางทำได้เพียงตะโกนออกมา “ไม่!!”
การที่นางไม่สามารถทำอะไรไม่ได้เช่นนี้ทำนางนั้นเกลียดเจียงหวายเย่มาก ทำไมเขาถึงต้องทำกับนางอย่างโหดร้ายเช่นนี้ด้วย? นางนั้นยินดีที่จะตายพร้อมกับเขามากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่
ในขณะนั้นเองก็ได้มีกองทหารนับพันนับหมื่นบุกเข้ามา แล้วก็มีหอกเล่มหนึ่งได้หยุดความทะเยอทะยานของจงซู่เฟิงเอาไว้
เมื่อได้เห็นการมาถึงของหลินหนานเฟิง ก็ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าพวกเขาได้ยันเอาไว้จนถึงรุ่งสางแล้ว และการตัดสินแพ้ชนะของสงครามนี้ก็ได้ถูกตัดสินแล้ว
…………….
ครึ่งเดือนต่อมา กองทัพก็ได้ยกทัพกลับไปที่เมืองหลวง แต่ทว่ากลับไม่พบเจียงหวายเย่กับหลินซีเหยียนเลย แล้วเมื่อฮ่องเต้ถามหาเขา เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้รายงานออกไป “อาการองค์ชายนั้นอยู่ในขีดอันตราย ตอนนี้เขายังกำลังรักษาตัวอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
และที่เมืองชายแดนนั้นก็ได้อยู่ในสภาพหยุดทำการเพื่อรอการซ่อมแซม แต่ที่นั่นกลับไม่พบแม้แต่เงาของเจียงหวายเย่เลย ในเวลานี้ตัวเขากับหลินซีเหยียนก็กำลังนับเงินกันอยู่ในหอพันกลพร้อมกับเทียนเอ๋อในเวลานี้
“ท่านแม่ ต่อจากนี้ไปของพวกนี้จะเป็นของพวกเราใช่ไหมขอรับ?”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวแล้วมองไปยังคนที่กำลังยิ้มอยู่ “พ่อของเจ้าได้ทำผิดเอาไว้ เขาจะต้องชดใช้ด้วยทรัพย์สินทั้งหมดของเขา
“เปิ่นหวางยินดี หากว่าทำให้เจ้ามีความสุขแล้วล่ะก็”