หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 350 โรคระบาด
บทที่ 350
โรคระบาด
เป็นคำถามที่ดูธรรมดาๆแต่กลับทำให้คนคนนั้นคิดที่จะหนีไป ราวกับว่าเขานั้นพบกับคนที่น่ากลัวอย่างมากและพยายามที่จะสลัดมือของหลินซีเหยียน แล้วจากนั้นท่าทีของเขาก็ได้ใจเย็นลงเรื่อยๆ
“เฮ้อ แม่นางรีบออกไปจากที่นี่เสียเถอะ ที่นี่มีโรคระบาดเกิดขึ้นถ้าพวกเจ้าไม่รีบหนีไป พวกเจ้าจะต้องตายกันหมด!” หลังจากที่กล่าวจบ ชายคนนั้นก็ได้รีบหนีไปราวกับกำลังหนีเอาชีวิตรอด
“โรคระบาด?” หลินซีเหยียนก็ได้สงสัยขึ้นมาอย่างสุดขั้วหัวใจ ซึ่งหลังจากที่นางสังเกตดูแล้ว ถึงแม้ว่าอาการของคนเหล่านี้จะดูคล้ายกับโรคระบาดมากก็ตามที แต่มันก็มีปัญหาที่สำคัญอยู่อย่าง นั่นคือหากคนเหล่านี้เป็นโรคระบาดจริงแล้วทำไมพวกเขาถึงไม่มีไข้ขึ้นสูงล่ะ?
แต่ถ้าไม่ใช่โรคระบาดแต่เป็นยาพิษแล้ว ก็ควรจะเป็นแค่ 1 ถึง 2 คน แล้วทำไมคนทั่วทั้งเมืองชายแดงถึงได้ถูกพิษกันภายในชั่วข้ามคืนเช่นนี้?
“องค์หญิง ถ้าท่านยังไม่คิดที่จะไปต่อ ข้าน้อยว่าเราควรไปที่ศาลาพักม้าเพื่อรอมหาอุปราชก่อนเถอะขอรับ?” ชิงอวี่กับ จี๋เฟิงก็ได้เสนอขึ้นมา
“แล้วเมื่อใดที่มหาอุปราชมาถึงแล้ว ก็ค่อยวางแผนต่อไปเถอะเจ้าค่ะ องค์ชายน้อยเองก็เหนื่อยแย่แล้ว”
“ใช่แล้วท่านแม่ พวกเราไปรอท่านพ่อมากันเถอะนะ”
เทียนเอ๋อเองก็รู้ดีว่าพวกเขานั้นจะปลอดภัยก็ต่อเมื่อ เจียงหวายเย่เดินทางมาถึงแล้ว เพราะตอนที่เขาออกมาจากเมืองหลวง เขาก็ได้สัญญากับท่านพ่อไว้แล้วว่าเขาจะคอยเกาะติดท่านแม่อยู่ตลอดเวลา เขานั้นคิดที่จะปกป้องท่านแม่ของเขาจนกว่าท่านพ่อจะมารับพวกเขา
“น้องซีเหยียนข้าเองก็เห็นด้วย พวกเราไปที่ศาลาพักม้าเพื่อรวบรวมข่าวสารข้อมูลกันก่อนเถอะ”
ภายใต้การต่อรองของแต่ละคนแล้ว หลินซีเหยียนจึงได้ยอมล้มเลิกการสำรวจโรคระบาดออกไปก่อนชั่วคราว
จากนั้นก็ได้หยิบเอาแผ่นป้ายที่ศาลาพักม้าออกมาแล้วอธิบายถึงฐานะของเยี่ยจุนเจี๋ย ซึ่งพวกเขาก็ได้ปฏิบัติด้วยความเคารพทันที ซึ่งทำให้หลินซีเหยียนนั้นสะดวกมากในการถามไถ่อะไร
ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องปิดบังอะไร สถานการณ์ในปัจจุบันในเมืองนี้นั้นก็เห็นได้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว ผู้คนต้องทุกข์ทรมานเพราะโรคระบาดไปทั่วทั้งถนน และเพื่อไม่เป็นการไปติดคนอื่นๆ ผู้ที่ติดโรคก็จะออกมานอนอยู่ตามถนนหรือไม่ก็ตามกระท่อมฟางพังๆเท่านั้น
“โรคระบาดนี้ได้รับการยืนยันแล้วหรือยัง?” นางนั้นไม่เชื่อว่าเป็นโรคระบาด บางทีหมอแถวๆนี้อาจจะรู้ความจริงบ้างก็ได้
“ไม่ครับ โรคระบาดนั้นแพร่ไปอย่างรวดเร็วมากและผู้เกือบทั้งหมดในเมืองต่างก็ติดโรคกันหมด และหมอบางคนก็ได้หายสาบสูญไปในชั่วข้ามคืนด้วยเหตุผลบางอย่าง”
หลังจากที่ถามไถ่ได้หลายคำถาม หลินซีเหยียนก็ได้มั่นใจในสิ่งที่นางคิดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่นางก็ได้รอจนกว่านางนั้นจะพบต้นตอของปัญหาเสียก่อนถึงจะแก้ไขปัญหาได้
หลังจากได้ทราบจากผู้คนที่ผ่านไปผ่านมา เจ้าเมืองก็ได้เข้ามาพบกับเยี่ยจุนเจี๋ยเพื่อแจ้งข่าวร้าย
“อะไรนะ? กองทัพของรัฐจงกำลังมุ่งหน้ามายังเมืองนี้อย่างนั้นเหรอ?” เยี่ยจุนเจี๋ยได้ทุบโต๊ะ แล้วโต๊ะก็ได้พังเป็นชิ้นๆภายใต้มือของเขาทันที ซึ่งเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้ว เยี่ยจุนเจี๋ยนั้นโมโหมากเพียงใด
โชคดีที่หลินซีเหยียนนั้นสายตาไหวแล้วเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว อุ้มเอาลูกชายของนางหลบก่อนที่จะโดนตัวเขาได้ทันการ
“ใจเย็นๆก่อน มันอาจจะเป็นแค่ข่าวลวงก็ได้” หลินซีเหยียนได้ทำการวิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบันอย่างใจเย็น มีเพียงรัฐเจียงรัฐเดียวที่เป็นโรคระบาดนี้ แล้วกองทัพของ รัฐจงก็ได้บุกมาที่นี่ บางทีอาจจะมีจุดเชื่อมโยงกันระหว่างทั้งสองจุดนี้ก็ได้
“ในเวลานี้สถานการณ์ในเมืองนี้แย่สำหรับพวกเรามาก เมื่อใดที่รัฐจงรู้ถึงสถานการณ์ในเมืองนี้เมื่อไรพวกเขาได้เปิดฉากโจมตีแน่ๆ และพวกเราคงได้แพ้แน่หากต้องสู้รบกันจริงๆ” เยี่ยจุนเจี๋ยที่ใจเย็นลงแล้ว ก็ได้เริ่มทำการวิเคราะห์สถานการณ์ในปัจจุบันอย่างใจเย็น และหวังจะพบหนทางรอดไปให้ได้
“แล้วเราจะทำเช่นไรกันดี?” เจ้าเมืองก็ได้เอามือสั้นๆมาปาดเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของเขา
“หรือว่าพวกเราต้องรอความตายอยู่ที่นี่?”
เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้มองไปที่เจ้าเมืองที่ขี้ขลาดอย่างไม่พอใจ “ศัตรูยังมาไม่ถึงหน้าประตูเลย แต่ดูเจ้าซิ อย่างเจ้ายังคู่ควรที่จะเจ้าเมืองอยู่ไหม?”
“ท่านแม่ทัพยกโทษให้ข้าด้วย” แล้วเจ้าเมืองก็ได้สั่นมากขึ้นไปอีก
เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว อารมณ์โกรธของเยี่ยจุนเจี๋ยก็ไม่อาจบรรเทาลงได้ง่ายๆ
หลินซีเหยียนที่เห็นเจ้าเมืองที่น่าสงสารที่ตัวสั่นงันงกแล้วก็ได้เข้าไปห้ามเยี่ยจุนเจี๋ย
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อ!”
ในเวลานี้เองที่คนยังไม่โผล่มาแต่เสียงก็มาก่อนแล้ว มีเสียงที่หนาวเย็นดังมาจากข้างนอก ถึงแม้ว่าเสียงนั้นจะฟังดูไม่ค่อยพอใจ แต่ก็ทำให้รู้สึกได้ถึงความปลอดภัยขึ้นมา
หลินซีเหยียนที่เพิ่งลุกขึ้นยืนก็ได้ถูกดึงเข้ามาสวมกอดโดยคนที่เดินเข้ามาข้างใน “เสี่ยวเหยียนเอ๋อ ถ้าหากเจ้ายังไม่หนีออกมาจากวังหลวงรัฐจงแล้ว เราคงได้จัดการถล่มที่นั่นเป็นแน่”
“ท่านพ่อ!” แล้วคนที่ไม่เห็นหน้าเขาเสียนานก็ได้มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา ซึ่งคนที่ยินดีที่สุดก็คงจะไม่มีใครอื่นนอกจากเทียนเอ๋อ
เจียงหวายเย่ก็ได้ลูบหัวลูกชายของเขาด้วยมือข้างหนึ่ง แต่ก็ยังกอดหลินซีเหยียนด้วยมืออีกข้างหนึ่ง
แล้วคนอื่นๆที่อยู่ที่นี่ก็ได้รู้สึกได้ว่าพวกเขาสมควรที่จะออกไปก่อน เอาไว้ค่อยคุยการใหญ่ทีหลังก็ยังไม่สาย
“เปิ่นหวางไม่ได้พบเจ้าตั้งหลายวัน คิดถึง เสี่ยวเหยียนเอ๋อมากจนแทบจะเป็นบ้าอยู่แล้ว เสี่ยวเหยียนเอ๋อล่ะคิดถึงเปิ่นหวางบ้างไหม?”
“….คิด” คำตอบห้วนๆเช่นนี้ทำให้เจียงหวายเย่ที่คิดถึงคนในอ้อมกอดนี้มีความสุขมาก
“แล้วธุระในเมืองหลวงล่ะ?”
“ไม่ต้องห่วง เปิ่นหวางจัดการเรียบร้อยแล้ว”
“ตอนนี้อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ขอเปิ่นหวางกอดเจ้าเช่นนี้สักหน่อยเถอะ”
“อะแฮ่ม ถ้าท่านไม่รังเกียจขอข้าขัดสักหน่อยเถอะ ตอนนี้เรามีเรื่องสำคัญจริงๆอยู่” ภาพอันสวยงามในวันที่สวยงามนี้ต้องถูกขัดลงด้วยคนนอกเสียก่อน สีหน้าของเจียงหวายเย่ก็ได้มืดดำลงทันทีและเต็มไปด้วยจิตที่ชั่วร้าย
หลินซีเหยียนก็ได้หยิกเขาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะยิ้มและบอกกับเยี่ยจุนเจี๋ยที่อยู่ที่ข้างนอก “พี่จุนเจี๋ย ท่านเข้ามาเถอะ!”
หลังจากที่พูดจบหลินซีเหยียนก็ได้คิดที่จะออกไป แล้วเจียงหวายเย่ก็ได้คว้านางเอาไว้แล้วกล่าว “เจ้าจะไปที่ไหนน่ะ?”
ข้าจะไปดูสถานการณ์รอบๆและดูคนป่วยหน่อย ไม่ต้องเป็นห่วงข้า” ว่าแล้วนางก็ปรบมือของนาง “ข้าจะให้จี๋เฟิงตามข้าไปด้วย”
เจียงหวายเย่ก็โล่งอกขึ้นมา “แล้วกลับมาเร็วๆนะ”
หลินซีเหยียนก็ได้จากไป แล้วทั้งสองคนก็ได้เริ่มพูดคุยธุระกัน ทันทีที่พูดคุยเรื่องสถานการณ์ในปัจจุบันจบ เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้เปิดปากขึ้นมา “การสู้รบครั้งนี้อันตรายมาก ข้าหวังให้องค์ชายช่วยกลับไปพร้อมกับลูกพี่ลูกน้องของข้าและเทียนเอ๋อด้วย”
ถึงแม้ว่าเยี่ยจุนเจี๋ยนั้นอยากที่จะคุ้มครองหลินซีเหยียนแม่ลูกด้วยตัวเองก็ตามที แต่ผู้คนที่นี่ต้องการเขาและสนามรบก็ต้องการเขา ดังนั้นการส่งทั้งสองกลับไปก่อนจะเป็นการดีที่สุด
เจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มออกมาอย่างฝืนๆตัวเขานั้นรู้จักนิสัยของหลินซีเหยียนดี เขาจึงได้ตอบไปอย่างหนักแน่น “เสี่ยวเหยียนเอ๋อไม่ยอมไปหรอกเพราะนางเชื่อว่าด้วยวิชาแพทย์ที่นางมีจะสามารถรักษาผู้ป่วยเอาไว้ได้”
ในสถานการณ์ที่ทหารล้มป่วยจนขาดแคลนเช่นนี้ เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้พาคนของเขาที่เหลือรอดและอ่อนแรงออกไปสำรวจรอบๆเมือง
“ทันทีที่ช่วยชีวิตเขากลับมาได้ เขาก็ได้รีบออกไปรบก่อนที่ตัวเองจะรักษาหายเสียอีก แบบนี้มีกี่ชีวิตก็ไม่พอ!” นางพูดออกมาอย่างเย็นชา แต่นางก็ยังให้คนไล่ตามเยี่ยจุนเจี๋ยไปแล้วเอายาทาแผลไปด้วย
แม้ว่าจะกังวลแต่หลินซีเหยียนเองก็ยังมีงานอีกมากที่ต้องทำ นางนั้นได้พยายามทำยาแก้พิษอยู่ตลอดทั้งคืน นางนั้นได้แต่ต้องทำแบบนี้เท่านั้นตราบเท่าที่ยังหาต้นตอของพิษไม่พบ
“เหนื่อยหน่อยนะ” ดวงตาของเจียงหวายเย่เต็มไปด้วยความหดหู่ในขณะที่กำลังบีบนวดแขนและขาของนาง
“เจียงหวายเย่อย่าได้ประเมินข้าต่ำไปนักสิ ข้าน่ะต้องทำยาเป็นประจำอยู่แล้ว ดังนั้นการขึ้นเขาลงเขาน่ะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับข้าหรอก” ในฐานะหมอผีแล้ว อาการปวดเมื่อยเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติ ซึ่งหลินซีเหยียนก็ไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
“เจียงหวายเย่ ข้าอยากที่จะส่งเทียนเอ๋อกลับไปก่อน”
ในหลายวันมานี้นางนั้นเข้าใจอย่างเต็มที่ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ในตอนนี้ นางจึงต้องการที่จะทำให้มั่นใจว่าเทียนเอ๋อนั้นปลอดภัยดี
“ได้สิ พรุ่งนี้เราจะให้คนของหน่วยพันกลพาเทียนเอ๋อ กลับไปที่หอพันกลก่อน ถ้าเป็นที่นั่นจะปลอดภัยที่สุด” อุ้มคนที่กำลังเหนื่อยขึ้นมา แล้วเจียงหวายเย่ก็ได้จูบคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา และรู้ดีว่านางนั้นเหนื่อยมาก หลังจากที่อุ้มพานางไปที่เตียงเขาก็ได้ปิดประตูแล้วจากไป ตัวเขานั้นยังมีงานอีกมากต้องทำ
วันต่อมาภายใต้การร่ำไห้ของเทียนเอ๋อ ตัวเขานั้นได้ถูกพาตัวไปโดยหน่วยพันกลเพื่อไปจากสถานที่ที่ไม่รู้ถูกหรือผิดแห่งนี้
ในเวลานี้ไม่ว่าเทียนเอ๋อนั้นจะอาละวาดเช่นไร หลินซีเหยียนก็ไม่ยอมใจอ่อนแล้วเอาแต่ยืนเคียงข้างเจียงหวายเย่โดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ แต่แล้วนางก็ได้พูดขึ้นมา “เทียนเอ๋อเป็นเด็กดีนะลูก แล้วแม่จะไปรับเจ้าในอีกไม่กี่วัน”