หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 341 ทำความสะอาดตำหนักใน
บทที่ 341
ทำความสะอาดตำหนักใน
เมื่อเหล่าผู้หญิงในตำหนักในนั้นได้ยินมาว่างองค์ชายจะมา พวกนางก็ได้พากันเปลี่ยนเสื้อผ้าและแต่งตัวกันอย่างรวดเร็ว แล้วจากนั้นก็ได้มาโผล่ตรงหน้าของเจียงหวายเย่
เพื่อรอการเลือกให้ไปปรนนิบัติองค์ชายและปีนไปสู่สวรรค์
เมื่อเจียงหวายเย่หยุดอยู่ตรงหน้าชวีเหยียน คนอื่นๆต่างก็รู้สึกเหมือนหัวใจของพวกนางนั้นแทบจะระเบิด และคิดว่านางช่างโชคดีอะไรเช่นนี้ที่ได้ถูกเลือกเป็นครั้งแรก!
“เจ้าชื่ออะไร?”
ใบหน้าของชวีเหยียนนั้นเหมือนกับดอกท้อ และเป็นเหมือนนกน้อยที่เชื่องกับคนอื่นๆ นางนั้นได้ทำท่าทำความเคารพแล้วกล่าว “เรียนองค์ชาย ข้าชื่อว่าชวีเหยียนค่ะ”
“ชวีเหยียนเหรอ? ชื่อดีแต่น่าเสียดายที่ชื่อแซ่ของเจ้าเป็นแซ่ชวี” เจียงหวายเย่ก็ได้ถอนหายใจออกมาแล้วจากนั้นก็ได้แสร้งทำเป็นผิดหวังมาก
ชวีเหยียนที่เห็นเช่นนั้นก็ได้ปรากฏซึ่งแสงในดวงตาของนางออกมา แล้วจากนั้นก็ได้แสร้งทำเป็นสับสนแล้วกล่าว “แซ่ชวีแล้วมันติดปัญหาอะไรเหรอเจ้าคะ?”
“แน่นอนว่าต้องเป็นปัญหา ก็ในเมื่อเจ้าเป็นถึงหลานของไทเฮา แน่นอนว่าเราย่อมให้เจ้าอยู่ในฐานะต่ำต้อยได้อย่างไร? ช่างน่าปวดหัวเสียจริงๆ?”
องค์ชายคิดจะมอบฐานะใหม่ให้กับนางอย่างนั้นเหรอ? ดวงตาของชวีเหยียนก็ได้สว่างวาบออกมา แล้วจากนั้นก็ได้มีสีแดงปรากฏที่ใบหน้าของนาง “หากว่าองค์ชายมีข้าอยู่ในหัวใจของท่านแล้ว ต่อให้ข้าต้องอยู่ในฐานะนางสนมข้าก็ไม่ใส่ใจ”
ด้วยไม้นี้จะต้องทำให้องค์ชายนั้นหันมามองนางมากขึ้นอย่างแน่นอน
ในขณะที่ชวีเหยียนนั้นกำลังใจจดใจจ่อรอให้องค์ชายมอบตำแหน่งใหม่ให้กับนางอยู่นั้น ก็คงนึกไม่ถึงว่าองค์ชายนั้นจะไม่ได้เล่นไปตามบทที่นางคาดการณ์เอาไว้ “ตัวเรานั้นอยากที่จะขอบคุณแม่นางชวีจริงๆที่อุตส่าห์เข้าใจเรา”
ในตอนนั้นเองชวีเหยียนก็ได้รู้สึกเหมือนกับกำลังแบกหินก้อนใหญ่แล้วตกใส่เท้าตัวเองยังไงอย่างงั้น นางนั้นคิดที่จะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่อาจที่จะพูดออกมาได้ นางจึงทำได้แค่ฝืนทนเข้าไปเท่านั้น
จากนั้นเจียงหวายเย่ก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างออกได้ก็ได้ทำหน้ามืดดำขึ้นมา “บอกให้พ่อบ้านจัดการไล่คนที่เหลือออกไปให้หมด”
“องค์ชาย!!”
“ไม่ได้นะเจ้าคะ! ข้ามีชีวิตอยู่โดยปราศจากท่านไม่ได้นะคะ”
ทันทีที่สิ้นเสียงของเจียงหวายเย่ เหล่าหญิงสาวที่แข่งประชันกลิ่นหอมและความงามกันนั้นก็ได้พากันกอดกันเองร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ดูน่าสงสารมาก
แต่ทว่าท่าทีของพวกนางนั้นกลับไม่ได้เข้าไปในหัวใจของเจียงหวายเย่เลย และไม่มีทางที่จะทำให้เขาเปลี่ยนใจด้วย
ด้วยเหตุนี้ตำหนักในที่จากเดิมอยู่กันอย่างจอแจนั้นก็ได้กลายเป็นตำหนักร้างทันที “ต่อจากนี้ไป ที่นี่จะมีแม่นางชวีแค่คนเดียว เจ้ายินดีไหม?”
ชวีเหยียนก็ได้ก้มหน้าลงอย่างอับอาย แล้วก็ได้กัดริมฝีปากของตัวเองแล้วพูดออกมาเบาๆ “ยินดีเจ้าค่ะ ขอบพระคุณองค์ชายมากที่ทำเช่นนี้เพื่อข้า”
แล้วริมฝีปากของเจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มออกมา และมีรอยยิ้มที่ชั่วร้ายอยู่ภายใต้หน้ากากนั้น “ด้วยความยินดี แล้วเราจะมาหาแม่นางอีกในตอนค่ำ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ได้ทำให้นางคิดอย่างสวยงามขึ้นมา
ซึ่งก่อนที่เจียงหวายเย่จะจากไป เขาก็ได้แอบสั่งให้อันอี้นั้นส่งคนมาเฝ้าตำหนักในเอาไว้ แล้วจากนั้นก็ได้กลับไปที่ จวนมหาเสนาบดี
ณ จวนมหาเสนาบดี ลู่หลีที่ไม่รู้ว่าไปได้ยินหลินซีเหยียนนั้นจะไปที่รัฐจงมาจากไหน ก็ได้ทำให้นางรีบมาหาหลินซีเหยียนทันที
“หลินซีเหยียน เจ้าจะไปเมื่อไรเหรอ?” แล้วลู่หลีก็ได้กลายมาเป็นหางของนางที่คอยตามติดเงาของหลินซีเหยียนอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลินซีเหยียนนั้นเริ่มรู้สึกหมดความอดทนขึ้นมาเรื่อยๆ
เทียนเอ๋อก็ได้จ้องไปที่ลู่หลีอย่างไม่พอใจ เพราะว่าผู้หญิงคนนั้นแย่งตำแหน่งของเขาไป
ภายใต้สายตาเตือนของเทียนเอ๋อนั้น ลู่หลีที่เหมือนจะไม่รู้สึกก็ได้เมินเทียนเอ๋อไปอย่างน่าสงสาร ทำให้เทียนเอ๋อต้องทนไม่ไหวแล้วดึงเสื้อของลู่หลี ภายใต้สายตาที่ตกตะลึงของอีกฝ่าย เทียนเอ๋อก็ได้พูดขึ้นมา “อยู่ให้ห่างจากท่านแม่ของข้านะ มีเพียงข้าเท่านั้นที่จะตามท่านแม่ได้”
“เด็กดีให้โอกาสพี่คนนี้หน่อยนะ แล้วพรุ่งนี้ข้าจะซื้อขนมให้เจ้าดีไหม?”
“เจ้าคิดจะหลอกข้าแบบเด็กๆงั้นเหรอ?” เทียนเอ๋อก็ได้กอดอกแล้วพูดอย่างโมโห “จะบอกให้รู้เอาไว้นะ อย่างเทียนเอ๋อน่ะซื้อไม่ได้ด้วยขนมชิ้นเดียวหรอกนะ”
แล้วลู่หลีก็ได้พูดอย่างช่วยไม่ได้ “ก็ได้ งั้นข้าจะซื้อขนมให้เจ้าเยอะแยะเลยว่ายังไง?”
“ตกลง”
“…..” ลูกชายแสนดีของแม่ ได้ขายแม่ของตัวเองเสียแล้ว?
หลังจากที่เห็นสายตาที่จ้องมาของหลินซีเหยียนแล้ว เด็กคนหนึ่งที่เพิ่งจะขายแม่ตัวเองไปก็ได้ทุบหน้าอกตัวเองอย่างภูมิใจแล้วกล่าวด้วยเสียงเบาๆ “ท่านแม่ก็รู้ถึงความสุดยอดของ เทียนเอ๋อดี เพียงแค่พูดไม่กี่คำก็ได้ขนมมามากมายแล้ว ท่านแม่จะหาลูกชายที่เก่งขนาดนี้ได้ที่ไหน?”
หลินซีเหยียนที่รู้จักเทียนเอ๋อเป็นอย่างดี ก็ได้เข้าใจถึงความคิดของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็วหลังจากที่อีกฝ่ายนั้นได้ส่งสายตามาให้นาง ทำให้ตัวนางนั้นพูดอะไรไม่ออกและสงสัยขึ้นมาว่าเทียนเอ๋อนั้นเป็นอะไรไป?
ถึงแม้ว่าจะมีอะไรผิดปกติ แต่ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย
หลินซีเหยียนที่เริ่มทนการเกาะแกะของลู่หลีไม่ไหวก็ได้พูดขึ้นมา “เมื่อใดที่ข้าเสร็จธุระทางนี้เรียบร้อยแล้ว ข้าก็จะไปที่รัฐจง”
“ธุระอะไรงั้นเหรอ? เอาไว้ค่อยจัดการหลังจากที่เจ้ากลับมาไม่ได้เหรอ?” ลู่หลีนั้นรู้สึกสงสัยอย่างมาก เพราะปัญหาของหลินซีเหยียนนั้นมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
แล้วหลินซีเหยียนก็ได้คำรามขึ้นมา “ถ้าเจ้าเซ้าซี้กับข้ามากๆ ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้นแหละ”
ทันใดนั้นเองลู่หลีก็ได้ปิดปากของนางและหยุดส่งเสียง แล้วทันใดนั้นเองหลินซีเหยียนก็รู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นทำงานได้สะดวกขึ้น และได้ยินแม้กระทั่งเสียงของนกและแมลงรอบตัวนาง
ณ วังหลวง หลินรั่วจิ่งนั้นเดินไปรอบๆสวนในวังหลวงด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง ตั้งแต่ที่ไทเฮาได้เรียกนางไปพบในครั้งนั้นและเกิดเรื่องนั้นขึ้น ไทเฮาก็ได้ห่างเหินกับนางยิ่งนัก
ซึ่งจริงๆแล้วนางก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไทเฮาถึงได้หน้าบวมอย่างไม่มีเหตุผล ราวกับว่าถูกตบหน้าไปหลายหนและนางก็รู้สึกราวกับว่าตัวนางนั้นได้ลืมอะไรบางอย่างไป ซึ่งความรู้สึกนี้ได้ทำให้นางรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือเจียงหวายเย่กำลังจะแต่งงานกับหลินซีเหยียนแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่นางนั้นยอมไม่ได้มากที่สุด “กับคนที่เป็นเหมือนองค์หญิงอย่างนางนั้น จะปล่อยให้ หลินซีเหยียนทำสำเร็จได้อย่างไร”
หลังจากที่พูดจบนางก็ได้สั่งให้สาวใช้ของนางเตรียมตัวเดินทางกลับไปที่จวนมหาเสนาบดี
แล้วบังเอิญที่ในขณะที่หลินรั่วจิ่งกำลังเดินทางกลับไปที่จวนมหาเสนาบดีนั้น นางที่กำลังเดินผ่านศาลาริมน้ำก็พบมหาอุปราชเข้าพอดี มันจะต้องเป็นพรหมลิขิตแน่ๆ
แล้วนางก็ได้ทำความเคารพอย่างนุ่มนวล แล้วหลินรั่วจิ่งก็ได้ถามด้วยเสียงที่อ่อนโยน “มหาอุปราช ท่านมาหาท่านพี่ของข้าอย่างนั้นเหรอ?”
เจียงหวายเย่ก็ได้ผงกหัวและไม่พูดอะไรต่อ และเขาก็ได้คิดที่จะเดินจากไปโดยที่ไม่เหลียวมอง ซึ่งในขณะที่กำลังเดินผ่านไปนั้น หลินรั่วจิ่งก็พลันรู้สึกได้ว่าที่ใต้เท้าของนางนั้นไม่มั่นคงและล้มไปที่อ้อมแขนของเจียงหวายเย่
ในชั่วขณะนั้นเองที่เส้นประสาทสีเขียวที่หน้าผากของเจียงหวายเย่ก็ได้ปูดขึ้นมา ในขณะที่เจียงหวายเย่ได้ผลักหลินรั่วจิ่งออกไปนั้น เขาก็ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายร้องอย่างตกใจ
“ท่านพี่ นี่เป็นอุบัติเหตุนะเจ้าคะ อย่าได้คิดเป็นอื่น” หลินรั่วจิ่งที่กำลังซวนเซอยู่นั้นก็ได้ล้มไปที่ล้มลงมาที่อ้อมแขนของเจียงหวายเย่อีกหน
แต่ในคราวนี้เจียงหวายเย่มีประสบการณ์แล้ว เขาก็ได้รีบดึงอันอี้ให้มาอยู่ข้างหน้าเขาและตกรางวัลเขาด้วยอ้อมกอดของสาวงาม
ด้วยเหตุนี้ก็ได้ทำให้อันอี้นั้นรู้สึกฝืนใจอย่างมากบนใบหน้าที่นิ่งเป็นท่อนไม้ของเขา หลังจากที่ดึงหลินซีเหยียนลุกขึ้นมา อันอี้ก็ได้ถอยห่างออกไปทันทีซึ่งรู้สึกได้ถึงความต้องการหนีของเขา
ไม่ว่าจะครั้งที่หนึ่งหรือครั้งที่สอง แต่ผู้ชายทั้งสองคนต่างก็เลี่ยงหลินรั่วจิ่งอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเรื่องนี้ได้ทำลายความมั่นใจของนางอย่างรุนแรง แต่ตัวนางนั้นก็ยังไม่ลืมจุดประสงค์ของนางจึงได้มองไปที่หลินซีเหยียนแล้วกล่าว “ท่านพี่กับมหาอุปราชนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ข้าเชื่อว่าท่านพี่คงไม่คิดมากเรื่องเมื่อสักครู่สินะเจ้าคะ! อย่างไรเสียเมื่อสักครู่นั้นข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”
คำพูดของหลินรั่วจิ่งนั้นไม่ได้ช่วยอธิบายอะไรเลย ซึ่งทำให้เจียงหวายเย่นั้นอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา
หลินซีเหยียนก็ได้หัวเราะเบาๆแล้วจูงมือของ เจียงหวายเย่ และกล่าวด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน “ข้าไม่คิดมากหรอก เจ้าอย่าได้กังวลเลย”