หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 346 ถูกสะกดรอยตาม
บทที่ 346
ถูกสะกดรอยตาม
แล้วทำไมคนอย่างสนมเอกถึงไม่ได้เป็นฮองเฮากัน?
ทำไมคนอย่างสนมเอกถึงต้องถูกเหยียบย่ำอยู่ภายใต้เท้าของผู้หญิงที่ไม่รู้จักที่มาที่ไปด้วย?
แต่ทว่าสวี่ชิงหลานนั้นไม่เห็นด้วยกับความไม่พอใจของนางกำนัลของนาง นางรู้ดีตั้งแต่แรกแล้วว่าหัวใจของจงซู่เฟิงนั้นไม่ใช่ของนาง และนางก็ไม่คิดที่จะไปแข่งขันด้วย นางก็แค่ต้องการที่จะเป็นมิตรกับอีกฝ่ายเท่านั้นเอง
“พอแล้ว” สวี่ชิงหลานสะบัดมือของนางราวกับว่านางเหนื่อย “ในเมื่อแม่นางหลินไม่ต้องการที่จะพบเรา เราก็อย่าไปรบกวนนางเลย”
แล้วนางกำนัลก็ได้กัดฟันแน่และโมโหแทนเจ้านายของนาง แต่นางก็ไม่สามารถที่จะพูดอะไรออกไปได้
สวี่ชิงหลานนั้นไม่ใช่สาวงามที่น่าหลงใหลอะไร และแน่นอนว่านางไม่ใช่คนที่จะถูกยั่วโมโหได้ง่ายๆโดยนางกำนัล แต่ท่าทีที่ไม่พอใจของนางกำนัลนั้นก็สมควรที่จะได้รับบทเรียนบ้าง
“แต่เจินเอ๋อเจ้าต้องจำเอาไว้ว่า ที่เราให้เจ้ามาอยู่ข้างกายเราเพราะปัญญาของเจ้า แต่เจ้าต้องจำเอาไว้ว่าเราเป็นเจ้านายของเจ้า ไม่ใช่เจ้าเป็นนายของเรา”
คำพูดเย็นชาที่ไม่สามารถโต้เถียงได้นี้ ได้ทำให้เจินเอ๋อรู้สึกตัวว่าทำผิดในทันทีที่นางได้ยิน แล้วนางก็ได้ผงกหัวรับพร้อมดวงตาที่แดงและบวม
สวี่ชิงหลานก็ได้ถอนหายใจ “ออกไปได้แล้วล่ะ!”
ไม่นานนักก็ได้เหลือเพียงแค่สวี่ชิงหลานที่เหลือตัวคนเดียวอยู่ในห้องนั้น ในตอนนั้นเองสวี่ชิงหลานก็เหมือนดอกโบตั๋นที่เบ่งบานในค่ำคืน ซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและคมกริบ
“ต่อไป เราคงจะต้องออกไปสืบรายละเอียดของผู้หญิงคนนั้นด้วยตัวเองเสียแล้ว!”
ในเวลานี้หลินซีเหยียนที่กำลังถือหนังสืออยู่มือของนางนั้น ก็กำลังเล่านิทานก่อนนอนให้เทียนเอ๋อฟัง
อย่างที่รู้กันเทียนเอ๋อนั้นไม่ได้ฟังนิทานก่อนนอนมานานมากแล้ว และนางไม่รู้ว่าทำไมวันนี้เทียนเอ๋อถึงได้ทำตัวแปลกๆนัก ตัวเขานั้นคอยตามติดข้างนางอยู่ตลอด ซึ่งทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
จริงๆแล้วอย่าว่าแต่นางรู้สึกไม่ค่อยดีเลย เทียนเอ๋อเองก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน เพราะแม่ของเขานั้นเล่าอะไรน่าเบื่อมาก แต่เขาก็ไม่อาจที่จะพูดอะไรออกไปได้ เพราะตัวเขาได้สัญญากับท่านพ่อเอาไว้แล้วว่าจะคอยเฝ้าดูท่านแม่อยู่ตลอด
แต่เมื่อฟังเสียงที่อ่อนโยนเข้ามาในหูของเขาแล้ว ไม่นานนักเทียนเอ๋อก็ทนไม่ไหวแล้วผล็อยหลับไป หลินซีเหยียนก็ได้ดึงผ้าห่มมาห่มให้เขาแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วปิดประตูและจากไป
ในเวลานี้มันเป็นเวลามืดมากแล้ว เกรงว่าน่าจะใกล้เที่ยงคืนแล้วด้วย
ในช่วงเวลาระหว่างเที่ยงคืนจนถึงรุ่งสาง จะเป็นเวลานอนของผู้คนส่วนใหญ่ ในเวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแก่การออกสำรวจวังหลวงยามค่ำคืนไม่ใช่อยู่เฉยๆ นางจึงได้กลับเข้าไปในห้องแล้วสวมชุดสีดำ
“ชิวอวี่คอยเฝ้าเทียนเอ๋อเอาไว้ ส่วนจี๋เฟิงเจ้าตามข้ามา” หลังจากนั้นนางก็ได้แอบออกไปพร้อมกับจี๋เฟิง
ในขณะที่ทั้งคู่ออกมาจากตำหนักไม่ทันไร ก็พบเข้ากับกลุ่มทหารเวรยามออกเดินตรวจที่หน้าประตูพอดี หลินซีเหยียนกับจี๋เฟิงก็ได้แอบซ่อนอยู่ในพงหญ้า
ภายในวังหลวงที่กว้างใหญ่นี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะตามหาที่อยู่ของเยี่ยจุนเจี๋ย
ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังพยายามมองหาว่าจะไปสำรวจที่ไหนดีอยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงที่เหน็ดเหนื่อยของทหารเฝ้ายามคนหนึ่ง
“ลูกพี่ได้ยินข่าวหรือยัง? ว่าคนที่ถูกคุมขังในคุกวังหลวงน่ะ พอได้ยินว่ามีคนจากรัฐเจียงมาที่นี่แล้วเขาก็ได้พยายามแหกคุกออกไปทันที”
“ข้าได้ยินแล้วและตัวเขาได้ถูกจับตัวกลับมาแล้ว คนคนนั้นนี่สุดยอดจริงๆ คุกวังหลวงเช่นนี้ก็ยังจะสามารถหนีออกมาได้ถ้าเขาต้องการ”
หรือว่าคนที่ถูกขังอยู่ในวังหลวงคนนั้นจะคือเยี่ยจุนเจี๋ย? หลินซีเหยียนก็ได้ส่งสายตาให้จี๋เฟิง จี๋เฟิงก็ได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วแล้วจัดการทำให้ทหารเฝ้ายามสองคนนั้นสลบไป
“ไปหาอะไรมามัดพวกเขาเอาไว้ แล้วพาพวกเขาไปซ่อนในที่ที่ไม่มีใครหาพบ แล้วเอาเสื้อผ้าของพวกเขามาใส่” หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้ว ในขณะเดียวกันนางก็ยังกังวลว่าจะลอบเข้าไปในคุกอย่างไรดีอยู่นั้น นางก็คิดขึ้นมาว่าถ้าสวมชุดของทั้งสองคนนี้อาจจะใช้การได้ก็ได้
หลังจากที่จัดการจับทหารทั้งสองคนมัดเรียบร้อยแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้หยิบเอายาขวดเล็กออกมาแล้วเอามาจ่อข้างใต้จมูกของพวกเขา หลังจากนั้นสักพักทั้งสองคนนั้นก็ได้ฟื้นขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้น? ปล่อยพวกข้าเดี๋ยวนี้”
“ปล่อยพวกเจ้างั้นเหรอ? ได้สิแต่พวกเจ้าจะต้องบอกมาก่อนว่าคุกวังหลวงอยู่ที่ไหน?” หลินซีเหยียนได้ปิดบังใบหน้าของนางด้วยผ้าสีดำ และทำเสียงของนางให้ทุ้มต่ำลง
“ข้าไม่รู้” ทหารเหล่านี้ไม่ยอมให้ความร่วมมืออย่างชัดเจน แน่นอนว่าหลินซีเหยียนก็ได้เตรียมแผนทางจิตวิทยาไว้รับมืออยู่แล้ว
แล้วทหารทั้งสองคนที่ยังไม่ได้ตระหนักรู้ว่าในอีกไม่ช้าพวกเขาจะต้องพบกับความโหดร้ายของหมอผี ยานี้มีรสชาติที่หวานราวกับขนมถั่วแดง แต่กลับนำมาซึ่งความเจ็บปวดไปถึงกระดูก
“จะไม่บอกข้าจริงๆเหรอ?” หลินซีเหยียนก็ได้มองหาเก้าอี้ แล้วปัดฝุ่นก่อนที่จะนั่งลงไป แล้วมองดูทหารทั้งสองคนนั้น
แล้วทหารทั้งสองคนนั้นก็ได้อ่อนแรงเพราะความเจ็บปวด แต่พวกเขานั้นไม่ได้กรีดร้องออกมา แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะว่าพวกเขามีจิตใจกล้าแข็ง แต่เป็นเพราะจี๋เฟิงได้จี้สกัดจุดเป็นใบ้ของพวกเขาเอาไว้
ถึงแม้ว่าร่างกายของพวกเขาจะเจ็บปวด แต่ทหารทั้งสองนายก็ยังคงคิดว่าถ้าหากพวกเขาเลือกที่จะบอกตำแหน่งของคุกวังหลวงออกไป และอีกฝ่ายก็ได้ชิงตัวบุคคลสำคัญไปแล้วเรื่องรู้ถึงหูของฮ่องเต้เข้า ทั้งสองคนก็คงจะไม่รอดเช่นกัน
จะตายเร็วหรือตายช้าสุดท้ายก็ตายอยู่ดี
แต่มีอยู่อย่างที่ต่างกันระหว่างตายเร็วกับตายช้า นั่นคือนอกจากจะหายใจไปได้ต่ออีกหน่อยแล้ว แต่พวกเขายังมีเวลาเหลือพอที่จะจัดการเรื่องทางบ้านได้ด้วย
เมื่อนางเห็นว่าทั้งสองคนยอมผงกหัวแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้โยนเอาถั่วหวานเข้าไปในปากของพวกเขาอีกหน
“คุกอยู่ที่ข้างใต้สวนหินในตำหนักเย็น” พวกเขาได้พูดความจริงออกมาตรงๆ เพราะพวกเขาไม่อยากนึกถึงผลที่จะตามมาหากว่าพวกเขาโกหกไป
หลินซีเหยียนก็ได้จ้องไปที่จี๋เฟิง แล้วจากนั้นทหารทั้งสองนายก็ได้ถูกทำให้สลบไปครั้ง
ซึ่งก่อนที่พวกนางจะจากไป หลินซีเหยียนก็ได้คลายเชือกให้ทั้งคู่แล้วจุดธูปพิเศษ เมื่อในตอนเช้าพวกเขาจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เลย
ในขณะที่พวกนางไปถึงที่ตำหนักเย็น จี๋เฟิงก็ได้หยุด หลินซีเหยียนและพูดออกมาอย่างเบาๆ “องค์หญิงมีคนตามพวกเรามาขอรับ”
“ตามมาตั้งแต่เมื่อไร?” หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวด้วยความตกใจ หรือว่าจะเป็นคนของจงซู่เฟิง? นี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ
หลินซีเหยียนกับจี๋เฟิงก็ได้ยืนอยู่ที่เดิมจนกระทั่งสายลมได้พัดผ่านมา แล้วหลินซีเหยียนก็ได้กล่าวด้วยเสียงที่เยือกเย็น “ในเมื่อเจ้ามาถึงนี่แล้ว เจ้าก็ออกมาพบข้าเถอะ!”
ก่อนที่อีกฝ่ายจะเผยโฉม ก็ได้ยินเสียงที่สดใสของหญิงสาวดังขึ้นมาก่อน “คนของแม่นางหลินมีวรยุทธ์ที่สูงส่งจริงๆ ขนาดข้าระวังตัวขนาดนี้แล้วก็ยังถูกพบเข้าจนได้”
แล้วแววตาสังหารก็ได้ปรากฏในดวงตาของหลินซีเหยียน เพราะอีกฝ่ายนั้นรู้ถึงตัวตนของนาง ซึ่งก็แสดงว่าอีกฝ่ายนั้นได้สะกดรอยตามนางมาเป็นเวลานานแล้ว โดยที่พวกนางไม่รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงวรยุทธ์ที่สุดยอดของอีกฝ่าย!
“แล้วเจ้าเป็นใครกัน? ทำไมถึงได้ตามพวกเรามา?” ในเมื่ออีกฝ่ายรู้ตัวตนของนางแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ดึงผ้าที่ปิดใบหน้าของนางออกแล้วมองไปที่อีกฝ่ายด้วยสายตาที่หนาวเย็น
สวี่ชิงหลานเองก็ไม่คิดที่จะปิดบังตัวตน นางก็ได้ถอดหน้ากากของตัวเองออกมาเช่นกัน “ท่านไม่ต้องระแวงขนาดนั้นก็ได้ เราคือสวี่ชิงหลาน ในเวลานี้เราเป็นเพียงนางสนมในวังหลวงเท่านั้น เราได้ยินมาว่าผู้หญิงที่อยู่ในหัวใจของจงซู่เฟิงได้มาที่รัฐจง จึงอยากที่จะพบผู้หญิงคนนั้นสักหน่อย”
ด้วยบุคลิกที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้หลินซีเหยียนนั้นรู้สึกดีกับนาง
แต่ทว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นถึงสนมเอกของจงซู่เฟิง ด้วยตัวตนนี้ทำให้หลินซีเหยียนคิดว่าระวังตัวเอาไว้จะดีกว่า “ในเมื่อเจ้าพบแล้ว ก็กลับไปได้แล้วล่ะ!”
“ถึงแม้ว่าเราจะได้พบแล้ว แต่เราก็สงสัยขึ้นมาว่าทำไมแม่นางถึงได้อยากที่จะไปที่คุก?”
หลินซีเหยียนนั้นรู้สึกเพียงแค่ว่าสวี่ชิงหลานนั้นถามเพราะอยากรู้จริงๆจึงได้บอกออกไป “เพราะองค์ฮ่องเต้จงได้กักขังแม่ทัพของรัฐเจียงเอาไว้ ไม่ทราบว่าสนมเอกอย่างท่านไม่ทราบเรื่องนี้หรอกเหรอ?