หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 348 ถูกกักบริเวณ
บทที่ 348
ถูกกักบริเวณ
นี่ผ่านไป 5 วันแล้วเป็นครึ่งหนึ่งของสิบวัน เจียงหวายเย่ได้จัดการกับเรื่องต่างๆในรัฐเจียงไปเกือบจะเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว ตัวเขานั้นคิดที่จะออกจากรัฐจงเพื่อไปพบกับหลินซีเหยียน
แต่ไม่คาดคิดว่าก่อนที่เขาจะได้ออกเดินทางนั้น เขาก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากนกอินทรีของหน่วยพันกลเข้าเสียก่อน
เมื่อเห็นเนื้อความในจดหมายแล้ว เจียงหวายเย่ก็รู้สึกได้ถึงวี่แววของสงครามขึ้นมา เขาจึงได้ไปที่วังหลวงและขอให้ฮ่องเต้เสริมกำลังไปที่ชายแดน
“ข้าขอตัวไปที่รัฐจงเพื่อไปพบกับองค์หญิงของข้า ขอให้ฝ่าบาทจงเชื่อมั่นในตัวข้า และโปรดอนุญาตให้ข้าไปด้วยเถอะ ฝ่าบาท”
เจียงเจิ้งเฉิงนั้นเชื่อในตัวเสด็จอาของเขามาก โดยไม่ต้องพูดอะไรเพิ่มเติมเขาก็ได้มอบเรื่องนี้ให้เจียงหวายเย่จัดการ “เสด็จอา เรื่องของชายแดนจงกับเจียง ข้าขอมอบให้เป็นหน้าที่ของท่าน”
เจียงหวายเย่นั้นคือเทพสงครามไร้พ่าย และในเวลานี้ข้าของเขาก็กลับมาใช้การได้แล้วและมีอิสระในเมืองหลวง อีกทั้งตัวเขายังกุมกองกำลังทหารไว้มากมายในมือของเขาอีก ในเวลานี้การปล่อยให้เขาไปที่ชายแดนนั้นก็เหมือนกับเป็นการบอกอีกฝ่ายว่าโอกาสในการก่อกบฏอย่างไร้กังวลมาถึงแล้ว
แต่จะมีใครที่คิดตัดสินใจที่จะทำอะไรโง่ๆเช่นนั้น? ในทางกลับกันเจียงเจิ้งเฉิงนั้นแม้จะยังเยาว์วัยแต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ เขาตัดสินใจเช่นนั้นก็เพราะว่าเขาเชื่อในตัวของเจียงหวายเย่
ซึ่งการเชื่อในตัวเขาอย่างหนักแน่นนี้ทำให้เจียงหวายเย่รู้สึกตื้นตันใจนัก ซึ่งก่อนที่เขาจะจากไปเขาก็ได้พูดทิ้งท้ายเอาไว้ “ฝ่าบาท ขุนนางที่แต่งตั้งขึ้นมาใหม่นั้นแม้ว่าอาจจะยังทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก แต่หากปล่อยให้พวกเขาได้ทำไปเรื่อยๆแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจะค่อยๆดีขึ้นเอง”
หลังจากที่กล่าวเช่นนั้น เจียงเจิ้งเฉิงก็ไม่ได้ถามอะไร และเจียงหวายเย่ก็ได้ปล่อยให้เจียงเจิ้งเฉิงนั้นต้องอยู่ตามลำพัง
ลึกเข้าไปในวังหลวง ไม่นานนักไทเฮาก็ได้รับทราบข่าวนี้ แล้วจากนั้นก็ได้ส่งคนไปแจ้งเรื่องนี้ให้พี่ชายของนางชวีฮุยจงทราบทันที
ณ วังหลวงของรัฐจง เพราะการเล่นตลกของ หลินซีเหยียนทำให้การระแวดระวังในวังหลวงมาถึงจุดสูงสุด จงซู่เฟิงก็ได้พาทหารมาที่ตำหนักของหลินซีเหยียนด้วยตัวเอง
หลินซีเหยียนที่แต่งตัวธรรมดาๆและพันผ้าพันคอหนังจิ้งจอกไว้ที่ไหล่ของนาง ทำให้นางนั้นไม่ได้รู้สึกหนาวเย็นอะไร แต่ก็ยังคงมีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“ฝ่าบาท ปลุกหม่อมฉันแต่เช้าแบบนี้หม่อมฉันหงุดหงิดนะรู้ไหม ท่านมีธุระอะไรก็รีบว่ามา? แล้วอย่ามารบกวนการนอนของหม่อมฉัน” หลินซีเหยียนถอนหายใจ ดวงตาของนางนั้นเยิ้มมากราวกับว่านางนั้นเพิ่งตื่นจากการนอน
“พอดีว่ามีนักโทษอุกฉกรรจ์ที่โหดร้ายมากหลุดออกมาจากในคุกหลวงน่ะ เราจึงกังวลว่าเขาอาจจะแอบมาทำร้ายแม่นาง เราจึงได้พาคนมาตรวจดูน่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นก็ตรวจดูเร็วๆเถอะ” หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางนั้นคิ้วขมวดแล้วก็พูดออกมา “เพราะถึงหม่อมฉันจะบอกไปว่าไม่มีใครอยู่ในตำหนักนี้ ฝ่าบาทก็คงจะไม่เชื่ออยู่ดี”
จงซู่เฟิงไม่ได้ตอบคำถาม เขาได้สะบัดมือของเขาเพื่อสั่งให้คนของเขาเข้าไปสำรวจโดยไว จากนั้นเขาก็ได้กล่าว “เราก็แค่ไม่อยากให้แม่นางหลินได้รับอันตรายต่างหาก”
คำพูดที่อ่อนโยนเช่นนี้ทำให้หลินซีเหยียนรู้สึกได้ว่าจงซู่เฟิงนั้นยังคงเป็นคุณชายจงที่เคยอาศัยอยู่ในจวนมหาเสนาบดีก่อนหน้านี้ เขาอ่อนโยนและงดงามราวกับหยก
ช่างน่าเสียดายนัก……
หลินซีเหยียนก็ได้พ่นลมออกทางจมูกแล้วหันหน้าหลบ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายนั้นจะมีท่าทีที่อ่อนโยนราวกับน้ำ แต่ก็ไม่อาจที่จะปิดบังสายตาของหลินซีเหยียนได้
ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วจงซู่เฟิงนั้นแม้จะไม่เคยสนใจเรื่องฐานะและตัวตนของเขา ดวงตาของเขาก็มักจะแผ่วเบาและสดชื่น แต่กลับเต็มด้วยความมืดดำและทะเยอทะยานซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกกลัวเมื่อเห็นดวงตานั้นของเขา
จงซู่เฟิงก็ได้คิ้วขมวดขึ้นมา ตัวเขานั้นไม่เข้าใจว่าทำไมหลินซีเหยียนนั้นถึงได้เหินห่างจากเขานัก ในเวลานี้ฐานะของเขานั้นก็ไม่ได้ต่างกับของเจียงหวายเย่มากนัก แต่ทำไมนางถึงยังไม่ชอบเขาอีก
“ทูลฝ่าบาท ไม่พบนักโทษหลบหนีในตำหนักพ่ะย่ะค่ะ” ราชองครักษ์ได้ก้มหัวให้ด้วยความเคารพแล้วรายงาน
จงซู่เฟิงก็ได้ถอนสายตาออกมาจากหลินซีเหยียนอย่างช้าๆ จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “เพื่อเป็นการป้องกันไม่ใช้คนร้ายมาทำร้ายแม่นางหลินเข้า แม่นางหลินจะต้องห้ามออกไปไหนมาไหนในช่วงนี้ไปก่อนนะ”
“นี่ท่านคิดจะกักบริเวณหม่อมฉันอย่างนั้นเหรอเพคะ?”
บางทีอาจเป็นเพราะความง่วงเหงาหาวนอนได้หายไปหรืออาจเป็นเพราะสายลมเย็นที่พัดเข้ามาทำให้นางตื่นนอน ในตอนนี้หลินซีเหยียนจึงได้พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ และยังแฝงเอาไว้ด้วยบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ของนาง
“แม่นางหลิน เราเป็นห่วงเจ้าจริงๆ” แล้วริมฝีปากของ จงซู่เฟิงก็ได้เผยรอยยิ้มอ่อนๆออกมา “ไม่ต้องกังวลไป ในช่วงนี้ท่เจ้าจะไม่รู้สึกเบื่อแน่นอน เราจะมาหาเจ้าบ่อยๆ”
“ไม่จำเป็น ฝ่าบาทนั้นทั้งสูงส่งและวุ่นวายพออยู่แล้ว อย่าได้มาเสียเวลากับหม่อมฉันเลยเพคะ” หลังจากที่พูดจบ หลินซีเหยียนก็ได้กลับเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูเพื่อพักผ่อน
“ฝ่าบาท” แล้วคนของจงซู่เฟิงก็ได้กล่าวเตือนฮ่องเต้ที่กำลังเหม่อลอย “แม่ทัพเยี่ยของฝ่าบาทจะต้องกลับมาแม่นางหลินเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จงซู่เฟิงนั้นรู้ดีว่าหลินซีเหยียนนั้นจะต้องเกี่ยวข้องอะไรกับการหายตัวไปของเยี่ยจุนเจี๋ยเป็นแน่ แต่ก็แล้วยังไง? ในตอนนี้เขาไม่สนใจว่าเยี่ยจุนเจี๋ยจะเป็นจะตายหรือจะไปอยู่ที่ไหน เพราะเดิมทีเขาก็แค่ต้องการใช้เยี่ยจุนเจี๋ยเป็นตัวล่อหลินซีเหยียนเท่านั้น
“ส่งคนคอยจับตาดูแม่นางหลินเอาไว้” จงซู่เฟิงก็ได้เดินจากไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา เมื่อใดที่เขายึดรัฐเจียงได้ แม่นางหลินก็จะเปลี่ยนใจมาชอบเขาเอง
หลินซีเหยียนที่เข้าไปในห้องนั้นยังไม่ได้นอน ในเวลานี้ทั้งใบหน้าของนางได้จับจ้องไปที่หน้าประตู และพยายามฟังเสียงคนที่อยู่ข้างนอก
“น้องซีเหยียน เจ้าถามข้าในสิ่งที่เจ้าอยากจะรู้ก็ได้นะ” จู่ๆเสียงของเยี่ยจุนเจี๋ยก็ดังขึ้นมาจากข้างหลังของหลินซีเหยียน ซึ่งทำให้หลินซีเหยียนนั้นตกใจ
หลินซีเหยียนก็ได้ยืนตัวตรงแล้วมือจับที่หน้าอกของนางเพื่อปลอบประโลมจิตใจน้อยๆของนาง นางมองไปที่เยี่ยจุนเจี๋ยแล้วก็ยักคิ้วขึ้นมา “พี่จุนเจี๋ย ท่านมาทำอะไรที่นี่?”
“ข้าซ่อนตัวอยู่บนหลังคาแล้วพอเห็นจงซู่เฟิงพาคนออกไป ก็ได้กระโดดเข้ามาทางหน้าต่างน่ะ” หลังจากนั้น เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้เผยรอยยิ้มที่มุมปากซีดๆของเขา แล้วมองไปที่หลินซีเหยียนอย่างมีความหมาย แล้วจากนั้นก็กล่าว “จงซู่เฟิงนั้นคงจะเป็นห่วงเจ้ามาก ถึงกับต้องให้ราชองครักษ์ตั้ง 8 คนมาคอยคุ้มครองเจ้า”
เยี่ยจุนเจี๋ยพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายมาก แม้ว่าจะมีความหมายเชิงประชดประชัน แต่สายตาของเขาก็เยือกเย็นและตั้งมั่นว่าเขาจะต้องพาลูกพี่ลูกน้องของเขากลับไปที่รัฐเจียงให้ได้
“ตอนนี้ก็ยังดึกอยู่ ท่านไปห้องข้างๆไปอยู่กับเทียนเอ๋อไป!” ในเวลานี้หลินซีเหยียนนั้นง่วงมาก นางจึงได้บอกให้เขาออกไปก่อน
เยี่ยจุนเจี๋ยผงกหัวแต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างพุ่งเข้ามาหาเขา แล้วเขาก็ได้ยื่นมือออกมารับโดยที่ไม่ได้หันหน้ากลับไป ก่อนที่จะดูว่าสิ่งนั้นคืออะไรเสียงของหลินซีเหยียนก็ได้ดังเข้าหูของเขาก่อน “เอาไปใช้เสีย มันจะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บทั้งภายนอกและภายในได้”
เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้รู้สึกตกใจเมื่อเขาได้ยินที่พูดเช่นนี้ และสงสัยว่าลูกพี่ลูกน้องของเขานั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาบาดเจ็บภายใน? ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะเขาเบลอหรือเปล่า ที่เขารู้สึกว่าลูกพี่ลูกน้องของเขานั้นเหมือนกับเจ้าเด็กตัวแสบหลินอวิ๋นเซวียนมากขึ้นเรื่อยๆ
ในรุ่งเช้าวันต่อมา จงซู่เฟิงที่ออกมาด้วยความมั่นใจและหารือเรื่องที่จะโจมตีรัฐเจียง
“ฝ่าบาท ท่านเพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์ได้ไม่ทันไร ฐานของท่านก็ยังไม่มั่นคงอีกทั้งผู้คนในรัฐจงก็ยังไม่พร้อม หากท่านทำสงครามแล้วล่ะก็คงไม่เป็นผลดีแน่พ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าขุนนางต่างก็พากันไม่เห็นด้วย
จงซู่เฟิงที่ดูเหมือนจะคาดการณ์ผลตอบรับนี้เอาไว้นานแล้ว จึงไม่ได้มีความขุ่นเคืองใดๆปรากฏออกมา เขามองไปที่เหล่าขุนนางที่อยู่ด้านล่างด้วยสีหน้าที่หนาวเย็น
“ไม่รู้ว่าพวกท่านพอจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่าทำสงครามด้วยสงครามบ้างหรือเปล่า?”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมหวังว่า ฝ่าบาทจะช่วยอธิบายรายละเอียดให้กระหม่อมทีพ่ะย่ะค่ะ” แล้วมหาเสนาบดีที่เป็นที่เคารพนับถือมากที่สุดในท้องพระโรงก็ได้กล่าวด้วยสีหน้าที่กระหายในความรู้ และมีแสงปรากฏในดวงตาของเขา
เมื่อจงซู่เฟิงเห็นเช่นนั้น เขาก็ได้แอบว่า“จิ้งจอกเฒ่า”ในใจของเขา