หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 352 ทำไมสวรรค์ถึงไม่ยุติธรรมกับข้า
บทที่ 352
ทำไมสวรรค์ถึงไม่ยุติธรรมกับข้า
“มีเพียงหน้าผาอยู่ด้านหลังของพวกเรา ถ้าหากพวกเราอยากที่จะออกไปจากที่นี่ ก็มีเพียงแต่ต้องฝ่าวงล้อมออกไปตรงๆเท่านั้น และจงซู่เฟิงคงจะต้องอยู่ที่ตีนเขาและรอหว่านแหจับพวกเราอยู่เป็นแน่”
เจียงหวายเย่เองก็รู้ถึงกำลังพลในปัจจุบันของเขาดี พวกเขาคงไม่อาจที่จะเอาชนะกองทหารนับพันของจงซู่เฟิงได้ แต่ในเวลานี้พวกเขาก็มีเพียงแต่ต้องสู้เท่านั้นถึงจะเอาชีวิตรอดไปได้
ไม่อย่างนั้นเมื่อใดที่ไฟลุกไหม้ทั้งภูเขาแล้ว พวกเขาก็คงได้ไหม้กลายเป็นตอตะโกไปพร้อมกับภูเขาแน่ๆ
“ข้าพบเขาที่ตีนเขา” หลินซีเหยียนตอบโดยไม่ปิดบัง เจียงหวายเย่ “นี่ท่านไปทำอะไรให้เขา ทำไมเขาดูเกลียดชังท่านมากขนาดนั้น”
เจียงหวายเย่ก็ได้ผงกหัวเมื่อเขาได้ยินที่ถาม แล้วก็กล่าวด้วยสีหน้าที่ภูมิใจ “นั่นเพราะเขาอยากที่จะชิงเสี่ยวเหยียนเอ๋อไปจากเราแต่ก็ทำพลาด เลยมีสภาพเหมือนหมาจนตรอกและมีอาการกระวนกระวายยังไงล่ะ”
“อย่ามาพูดอะไรเหลวไหล ท่านคิดว่าทุกคนจะเป็นเหมือนท่านรึยังไง?”
เจียงหวายเย่ก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาแล้วกล่าว “เสี่ยวเหยียนเอ๋อนี่รู้จักเราดีจริงๆ เพราะตัวเรามีเพียงเสี่ยวเหยียนเอ๋อเท่านั้น”
“ในตอนที่พวกท่านจะตีฝ่าออกไป พวกท่านก็เอาผงยานี้ไปใช้เสีย เพียงแค่ขว้างออกไปผงยานี้ก็จะทำให้อีกฝ่ายตัวชาชั่วคราวได้ แล้วพวกเราจะใช้โอกาสนี้ตีฝ่าออกไป”
ในครั้งนี้หลินซีเหยียนได้เตรียมตัวขึ้นเขามาเป็นอย่างดี นางจึงมั่นใจว่าจะพาทุกคนกลับไปยังรัฐเจียงอย่างปลอดภัยให้ได้
ทุกคนจึงหารือเรื่องแผนรับมือและตีฝ่าลงจากภูเขาไปในตอนที่ไฟเบาบาง ซึ่งตามคาดพวกเขาก็พบจงซู่เฟิงพร้อมด้วยกองทหารรัฐจง และอย่างที่คิดจงซู่เฟิงนั้นยังไม่คิดที่จะทำร้ายนางในตอนนี้ หลินซีเหยียนเองก็ถูกปกป้องโดยเจียงหสายและมีเสียงร้องดังขึ้นมาทั่วทุกหนทุกแห่งที่ไป
จงซู่เฟิงก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนด้วยสายตาที่ว้าวุ่นใจและรู้ดีว่าตัวเขานั้นคงไม่อาจได้ตัวหลินซีเหยียนมา แต่ไฟแห่งความโกรธและอิจฉาก็ได้ทำให้หัวใจของเขาลุกโชนขึ้นมา
จงซู่เฟิงก็ได้รีบเข้าไปสู้กับเจียงหวายเย่ แต่เพราะอาการพิษกำเริบที่รุนแรงทำให้เขาใช้พลังกายไปเกือบหมดแล้ว เขาจึงต้องรีบจัดการเรื่องนี้ให้ได้โดยไว
หลินซีเหยียนก็ได้ถอยห่างออกมาแล้วมองไปที่แผ่นหลังของเจียงหวายเย่ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความกังวลแต่นางแต่นางก็ไม่สามารถที่จะเข้าไปยุ่ง เพราะถึงแม้นางจะเข้าไปยุ่งก็จะได้แค่ตัวถ่วงเท่านั้น
การตัดสินแพ้ชนะของผู้ยอดยุทธ์นั้นจะจบลงในชั่วพริบตา และเม็ดทรายบางๆก็ได้ถูกพัดลอยมาตามลม ทำให้ดวงตาของหลินซีเหยียนต้องพร่าไป
“อุ่ก!” กระอักเลือดออกมาคำโต จงซู่เฟิงก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่ด้วยสายตาไม่อยากเชื่อแล้วจากนั้นก็ได้หัวเราะให้กับตัวเอง “วรยุทธ์ของเจ้าช่างสุดยอดจริง นั่นสินะไม่อย่างนั้นเจ้าจะเป็นเทพสงครามที่น่ากลัวได้อย่างไร”
จากนั้นเขาก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนแล้วกล่าวอย่างเศร้าๆ “เราแพ้แล้ว พวกเจ้าไปเถอะ!”
“เจ้าคิดจะปล่อยพวกเราไปจริงๆเหรอ?” เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้มองไปที่อีกฝ่ายอย่างสงสัย สายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ เพราะอีกฝ่ายนั้นสร้างปัญหาให้เขาตั้งมากมายขนาดนี้ จะปล่อยพวกเขาไปง่ายๆได้อย่างไร?
จงซู่เฟิงไม่ตอบคำถามของเขา เขามองไปที่ใบหน้าของหลินซีเหยียน แต่ก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้มองมาที่เขาเลยแม้แต่น้อย เขาจึงได้หัวเราะให้กับตัวเอง “มันเทียบกันไม่ได้เลยมาตั้งแต่แรกแล้ว พวกเจ้าไปเถอะ แล้วเมื่อพบกันในสนามรบครั้งหน้า พวกเราจะเป็นศัตรูกันและจะไม่มีปรานีกันอีก”
แล้วจงซู่เฟิงก็ได้ยกทัพกลับไปเช่นนี้ เหลือทิ้งเอาไว้เพียงแผ่นหลังที่โดดเดี่ยว
“ฝ่าบาท พวกเราจะยอมปล่อยโอกาสดีๆเช่นนี้ไปง่ายๆจริงๆเหรอพ่ะย่ะค่ะ?”
แล้วแม่ทัพคนหนึ่งที่ติดตามจงซู่เฟิงมานั้นก็ได้ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของจงซู่เฟิงอย่างมาก แล้วดวงตาของ จงซู่เฟิงก็ได้หนาวเย็นขึ้นมาและใบหน้าของเขาก็ได้เย็นราวกับน้ำแข็ง จากนั้นกระบี่ในมือของเขาก็ได้ฟันลงไปตัดเส้นเลือดใหญ่ที่คอของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำ
“ไม่ว่าใครก็ห้ามตั้งคำถามกับข้า”
สะบัดเอาเลือดที่เปื้อนกระบี่ของเขาออก โดยที่ดวงตาของจงซู่เฟิงนั้นไม่ได้สั่นไหวใดๆราวกับบ่อน้ำโบราณที่นิ่งไร้คลื่น
แล้วหลินซีเหยียนกับเจียงหวายเย่ก็ได้รีบมุ่งหน้ากลับไปที่เมืองชายแดน ในเวลานี้ฮ่องเต้เจียงเจิ้งเฉิงที่อยู่ในเมืองหลวงก็ได้รับทราบข่าวและต้องการที่จะส่งกองทัพขนาดใหญ่ไปเสริม และในขณะที่เขากำลังจะออกคำสั่งอยู่นั้นเอง
ไทเฮาก็ได้ปรากฏตัวและลงมือฉีกราชโองการของ เจียงเจิ้งเฉิงด้วยตนเอง
“ไทเฮาทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ไทเฮาที่สวมชุดสีดำนั้นก็ดูมีท่าทีที่ก้าวร้าวขึ้นมา นางนั่งลงที่เก้าอี้ราวกับว่าไม่มีใครอื่นอยู่ที่นี่แล้วจากนั้นก็ได้มองไปที่ฮ่องเต้ “มหาอุปราชนั้นเป็นโจรปล้นบัลลังก์ ดังนั้นข้าจึงไม่เห็นด้วยที่จะส่งกองทหารไปช่วยเขา”
เจียงเจิ้งเฉิงก็ได้กล่าวอย่างดุดัน “ที่แท้ท่านก็เป็นผู้หญิงเช่นนี้เองสินะ ไทเฮารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่น่ะจะไม่ได้มีแค่มหาอุปราชคนเดียวที่ตาย แต่ยังมีคนอีกเป็นหมื่นต้องตายไปด้วยนะ? ไทเฮาต้องการให้ข้าเป็นฮ่องเต้ขี้ขลาดหรืออย่างไร?”
ด้วยความโกรธของเขา ทำให้เขาหายใจขึ้นลงอย่างรุนแรง แล้วเจียงเจิ้งเฉิงก็ได้เรียกขันที “ข้าเหนื่อยแล้ว ช่วยส่งไทเฮากลับไปที่ตำหนักนิรันดร์ให้ที”
“ฝ่าบาท ท่านจะส่งคนไปช่วยเจียงหวายเย่ไม่ได้นะ” ในขณะที่ขันทีกำลังจะเดินไปหาไทเฮาอยู่นั้น ชวีฮุยจงก็ได้เดินเข้ามาพร้อมด้วยอดีตเหล่าขุนนางจำนวนมากมาย
เจียงเจิ้งเฉิงก็ได้หรี่สายตาของเขาลง และใบหน้าของเขาก็ได้เต็มไปด้วยความสับสน “ชวีฮุยจง นี่เจ้าคิดจะยึดวังหลวงอย่างนั้นเหรอ?”
“เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดของฮ่องเต้ จึงเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่เหล่าขุนนางจะต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อคัดค้าน” ชวีฮุยจงก็ได้มองมาอย่างอหังการและไม่ได้แสดงความเคารพต่อเจียงเจิ้งเฉิงเลยแม้แต่น้อย
“ข้าแนะนำให้เจ้าหยุดการกระทำนี้เสียแต่เนิ่นๆ แล้วข้าจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป ไม่อย่างนั้น…..”
ชวีฮุยจงก็ได้สะบัดพัดขนนกในมือของเขาอย่างไม่เห็นด้วย “แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงมีอำนาจมาก แต่ในตอนนี้เหล่าราชองครักษ์นั้นเป็นคนของข้าหมดแล้ว ถ้าหากท่านยอมเชื่อฟังข้าท่านก็จะยังเป็นฮ่องเต้รัฐเจียงต่อไป แต่ถ้าหากท่านไม่เชื่อฟังแล้วล่ะก็ตัวข้านั้นก็ไม่รังเกียจที่จะยึดเอาบัลลังก์นั้นมา”
“เจ้า….ช่างโอหังนัก เด็กๆ!” เจียงเจิ้งเฉิงก็ได้ตะโกนดังลั่นแต่ทว่าก็ไม่มีข้ารับใช้หรือราชองครักษ์คนไหนเข้ามาเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันคำพูดของชวีฮุยจงได้เป็นอย่างดี
“ท่านชวี ท่านก็ไม่ได้กลับมาที่เมืองหลวงเสียนาน ท่านไปเอากำลังคนพวกนี้มาจากไหนกัน?” เจียงเจิ้งเฉิงก็ได้ถามอย่างไม่พอใจ “หรือว่าท่านจะคิดทำเช่นนี้ตั้งแต่แรกแล้ว?”
“ข้าคิดตั้งแต่เมื่อไรงั้นเหรอ? ข้าจะบอกความจริงให้ท่านฟังก็ได้ ในตอนที่ข้าต้องจากไปอยู่ชายแดนที่ห่างไกลนั้น ข้าก็ได้เริ่มวางแผนร่วมกับองค์ชายจงซู่เฟิงไว้แล้ว ดังนั้นเรื่องในวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
“ชวีฮุยจงกับจงซู่เฟิงงั้นเหรอ ดี! ดี!” เจียงเจิ้งเฉิงก็ได้ลุกขึ้นยืนอย่างเกรี้ยวกราดแล้วก็พังแจกันบนโต๊ะจนแตก แล้วในตอนนั้นเองที่ราชองครักษ์จำนวนมากได้แห่กันเข้ามา
ชวีฮุยจงก็ได้ยักคิ้วและมีแววตาสงสัยปรากฏในดวงตาของเขา แต่แล้วเขาก็ได้ยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าว “ฝ่าบาท ข้าแนะนำให้ท่านยอมแต่โดยดีจะดีกว่า”
เจียงเจิ้งเฉิงก็ได้มีสีหน้าผิดหวังขึ้นมา เขาได้นึกถึงตอนที่เสด็จอาได้เตือนเขาเรื่องของความทะเยอทะยานของตระกูลชวีแล้วแต่เขากลับไม่สนใจ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเป็นเรื่องจริง แต่โชคยังดีที่เสด็จอานั้นได้ทิ้งไพ่ในมือไว้ให้เขาก่อนที่จะจากไป
เจียงเจิ้งเฉิงก็ได้หันหน้าไปมองที่ไทเฮา “ไทเฮา ท่านร่วมมือกับเขาด้วยอย่างนั้นหรือ?”
องค์ไทเฮาก็ได้พ่นลมออกทางจมูกอย่างเย็นชาแล้วมองด้วยสายตารังเกียจ นางนั้นได้ใจดีกับเจียงเจิ้งเฉิงตั้งแต่ตอนยังเด็กเพื่อให้ได้ในสิ่งที่นางต้องการเท่านั้น เจียงเจิ้งเฉิงก็ได้สะบัดมือของเขา “จัดการพวกเขาให้หมด”
“ฮ่าๆ สงสัยฝ่าบาทคงจะเสียสติไปแล้ว ไม่ใช่ว่าข้าบอกกับท่านไปแล้วเหรอว่าเหล่าราชองครักษ์น่ะเป็นคนของข้าหมดแล้ว”
“ข้าไม่ได้เสียสติ เจ้าต่างหากที่เสียสติน่ะชวีฮุยจง”
เจียงเจิ้งเฉิงก็ได้พูดอย่างประชดประชันทำให้ชวีฮุยจงโกรธและไม่พอใจ แต่เมื่อมองไปที่ด้านหลังของเขาแล้วก็ได้มีใบหน้าที่มั่นใจขึ้นมา แล้วถอนหายใจออกมา
บางทีฮ่องเต้น้อยนั้นคงแค่จะขู่เขาเท่านั้น
แต่ในขณะที่เขากำลังพูดในสิ่งที่เขาคิดออกมานั้น ความมั่นใจที่อยู่ด้านหลังของเขานั้นจู่ๆก็ได้เริ่มขยับและเดินไปหาฝ่าบาทที่อยู่ตรงหน้าเขาทีละก้าวๆ
“หานกุ้ย นี่เจ้าคิดที่จะทำอะไรน่ะ?” ชวีฮุยจงก็ได้คิ้วขมวดอย่างสงสัย