หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 342 บทเรียนเลือด
บทที่ 342
บทเรียนเลือด
“ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ” แล้วหลินรั่วจิ่งก็ได้พูดคุยกันต่อไม่กี่คำด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่หลินรั่วจิ่งจะบอกลาและเดินจากไป
และในวันนี้เองที่ฮูหยินอวี้นั้นได้มีอาการป่วยและเริ่มนอนติดเตียง ซึ่งเป็นเรื่องที่เล่ามาจากปากของจิ่งชุน
ถึงแม้ว่านางจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้มันจะต้องเกิดขึ้นในอีกไม่เร็วก็ช้า แต่มันก็ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นมาเมื่อได้ยิน
ถ้าหากมีใครถามหลินซีเหยียนว่านางรู้สึกผิดต่อฮูหยินอวี้บ้างไหม? หลินซีเหยียนก็ได้คงจะตอบอีกฝ่ายไป “จะสงสารคนที่ทำเรื่องไม่ดีไปทำไม แล้วฮูหยินอวี้ล่ะเคยคิดว่าจะมีวันนี้บ้างไหมในตอนที่นางทำเรื่องชั่วๆลงไป ซึ่งหากเทียบกับสิ่งที่นางทำกับ ฮูหยินเยี่ยแล้ว สิ่งที่หลินซีเหยียนทำยังปรานีมากไปเสียด้วยซ้ำ”
ในตอนค่ำ เจียงหวายเย่ก็ได้สวมชุดสีดำเตรียมที่จะออกไปข้างนอก แต่แล้วเขาก็พบหลินซีเหยียนเข้าเสียก่อน “เสี่ยวเหยียนเอ๋อนอนไม่หลับเหรอ?”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว จากนั้นนางก็ได้มองไปที่ชุดของอีกฝ่ายแล้วถาม “แล้วท่านกำลังจะไปที่ไหนเหรอ?”
“กลับไปที่วังรัตติกาลเพื่อจัดการเรื่องบางอย่างให้เรียบร้อยน่ะ เสี่ยวเหยียนเอ๋ออยากที่จะไปกับเราไหม?” เจียงหวายเย่ก็ได้เผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายบนใบหน้าของเขา จากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อแล้วคว้าเอวของอีกฝ่ายแล้วพาอีกฝ่ายเหาะข้ามกำแพงไป
ท่ามกลางสายลมเย็นยามค่ำคืนพร้อมด้วยกลิ่นของพื้นดินชื้นบาง ทำให้นางนั้นรู้สึกผ่อนคลายจนกระทั่งทั้งสองได้มาถึงที่หมาย อารมณ์ของหลินซีเหยียนก็ได้ดีขึ้นมา
หลังจากที่มองไปรอบๆ นางก็ได้ถามอย่างประหลาดใจ “ท่านพาข้ามาที่ตำหนักในก็เพื่อที่จะให้ข้าดูท่านสังสรรค์กับพวกหญิงงามเหล่านี้อย่างนั้นเหรอ?”
“ใจเย็นก่อน เสี่ยวเหยียนเอ๋อคงยังไม่รู้ ว่าเปิ่นหวางนั้นได้จัดการทำความสะอาดตำหนักในเรียบร้อยแล้วและตอนนี้เหลืออยู่แค่คนเดียวเท่านั้น”
หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาลงและเดาว่าอีกฝ่ายนั้นคิดที่จะทำอะไรถึงได้เหลือเอาไว้แค่คนคนเดียว “หรือว่าท่านจะรักคนคนนั้นอย่างสุดซึ้ง จึงได้อยากให้ข้ายอมรับนางเข้ามาอยู่ด้วยอย่างนั้นเหรอ?”
ในรัฐเจียงนั้น หากสามีต้องการที่จะรับอนุภรรยาแล้ว เขาจำเป็นที่จะต้องได้รับการยอมรับจากภรรยาของเขาเสียก่อน แน่นอนว่าในฐานะภรรยาแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับ เพราะถ้าหากไม่ยอมรับแล้วก็จะถือว่าขัดต่อ“สามแบบอย่าง ห้าคุณธรรม”แล้วก็จะถูกสามีทิ้งไปในภายหลัง
“เจียงหวายเย่พวกเรายังไม่ได้แต่งงานกันเลยนะ? แต่ท่านกลับคิดที่จะหาหนทางทำให้เราละเมิดกฎสามแบบอย่างห้าคุณธรรมแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
คำพูดของหลินซีเหยียนนั้นบาดคมมาก และทุกคำพูดของนางทำเอาบาดใจเจียงหวายเย่นักแต่เจียงหวายเย่ก็ยังคงยิ้มออกมาได้ จากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแล้วก็ก้มลงไปจูบที่ปากของหลินซีเหยียน
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อหึงเปิ่นหวางเหรอ?” เจียงหวายเย่ที่ไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่ตอนที่หลินซีเหยียนเข้าใจผิดก็ได้พูดขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไรเลยแม้แต่น้อย เดิมทีเขาเองก็สงสัยว่า หลินซีเหยียนนั้นจะมีการตอบสนองเช่นไร แต่เขาก็ไม่นึกว่าเขาจะประสบความสำเร็จใหญ่หลวงเช่นนี้
เสี่ยวเหยียนเอ๋อหึงเขา!
เสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นไม่ชอบผู้หญิงที่เป็นสนมของเขา แล้วก็ไม่ชอบที่เขาไปทำดีกับผู้หญิงคนอื่นด้วย
“หึง?” หลินซีเหยียนที่อายหน้าแดงจนไปถึงหูนั้น ก็ได้พยายามสงบอารมณ์บนใบหน้าของนางแล้วก็พยายามพูดรักษาหน้าของนาง “ท่านก็พูดเป็นเล่น ข้ายังไม่ได้แต่งเข้าเรือนหอเลย แต่ท่าทีของท่านกลับไม่เคารพข้าเสียแล้ว”
หลินซีเหยียนรีบพูดอธิบาย แล้วเจียงหวายเย่ที่ยืนฟังอยู่ข้างๆนางก็ได้ผงกหัวอยู่ตลอดเวลา
จนสุดท้ายหลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาลงแล้วจ้องไปที่เจียงหวายเย่ที่ไม่พูดอะไรเลย ซึ่งความเงียบนี้ก็ได้ทำให้นางรู้สึกกระวนกระวายว่าเมื่อไรเจียงหวายเย่ถึงจะง้อนาง
แต่แล้วก็มีคนดึงชายเสื้อของเจียงหวายเย่แล้วเขาก็ได้ก้มหน้ามา “เจียงหวายเย่เจ้าแต่งกับข้าในฐานะพระชายาของท่านแล้ว ดังนั้นท่านไม่มีสิทธิ์ที่จะไปแต่งกับอนุภรรยาอีกเด็ดขาด ท่านจะต้องมองข้าคนเดียวไปตลอดชีวิตของท่าน ต่อให้ดวงตาของท่านจะกลายเป็นสีเหลืองท่านก็ต้องมองแต่ข้า ไม่อย่างนั้นหมอคนนี้จะทำให้ท่านนกเขาไม่ขันไปตลอดชีวิต”
คำขู่ที่ดุดันเช่นนี้รู้สึกบาดปากดียิ่งกว่าเหล้าชั้นดีเสียอีกเมื่อเข้ามาในหูของเจียงหวายเย่
ก้มลงมามองหลินซีเหยียน ดวงตาที่ดูนุ่มนวลของ เจียงหวายเย่ก็ได้เต็มไปด้วยเงาของหลินซีเหยียน “มันจะไม่มีวันนั้นอย่างแน่นอน ตราบเท่าที่เสี่ยวเหยียนเอ๋ออยู่กับเรา เราจะยอมยกทุกสิ่งให้กับเจ้า อย่างไรเสียคงไม่มีสิ่งไหนในแผ่นดินนี้อีกแล้วที่จะเข้ามาอยู่ในใจของเราได้”
มุมปากของหลินซีเหยียนก็ได้กระตุกเล็กน้อย นางนั้นไม่รู้ว่าอะไรออกมาจากปากของเจียงหวายเย่บ้าง นางได้ยินแต่เสียงที่อื้ออึง แล้วนางก็ได้หันหน้าหลบสายตาของเขาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทนไม่ไหว “แล้วสรุปท่านให้ข้ามาที่นี่ทำไม?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ดวงตาของเจียงหวายเย่ก็ได้กระหายเลือดขึ้นมาทันที และแม้แต่รอยยิ้มที่มุมปากของเขาก็ได้สูญสิ้นซึ่งความอบอุ่นไป “เป็นไปได้ว่าพิษในตัวของเรานั้น หลานของไทเฮาอาจจะรู้อะไรที่เราไม่รู้ก็เป็นได้”
หลังจากที่พูดจบ เจียงหวายเย่ก็ได้มุ่งหน้าไปยังห้องที่มีไฟอยู่เพียงห้องเดียว
ที่ห้องของชวีเหยียนนั้นได้ถูกตกแต่งอย่างตั้งใจทุกหนทุกแห่ง เจียงหวายเย่บอกว่าเขาจะมาคืนนี้ ชวีเหยียนจึงได้อาบน้ำและแต่งตัวรอเขา
แสงไฟจากเทียนที่เหลืองอบอุ่นนั้นก็ได้สว่างไสวไปทั่วทุกมุมห้องและสาดแสงมายังชวีเหยียน ซึ่งดูแล้วอ่อนโยนและงดงามมาก
ทำไมมหาอุปราชถึงยังไม่มาสักทีนะ? หรือว่าจะไปเจอเรื่องจุกจิกกวนใจเข้านะ? ในขณะที่ชวีเหยียนกำลังคิดอยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงเปิดประตูดังขึ้นมา “ ท่านมหา….”
มองไปที่หลินซีเหยียนที่เดินตามหลังองค์ชายมา ชวีเหยียนก็ได้พูดอะไรไม่ออก หลังจากที่ผ่านไปพักใหญ่ๆนางก็ได้สติคืนมาแล้วทำความเคารพเจียงหวายเย่ “คารวะท่านมหาอุปราชและว่าที่องค์หญิงเจ้าค่ะ พวกท่านมาทำอะไรกันเหรอเจ้าคะ?”
หรือว่าจะมาหารือเรื่องที่จะมอบตำแหน่งให้นางอยู่ที่นี่? ทันทีที่ชวีเหยียนคิดเช่นนั้นดวงตาของนางก็ได้สว่างขึ้นมา และท่าทีของนางก็ได้ดูให้ความเคารพมากขึ้นเรื่อยๆ
“ชวีเหยียน เจ้าเข้ามาในวังรัตติกาลเพราะฝีมือของไทเฮาใช่ไหม?” เจียงหวายเย่ก็ได้กล่าวออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
ชวีเหยียนก็ได้ผงกหัว นางนั้นไม่คิดที่จะปิดบังความจริงตั้งแต่แรกแล้ว เพราะใครๆต่างก็รู้เรื่องนี้ดี ซึ่งนางเองก็ได้รับการปฏิบัติต่างไปจากคนอื่น จนเป็นที่อิจฉาของคนในวังรัตติกาล
“แล้วเจ้าสนิทกับไทเฮาไหม?” หลินซีเหยียนที่ลงอยู่ข้างๆเจียงหวายเย่ก็ได้จ้องไปที่อีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด ทำให้ชวีเหยียนรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่แผ่ออกมา
ชวีเหยียนก็ได้ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนแล้วจากนั้นก็ได้ถาม “ท่านมหาอุปราชกับองค์หญิงทำไมถามเรื่องนี้เหยียนเอ๋อล่ะเจ้าคะ?”
เหยียนเอ๋อ? เหยียนเอ๋อ!
ตัวเขานั้นไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน ซึ่งในเวลานี้ เจียงหวายเย่คิดว่าชื่อนี้ไม่เหมาะกับชวีเหยียน คำคำนี้เหมาะกับหลินซีเหยียนของเขาเท่านั้น
“ก่อนที่จะมีงานเลี้ยงของไทเฮา เจ้าได้เข้าไปในห้องครัว ตอนนี้เจ้าจะต้องบอกแผนการทั้งหมดของเจ้าออกมาเสีย และบางทีเราอาจจะไว้ชีวิตเจ้าก็ได้”
“มหาอุปราช อย่างเหยียนเอ๋อไม่กล้าที่จะทำอะไรมหาอุปราชหรอกเจ้าค่ะ ได้โปรดอย่าเข้าใจเหยียนเอ๋อผิดเลยนะเจ้าคะ” ชวีเหยียนก็ได้คุกเข่าอยู่ที่พื้นและสั่นไปทั้งตัว นางนั้นคิดว่าตัวนางระวังตัวอย่างเต็มที่แล้ว และนางก็ไม่น่าจะทิ้งอะไรไว้ให้เป็นปัญหาอย่างแน่นอน
ถ้าหากองค์ชายไม่เชื่อชวีเหยียน ท่านก็แสดงหลักฐานมาให้เหยียนเอ๋อดูสิ” ชวีเหยียนก็ได้กล่าวอย่างยืดอก ราวกับว่านางนั้นมั่นใจมาก
แล้วปากของเจียงหวายเย่ก็ก็ได้เผยรอยยิ้มที่กระหายเลือดออกมาอย่างช้าๆ เขายกคางของชวีเหยียนขึ้นมาเล็กน้อย แล้วจ้องมองลงไปที่ดวงตาของนางมากกว่าที่อีกฝ่ายมองเขา “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมเราถึงได้ไล่คนอื่นๆออกไปแล้วให้เหลือแค่เจ้าตามลำพังน่ะ?”
ชวีเหยียนก็พลันรู้สึกไม่ดีขึ้นมาในใจของนาง นางมองไปที่เจียงหวายเย่อย่างหวาดกลัว “มหาอุปราช ถึงตัวข้าจะต้อยต่ำแต่ข้าก็ยังเป็นญาติของไทเฮาอยู่นะ ท่านคิดจะทรมานข้าอย่างนั้นเหรอ?”
เจียงหวายเย่ก็ได้ชักมือของเขากลับมาอย่างไม่แยแส แล้วหยิบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อของเขาแล้วเช็ดนิ้วมือที่จับชวีเหยียน
ชวีเหยียนก็ได้รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา “ท่านจะทำกับข้าเช่นนี้ไม่ได้นะ ไทเฮาจะต้องเอาผิดท่านแน่”
“ข้าก็พูดไปแล้วไง ว่าเรามีหนทางที่จะปิดซ่อนจากไทเฮาอยู่แล้ว หรือข้าควรจะบอกว่าที่นี่คือวังรัตติกาลไม่ใช่วังหลวงดีล่ะ? เกรงว่าอำนาจของไทเฮาไม่อาจมาถึงที่นี่อย่างแน่นอน”