หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 349 ช่วยเหลือประเทศด้วยสงคราม
บทที่ 349
ช่วยเหลือประเทศด้วยสงคราม
“ด้วยความเข้มแข็งในปัจจุบันของรัฐจง มันคงต้องใช้เวลาอีกนานหรืออาจจะเป็นปีกว่าผู้คนจะสงบลงได้ ในเวลานี้ รัฐจงนั้นเปรียบเสมือนเนื้อติดมันในสายตาของอาณาจักรอื่น ไม่รู้ว่าพวกท่านเคยคิดเรื่องนี้กันบ้างไหม?” คำพูดของจงซู่เฟิงนั้นได้ดังก้องเข้าไปในหัวของทุกคนที่อยู่ที่นี่ ในเวลานี้เป็นเรื่องยากมากสำหรับรัฐจงที่จะปกป้องตัวเองได้
“แต่ถ้าพวกเราไปปล้นชิงอาณาจักรที่ร่ำรวยกว่าพวกนั้น พวกเราก็จะสามารถสั่งสมกำลังพลและม้าได้”
แล้วจงซู่เฟิงก็ได้เผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมา “วิธีการนี้แม้จะดูไร้มนุษยธรรม แต่เมื่อใดที่ทั้งสามอาณาจักรนี้ได้แยกตัวออกจากรัฐจงเมื่อใด เจ้าคิดว่าพวกเราจะมีโอกาสชนะได้จริงๆเหรอ?”
โอกาสชนะงั้นเหรอ? ผู้คนในท้องพระโรงต่างก็รู้สึกเหมือนถูกเย้ยหยัน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ทั้งอาจจะถูกล้อมโดยทั้งสามอาณาจักรเลย ต่อให้มีแค่อาณาจักรเดียวพวกเขาก็ไม่รอดแล้ว
“แต่ฝ่าบาทมั่นใจเหรอว่าตอนที่พวกเราโจมตีรัฐเจียงนั้น อาณาจักรอื่นๆจะไม่ฉวยโอกาสโจมตีพวกเราน่ะ?”
ปัญหานี้ถือเป็นเรื่องพื้นฐานมาก การโจมตีอาณาจักรอื่นที่ร่ำรวยกว่านั้นรัฐจงนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งถ้าหากสามารถขจัดข้อเสียทิ้งไปได้ก็คงจะดีกว่า
ไม่อย่างนั้นตอนที่เขาเผชิญกับความดุร้ายของเสืออยู่นั้นพวกเขาอาจจะเจอหมาป่าที่กำลังหิวจากด้านหลังแทนได้
“หากว่าพวกเขายอมตกลงที่จะไม่โจมตีพวกเราแล้วจะเอาแต่ทรัพย์สินที่มีค่าแล้ว พวกเขาก็ย่อมที่จะนั่งดูอยู่บนภูเขาและมองดูเสือกัดกันอย่างแน่นอน อย่างไรเสียโอกาสดีๆที่จะได้เป็นเฒ่าประมงได้กำไรนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดได้บ่อยนัก
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องดีของพวกรัฐอื่นๆอยู่แล้ว เพราะต่อให้รัฐจงสามารถเอาชนะรัฐเจียงได้ก็ไม่สามารถที่จะยึดครองทั้งหมดได้อยู่ดี อย่างมากก็แค่ทำให้เข้มแข็งทัดเทียมกับรัฐอื่นๆเท่านั้น แล้วทำไมรัฐอื่นๆถึงจะไม่ยอมตกลงกับพวกเขาล่ะ
เหล่าขุนนางเมื่อได้ฟังคำอธิบายของจงซู่เฟิงแล้ว พวกเขาต่างก็รู้สึกตื่นเต้นและดวงตาของพวกเขาก็ได้สว่างขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ได้พากันเสนอหนทางที่จะเอาชนะรัฐเจียงให้
แต่ทว่าวิธีการนี้มันเลวร้ายเกินไป จึงได้มีขุนนางบางคนที่ไม่เห็นด้วย
ถ้าหากพวกเราวางยาพิษลงในแหล่งน้ำที่ชายแดน รัฐเจียง และก่อให้เกิดโรคระบาดขึ้นมาแล้วทำให้ผู้คนในรัฐเจียงเกิดการตื่นตระหนกแล้วล่ะก็ มันก็จะเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเราที่จะเข้าโจมตีรัฐเจียง”
จงซู่เฟิงก็ได้คิ้วขมวดขึ้นมาหน่อยๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นเขาเองที่อยากจะโจมตีรัฐเจียง แต่วิธีการนี้มันก็เลวร้ายเกินไปจริงๆ
เมื่อเห็นท่าทีลังเลของเขาแล้ว มหาเสนาบดีก็ได้พูดเพื่อปลุกใจเขา “มันเป็นแผนการที่เหมาะสมกับในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าหากฝ่าบาทอยากที่จะคิดการใหญ่แล้วจะต้องตัดเรื่องหยุมหยิมทิ้งไปพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็เห็นด้วย”
เมื่อนึกถึงเรื่องที่รัฐจงเป็นใหญ่ได้แล้ว หลินซีเหยียนก็จะต้องตกอยู่ในมือของเขาเป็นแน่ แม้ว่าหลินซีเหยียนอาจจะเกลียดเขาทีหลังก็ตาม แต่เขาก็ไม่ลังเลเพื่อให้ได้ตัวหลินซีเหยียนมา
ในเวลานี้หลินซีเหยียนนั้นกำลังหารือแผนรับมือกับ เยี่ยจุนเจี๋ยอยู่ หลินซีเหยียนก็ได้ติดต่อกับทหารในรัฐเจียงที่แต่งตัวเป็นนางกำนัลกระจัดกระจายอยู่ทั่วตำหนักแล้วมอบแผ่นป้ายอนุญาตออกจากวังไป ซึ่งแน่นอนว่าได้ขโมยแผ่นป้ายพวกนี้มา”
“แล้วข้าจะไปพบกับพวกเจ้าที่โรงน้ำชานอกวังหลวง”
เมื่อรู้ว่ามีสายตาสอดส่องของจงซู่เฟิงอยู่มากมายรอบตัวนางแล้วนั้น หลินซีเหยียนก็ไม่ได้เร่งรีบที่จะออกไป นางได้เรียกนางกำนัลนอกห้องแล้วบอกให้นางไปจัดการเตรียมอาหารมาให้หน่อย พวกนางหิวแล้วในเวลานี้เองที่เทียนเอ๋อที่นั่งทานอย่างเชื่อฟังนั้นก็ได้ลงมือทำตามแผนที่วางเอาไว้และลุกขึ้นยืน
“ท่านแม่ ข้าอยากจะออกไปเล่นข้างนอกขอรับ”
นางก็ได้คิ้วขมวดแล้วแกล้งทำเป็นไม่พอใจ “ไม่เอา เทียนเอ๋อ เป็นเด็กดีสิลูก”
“ไม่เอา ข้าอยากจะออกไปเล่นข้างนอก!” เทียนเอ๋อก็ได้ทำแก้มป่องแล้วทำตัวเป็นเด็กงอแงใส่นาง ทำให้หลินซีเหยียนต้องยอมอย่างช่วยไม่ได้และสั่งนางกำนัลที่อยู่ใกล้ๆนาง
“เจ้าพาเจ้าตัวแสบนี่ออกไปเล่นข้างนอกไป ข้าทานมากเกินไปหน่อยอยากที่จะพักผ่อน”
ฮ่องเต้ได้สั่งให้พวกเขาคอยจับตาดูหลินซีเหยียน แต่ไม่ได้สั่งให้จำกัดอิสระของลูกชายของนาง ขอเพียงหลินซีเหยียนอยู่ภายใต้จมูกของพวกเขาก็พอ แล้วนางกำนัลก็ได้รู้สึกโล่งอกและพาเทียนเอ๋อออกไป
หลินซีเหยียนจึงได้อยู่ในห้องตามลำพัง
“คนของเราได้ซุ่มรออยู่ในความมืดเรียบร้อยแล้ว และพวกเราจะพาตัวเทียนเอ๋อออกไปนอกวังหลวงแล้วไปรวมตัวกับพวกเราทีหลัง” เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้ลงมาจากหลังคาอย่างเงียบๆแล้วมาปรากฏตัวอยู่ข้างหลังหลินซีเหยียน
“จงซู่เฟิงนั้นกำลังหารือเรื่องสำคัญกับเหล่าขุนนางอยู่ และเขาคงจะไม่มาที่นี่เป็นชั่วระยะเวลาหนึ่งแน่ๆ นี่เป็นโอกาสดีของพวกเราที่จะหนีไปแล้ว” หลังจากที่พูดจบหลินซีเหยียนก็ได้รีบถอดเสื้อนอกของนางออก เหลือแต่ชุดที่สวมกันโดยเหล่านางกำนัลในวัง
พวกเขาได้จัดการทำให้นางกำนัลสักคนสลบไป แล้ววางนางนอนลงบนเตียงของหลินซีเหยียนแล้วจัดการห่มผ้าเพื่ออำพราง แล้วก็ค่อยๆออกจากตำหนักไปอย่างใจเย็น แล้วก็หยิบเอาแผ่นป้ายมาจากพ่อบ้านที่อยู่ในโรงอาหารในวัง แล้วก็ทำทีออกจากวังหลวงไปเพื่อไปซื้อวัตถุดิบทำกับข้าว
“ท่านแม่” ทันทีที่เทียนเอ๋อเห็นหลินซีเหยียนโผล่มา เทียนเอ๋อก็ได้วิ่งเข้าไปหาและกอดนางแน่น
เมื่อเข้าไปรับลูกชายของนางในโรงน้ำชาแล้ว เมื่อนางออกมาอีกครั้งหลินซีเหยียนก็ได้กลับมาใส่ชุดปกติธรรมดาของนาง
เหล่านางกำนัลในวังก็รู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นเมื่อถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว แต่ไม่ว่าพวกนางจะเรียกเท่าไรก็ไม่เห็น หลินซีเหยียนตื่นหรือตอบอะไรกลับมาเลย จากนั้นพวกนางจึงได้ถือวิสาสะดึงผ้าห่มออกแล้วก็พบว่าคนที่ควรจะอยู่ใต้ผ้าห่มนั้นได้เปลี่ยนคนไปแล้ว
ท่ามกลางความตื่นตระหนก นางกำนัลจึงได้ติดที่จะรีบไปแจ้งฮ่องเต้ ซึ่งเกรงว่าหากสายเกินไปพวกนางคงไม่อาจที่จะปกป้องหัวของพวกนางได้แน่
สวี่ชิงหลานที่โผล่มาพอดีก็เห็นเหล่านางกำนัลที่มีสีหน้าเหมือนฟ้ากำลังจะถล่มลงมานั้น ก็ได้ถามไถ่แล้วก็พบว่า หลินซีเหยียนกับคนอื่นๆได้หายตัวไปแล้ว ซึ่งนางก็รู้เรื่องนี้ดีแก่ใจอยู่แล้ว
“ตอนนี้อย่าเพิ่งเอาเรื่องนี้ไปบอกฝ่าบาท ส่งคนออกไปค้นหาทั้งในและนอกตำหนักก่อน มันยังไม่สายเกินไปที่จะรอจนกระทั่งพบพวกนาง”
นางกำนัลก็ได้ลังเลขึ้นมา ถึงแม้ว่าสนมเอกสวี่จะเป็นเพียงแค่นางสนมในตำหนักใน แต่นางก็มีโอกาสที่จะได้เป็น องค์ฮองเฮาในอนาคต แต่ทว่าถ้าหากองค์ฝ่าบาทเกิดโทษพวกนางขึ้นมา พวกนางคงไม่รอดแน่ๆ
“ท่านสนมเอก มันไม่ดีหรอกเจ้าค่ะ ถ้าหากว่าพวกข้าน้อยตามหาคนไม่พบเข้าล่ะก็ ฝ่าบาทคงจะ…..”
“ไม่เป็นไร” สวี่ชิงหลานนั้นไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย “หากฝ่าบาทจะโทษใครแล้วล่ะก็ เราจะรับผิดแต่เพียงผู้เดียว”
ในของสวี่ชิงหลานแล้ว เทียบกับการรับผิดแล้ว นางนั้นไม่ต้องการให้หลินซีเหยียนถูกพบโดยจงซู่เฟิงมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็ยังรู้สึกดีๆกับหลินซีเหยียนด้วย จึงสนใจที่จะช่วยเหลืออีกฝ่ายเท่าที่นางจะช่วยได้
ยิ่งไปกว่านั้นหัวใจของหลินซีเหยียนนั้นก็เหมือนจะไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย และตราบเท่าที่นางแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสีย บางทีกว่าฝ่าบาทจะรู้เรื่องก็คงจะหนีไปได้ไกลแล้ว
แล้วนางก็ได้ยกมือขึ้นมาแล้วสางผมที่ตกลงมาที่หน้าอกของนาง แล้วดวงตาของสวี่ชิงหลานก็ได้กวาดมามองเหล่านางกำนัลด้วยสายตาที่ดุดัน
“หากปราศจากซึ่งการอนุญาตจากเรา ไม่ว่าใครก็ห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกฝ่าบาทโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น….จะถูกโบยจนตาย!”
“ข้าน้อยมิกล้าเจ้าค่ะ” แล้วเหล่านางกำนัลก็ได้คุกเข่าลงไปด้วยกลัวแล้วก้มหัวให้อย่างเชื่อฟัง
จงซู่เฟิงนั้นก็กำลังยุ่งอยู่กับการประชุมวางแผนการโจมตีรัฐเจียงกับเหล่าขุนนางอยู่ ซึ่งในชั่วขณะนั้นเองที่ตัวเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับสถานการณ์ในวังหลวงเลย แน่นอนว่าเขานั้นไม่รู้เลยว่าหลินซีเหยียนกับพรรคพวกได้หายไปแล้ว
เขานั้นเชื่อมั่นในคนของเขามาก และคิดว่าหลินซีเหยียนไม่มีทางที่จะหนีออกไปจากวังของเขาได้ง่ายๆ
หลินซีเหยียนกับพรรคพวกก็ได้หลบๆซ่อนๆไปตลอดทางอย่างระมัดระวัง แล้วในที่สุดก็ได้เดินทางเข้าเขตรัฐเจียงในอีก 3 วันให้หลัง
“ข้าคิดว่าจะต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ” เยี่ยจุนเจี๋ยมองดูรอบๆอย่างระแวดระวัง “พวกเราไม่พบคนของจงซู่เฟิงเลยระหว่างทางที่พวกเรามานี่”
หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาของนางลงแล้วมองผู้คนที่นั่งอยู่ทั่วทุกมุมตรงหน้านาง สีหน้าของพวกเขาช่างแปลกมากราวกับว่าเป็นโรคร้ายบางอย่างอยู่
“ดูเหมือนว่าคนแถวนี้จะเป็นโรคบางอย่างเหมือนกันหมดนะ” นางชี้ไปที่ผู้คนที่นั่งไม่ก็ยืนอย่างหมดเรี่ยวแรง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือมีใครจงใจทำขึ้นมา
แต่ถ้าหากเป็นใครจงใจทำขึ้นมาจริงๆ มันก็เป็นอะไรที่น่ากลัวมาก
“ตั้งแต่ที่พวกเราเข้ามาในเมืองแล้ว ผู้คนผ่านไปผ่านมาที่นี่ต่างก็มีอาการเหมือนกันหมด ผิวของพวกเขาดูซีดเซียว แล้วก็กอดแขนห่อตัวเองเข้ากับเศษผ้า แล้วสีหน้าก็ดูเหมือนกระวนกระวาย”
จึงได้ตัดสินใจดึงคนที่ผ่านไปผ่านมาแล้วถาม “ที่นี่เกิดอะไรขึ้น?”