หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 345 ออกเดินทาง
บทที่ 345
ออกเดินทาง
ในวันต่อมาหลินซีเหยียนก็ได้เตรียมตัวพร้อมและห้อยกระบี่สวรรค์ไว้ที่เอวของนาง จากนั้นก็ได้พาเทียนเอ๋อไปที่รัฐจง แม้ว่าเจียงหวายเย่จะไม่เห็นด้วยก็ตาม
ในครั้งนี้เขาไม่อาจตามไปด้วยได้ เขาทำได้แค่รอนางกลับมาที่รัฐเจียงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันจะง่ายขนาดนั้นจริงๆเหรอ?
จากความรู้สึกและลางสังหรณ์ที่เขารู้สึกได้รางๆ จงซู่เฟิงจะต้องทำอย่างสุดความสามารถเพื่อรั้งหลินซีเหยียนเอาไว้แน่
แต่ทว่าเจียงหวายเย่ก็ยังมาส่งหลินซีเหยียนและ เทียนเอ๋อที่หน้าประตูเมืองโดยที่ไม่ได้ห้ามหรือรั้งตัวเอาไว้ เพราะว่าเยี่ยจุนเจี๋ยนั้นตกอยู่ในกำมือของจงซู่เฟิง
เยี่ยจุนเจี๋ยนั้นเป็นแม่ทัพของรัฐเจียงและยังเป็นคนหนุ่มอนาคตไกล ความปลอดภัยของเขาสัมพันธ์ถึงรัฐเจียง ในเมื่อหลินซีเหยียนบอกว่าจะทำอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลืออีกฝ่ายแล้ว จึงไม่อาจที่จะห้ามได้
“ถ้าเจ้าไม่กลับมาภายใน 10 วันล่ะก็ เราจะออกไปตามหาเจ้า” เจียงหวายเย่ก็ได้กล่าวสาบานก่อนที่หลินซีเหยียนจะขึ้นรถม้าไป
มุมปากของหลินซีเหยียนก็ได้กระตุกเล็กน้อย เดินทางจากรัฐเจียงไปยังรัฐจงนั้นก็กินเวลาถึง 4 วันแล้ว หากตัดเรื่องเวลาเดินทางออกไป ก็หมายความว่านางมีเวลาอยู่ในรัฐจงแค่ 2 วันเท่านั้นเอง
นี่เป็นคำขอที่ช่างเกินรับได้เสียจริงๆ แต่หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าวตอบไป “ก็ได้ ข้าจะรอท่าน”
นางก็ได้ขึ้นรถม้าไป ซึ่งคนที่ทำหน้าที่ขับรถม้าก็คือชิงอวี่และจี๋เฟิง ภายใต้สถานที่อันมืดมิดที่ไม่มีใครพบนั้น ก็ได้มีหน่วยอันจำนวนมากกว่า 10 คนแอบแฝงตัวอยู่ ซึ่งทั้งหมดได้ถูกสั่งการโดยเจียงหวายเย่ให้คอยคุ้มครองหลินซีเหยียน
ซึ่งมีเพียงแค่หลินซีเหยียนที่ไม่ทราบเรื่องนี้
หลังจากที่หลินซีเหยียนจากไป เจียงหวายเย่ก็ได้มุ่งหน้าไปที่วังหลวง แล้วใช้เวลาเกือบทั้งหมดในการอาศัยอยู่ในวังหลวง ซึ่งในช่วงระหว่างนี้ตัวเขาก็ได้สอนเจียงเจิ้งเฉิงให้กลายเป็นฮ่องเต้ที่มีความมั่นใจและทำประโยชน์เพื่อประชาชนอย่างต่อเนื่อง
โดยแข่งกับเวลา เพื่อที่จะหาวันไปหาหลินซีเหยียนได้เร็วขึ้นแม้เพียงหนึ่งวันก็ยังดี
ด้วยเหตุนี้ 4 วันก็ได้ผ่านพ้นเลยไปอย่างรวดเร็ว หลินซีเหยียนกับเทียนเอ๋อก็ได้เดินทางมาถึงรัฐจงเรียบร้อยแล้ว เพราะการแย่งชิงบัลลังก์ของเหล่าองค์ชายทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ในรัฐจงต่างก็ยากลำบาก ที่ชายแดนนางพบผู้คนที่ไม่สวมเสื้อผ้ามากมาย มีผู้คนที่อดอยากและศพคนที่หิวตายอยู่กลางถนน
นรกบนดินเช่นนี้ทำให้หลินซีเหยียนรู้สึกยากที่จะรับไหว แล้วจากนั้นนางก็นึกถึงจงซู่เฟิงที่อ่อนโยนและอบอุ่นเหมือนดั่งหยดได้ขึ้นมา “บางทีถ้าเกิดเป็นเขา ก็อาจจะนำพาผู้คนที่นี่ให้ร่ำรวยและเข้มแข็งขึ้นมาได้ก็ได้!”
ใช้เวลาถึงครึ่งวันถึงจะเดินทางจากชายแดนมาถึงที่เมืองหลวง ส่วนจงซู่เฟิงที่พอทราบว่าหลินซีเหยียนได้เดินทางมาถึงรัฐจงนั้นก็ได้รีบออกไปพบนาง
ที่หน้าประตูวังหลวง หลินซีเหยียนก็ได้จูงมือเทียนเอ๋อแล้วกำชับเขา “มันแตกต่างจากที่แม่คิดเอาไว้มาก เทียนเอ๋อจะต้องอยู่ข้างๆแม่ตลอดนะ”
เทียนเอ๋อก็ได้ผงกหัวอย่างเชื่อฟัง แล้วจากนั้นก็ได้ปล่อยให้ท่านแม่เดินจูงมือเขาไป
“แม่นางหลินฝ่าบาทได้เชิญให้ท่านไปพบ”
ขันทีในชุดสีน้ำเงินก็ได้มาพร้อมกับข้ารับใช้กลุ่มหนึ่งที่แบกเกี้ยวมาวางใกล้ๆหลินซีเหยียนด้วยท่าทางที่เคารพมาก
หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาลงโดยไม่พูดอะไร มันจะเป็นการดีกว่าที่จะทำตามที่เจ้าบ้านเรียกร้อง หลินซีเหยียนกับ เทียนเอ๋อจึงได้ยอมนั่งเกี้ยวไปด้วยกัน
เมื่อเปิดม่านเกี้ยวออกมามองดูก็พบวังหลวงที่หรูหราและงดงามมาก การตกแต่งและสถาปัตยกรรมของวังหลวงนั้นดูงดงามมากสมกับเป็นวังหลวงอย่างไม่ต้องสงสัย
แม้แต่รอยเส้นสีดำที่พื้นก็ยังดูประณีตมาก
หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาและปรากฏแววตาประหลาดในดวงตาของนาง ราชวงศ์ของรัฐจงก็ไม่ใช่ดูเหมือนจะไม่มีเงินแต่ทำไมพวกเขาถึงได้ปล่อยให้ประชาชนอยู่กันอย่างยากลำบากเช่นนั้นนะ?
หรือว่าจะมีขุนนางที่แอบปิดบังเอาไว้ไม่ให้ฮ่องเต้รู้กันนะ?
ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้ก็มีโอกาสที่จะเป็นไปได้จริงๆมากอยู่ เพราะว่าฮ่องเต้ของรัฐจงนั้นทรงประชวรมาเป็นเวลายาวนานแล้ว ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่ตัวเขาจะรับรู้สถานการณ์ปัจจุบันจากปากของผู้คนอย่างเดียวเท่านั้น
หลังจากที่เข้ามาในเขตวังหลวงภายใต้การนำทางของขันทีแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้เข้ามาในวังหนึ่งแล้วนางก็พบว่าการตกแต่งภายในนั้นดูคล้ายกับของรัฐเจียงมาก
“แม่นางหลิน ไม่ได้เจอกันเสียนานเลย”
ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังแอบมองรอบๆวังนั้นอยู่นั้น จงซู่เฟิงก็ได้มาหานางในชุดสีม่วง
อย่างที่รู้กันว่าสีที่สูงส่งที่สุดในรัฐเจียงคือสีเหลืองทอง ซึ่งจะมีเพียงบุตรแห่งสวรรค์เท่านั้นถึงจะใส่ได้
และที่รัฐหลีเอง สีที่สูงส่งที่สุดคือสีแดง อย่างที่ฮ่องเต้หลีมักจะชอบใส่สีแดงแจ๋ไปไหนมาไหนเสมอ
ส่วนรัฐเยี่ยนก็สีขาว และรัฐจงก็สีม่วง
และในเวลานี้จงซู่เฟิงก็ได้สวมชุดสีม่วงที่มีเพียงฮ่องเต้ รัฐจงเท่านั้นสวมได้มา ก็หมายความว่า…..
“ไม่รู้ว่าหม่อมฉันควรจะเรียกท่านว่าองค์ชายจงหรือฮ่องเต้จงดีเพคะ?” ดวงตาของหลินซีเหยียนนั้นเย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย นางนั้นรู้สึกได้รางๆว่าจงซู่เฟิงนั้นเปลี่ยนไป ถึงแม้ว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของเขานั้นจะยังดูเหมือนเดิม แต่ก็ยังมีร่องรอยของความมืดมนและหนาวเย็นในดวงตาของเขา
เมื่อจงซู่เฟิงได้ยินเช่นนั้นเขาก็ได้กลับมาเป็นปกติ เขาพาเข้าด้านในวังและมองไปที่หลินซีเหยียนและกล่าวอย่างชื่นชม “จริงๆแล้ว ท่านจะเรียกเราว่าจงซู่เฟิงเหมือนเดิมก็ได้นะ”
ไม่ว่าจะให้เรียกอย่างไรหลินซีเหยียนก็ไม่ได้สนใจอีกแล้ว นางมีแค่สองคำถามเท่านั้น “เยี่ยจุนเจี๋ยอยู่ที่ไหน?”
“ไม่ต้องกังวลแม่นางหลิน ท่านแม่ทัพเยี่ยนั้นเราดูแลเขาเป็นอย่างดีท่านไม่ต้องเป็นห่วง” จงซู่เฟิงที่ดูเหมือนไม่อยากจะพูดเรื่องของเยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้เปลี่ยนเรื่องพูด “ที่วังหลิ่วฮั่วของเราได้จัดเตรียมงานเลี้ยงไว้ต้อนรับแม่นางหลินกับเทียนเอ๋อแล้ว เชิญตามเรามาได้เลย”
สถานการณ์นั้นดูเหมือนจะยุ่งยากกว่าที่นางคิดเอาไว้เสียแล้ว แต่หลินซีเหยียนก็ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจ นางจะต้องหาเยี่ยจุนเจี๋ยให้พบให้ได้ และนางก็รู้ดีว่านางนั้นยังมีเวลาอีกมาก นางจึงได้ค่อยๆปล่อยเวลาผ่านไปก่อน
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ จงซู่เฟิงก็ได้พาหลินซีเหยียนกลับมายังวังเดิมก่อนหน้านี้ “ที่ตำหนักนี้ได้ตกแต่งสถานที่ให้เหมือนกับที่แม่นางหลินอาศัยอยู่ในรัฐเจียง ไม่ทราบว่าแม่นางหลินชอบหรือไม่?”
“อย่างไรก็ดีที่นี่ก็เป็นแค่ที่พักชั่วคราวเท่านั้น หม่อมฉันขอขอบพระทัยฝ่าบาทมาก แต่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วหม่อมฉันขอตัวก่อน!”
หลินซีเหยียนก็ได้ขอตัวลา โดยได้เมินเฉยต่อท่าทีของ จงซู่เฟิง แล้วจากนั้นนางก็ได้พาเทียนเอ๋อเข้านอน ซึ่งในขณะที่นางกำลังคิดหาทางตามหาเยี่ยจุนเจี๋ยอยู่นั้น ก็ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งในตำหนักในที่อยากที่จะพบนางเช่นกัน
และยังไม่ทันที่จะมืดดี ก็ได้มีสาวกำนัลคนหนึ่งมารอ หลินซีเหยียนด้วยท่าทีที่เคารพแต่ก็มีแววตาที่ขุ่นเคืองอยู่ “แม่นางหลิน สนมเอกได้มาเชิญให้ท่านไปพบ ได้โปรดมาด้วยเจ้าค่ะ”
“ท่านแม่ เทียนเอ๋อก็อยากที่จะไปกับท่านด้วย” เทียนเอ๋อก็ได้ดึงมือของหลินซีเหยียนแล้วมองไปที่นางกำนัลคนนั้นด้วยสายที่ระวังตัว ตัวเขานั้นจะไม่ยอมปล่อยให้ท่านแม่ของเขาต้องถูกคนอื่นรังแกเด็ดขาด
“หนูน้อยเจ้าอย่าได้เอาแต่ใจนัก สนมเอกของเรานั้นเป็นผู้หญิงที่สูงศักดิ์การที่มาเชิญแม่นางหลินเช่นนี้ถือว่าเป็นเกียรติมากขนาดไหนแล้ว”
นางที่เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกก็ได้ไม่อยากที่จะสร้างศัตรูให้มากนัก แต่นางกำนัลคนนี้มีวาทศิลป์ไม่ค่อยดีเอาเสียเลย หลินซีเหยียนจึงได้ลูบหัวของเทียนเอ๋อแล้วกล่าว “ไม่เป็นไร แม่จะอยู่ที่นี่กับเจ้านี่แหละ”
“แม่นางหลินพูดแบบนี้หมายความเช่นไร?”
“ก็ตรงตามความหมาย พวกเราจะเข้านอนแล้วและจะไม่ไปไหนทั้งนั้น” หลังจากที่หลินซีเหยียนพูดจบ สาวใช้ที่จงซู่เฟิงสั่งให้มาดูแลนางก็ได้ส่งแขก
นางกำนัลคนนั้นกล้าที่จะโมโหแต่ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไป เพราะทุกคนในวังหลวงนั้นต่างก็รู้ดีว่าฮ่องเต้นั้นชื่นชอบหญิงสาวที่มาจากรัฐเจียงคนนี้มาก ทำให้เขาไม่ยอมแต่งตั้งให้สนมเอกสวี่ชิงหลานได้ขึ้นเป็นฮองเฮาเสียที
นางกำนัลคนนั้นก็ได้แต่โมโหแล้วจากไป จากนั้นก็ได้ไปรายงานให้สนมเอกสวี่ได้ทราบ “สนมเอกเจ้าคะ หลินซีเหยียนคนนั้นนางไม่สนใจท่านเลยเจ้าค่ะ”
แล้วนางก็ได้เล่าตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อหวังที่จะทำให้สวี่ชิงหลานนั้นรู้ถึงความไร้เหตุผลของหลินซีเหยียนอย่างชัดเจน “ผู้หญิงเช่นนั้นจะมาทำเป็นตีเสมอกับท่านสนมเอกได้เช่นไรเจ้าคะ?”
นายหญิงของนางนั้นมีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับ ฮ่องเต้จงองค์ปัจจุบันมาก และเพื่ออีกฝ่ายแล้วนางได้ยอมใช้ชื่อของตัวเองเป็นข้อแลกเปลี่ยนบังคับให้ท่านแม่ทัพใหญ่สวี่ยอมเคลื่อนไหวและสนับสนุนจงซู่เฟิงขึ้นเป็นฮ่องเต้ ทำให้นางได้ชื่อว่าเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการ