หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 338 เผด็จการ
บทที่ 338
เผด็จการ
ช่างน่าเสียดายนักที่ตัวเขานั้นไม่มีความสามารถมากขนาดนั้น คงไม่มีอะไรที่แย่ไปกว่าการเป็นฮ่องเต้เยาว์วัย บนบัลลังก์ที่ไม่มั่นคงอีกแล้ว
หากว่าเป็นขุนนางที่มีจิตใจที่ไม่ภักดีแล้ว พวกเขาจะยอมพลาดโอกาสดีๆเช่นนี้ได้อย่างไร?
เจียงเจิ้งเฉิงที่ทรุดตัวลงบนบัลลังก์มังกร ตัวเขานั้นยอมแพ้แล้วแต่เขาก็ไม่อาจที่จะประกาศเช่นนั้นออกมาจากปากของเขาได้ เขาจึงทำได้แค่ขยับริมฝีปากซีดบางของเขาอย่างสั่นเครือ “มันคงจะเป็นการดีกว่าหากใต้เท้าชวีหารือเรื่องนี้กับท่านมหาอุปราชเอง”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของใต้เท้าชวีก็ได้ส่องแสงออกมาทันที ตัวเขานั้นไม่คิดว่าเรื่องนี้จะสำเร็จง่ายขนาดนี้ เขานึกว่าจะต้องโต้เถียงกันมากกว่านี้เสียอีก!
“ท่านมหาอุปราช ท่านคิดว่าควรจะดำเนินการเช่นไรดี?” ใต้เท้าชวีก็ได้ทำความเคารพให้มหาอุปราชแล้วถามความคิดเห็นของเขา กระทำราวกับว่าตัวเขาเป็นตัวแทนของทุกคนในที่นี้ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการก่อกบฏครั้งใหญ่จริงๆ
เขานั้นคิดว่าบางทีเจียงหวายเย่นั้นอาจจะมีความคิดเหมือนกับเขาที่หมายลงมือกับฮ่องเต้ที่ยังอ่อนแอและเยาว์วัยเช่นนี้และจัดการควบคุมให้อยู่ในกำมืออย่างเบ็ดเสร็จ
แต่ช่างโชคร้ายที่เขานั้นไม่รู้เลยว่าหากเจียงหวายเย่นั้นเป็นคนที่โลภเช่นนั้นจริง เขาก็คงจัดการโค่นล้มราชบัลลังก์และเปลี่ยนราชวงศ์ไปนานแล้ว และในเวลานี้การที่เขาคอยสนับสนุนฮ่องเต้องค์ใหม่นั้น ก็เพียงพอที่จะแสดงถึงความตั้งใจของเขาแล้วด้วยซ้ำ
ต่อหน้าเหล่าขุนนาง มหาอุปราชก็ได้ลุกขึ้นยืน ร่างกายที่ผอมเพรียวที่ยืนตระหง่านอยู่บนพื้นยกสูงนั้นก็ได้ดูน่าเกรงขามมากขึ้นเรื่อยๆ
“ใต้เท้าชวีเป็นคนใจกว้างยิ่งนัก ที่อุตส่าห์เสียสละถึงเพียงนี้เพื่อการพัฒนาของรัฐเจียง ข้าต้องขอขอบคุณท่านในฐานะราชวงศ์ของรัฐเจียงมา ณ ที่นี้ด้วย”
เมื่อคำชื่นชมนี้ได้เข้าหัวของชวีฮุยจง ก็ได้ทำให้เขารู้สึกสับสนขึ้นมา ซึ่งเขานั้นไม่เข้าใจว่ามหาอุปราชนั้นหมายถึงอะไร และจากการที่เขาอยู่ในพระราชสำนักมานานหลายปี ทำให้การรับรู้อันตรายของเขานั้นเฉียบคมมาก
ทำให้ชวีฮุยจงต้องถามด้วยความตื่นตระหนก “ท่านมหาอุปราชหมายความเช่นไร? ได้โปรดให้อภัยในความไม่เข้าใจของข้าด้วย”
เจียงหวายเย่ก็ได้ถอนหายใจออกมา แล้วจากนั้นก็กล่าวด้วยท่าทีที่คุ้นเคยมาก “ก็ที่ใต้เท้าชวีได้ยกเรื่องนี้ขึ้นมานั้น พวกเราต่างก็รู้ดีว่าการที่จะทำให้คนพวกนี้ยอมได้นั้นมันยากเพียงใด ซึ่งเราเกรงว่าคงจะไม่มีใครยอมคืนตำแหน่งของตัวเองโดยดีแน่ๆ ใต้เท้าชวีจึงได้อาสาเป็นคนนำและเป็นตัวอย่างให้กับทุกคนใช่ไหม?”
หลังจากที่กล่าวจบแล้วเหล่าขุนนางที่อยู่ด้านล่างก็ได้พากันพูดคุยขึ้นมาทันที พวกเขานั้นคิดว่าพวกเขานั้นคงไปถูกไล่ออกแน่พวกเขาจึงได้ยอมตกลงเห็นด้วยไป แต่พวกเขานั้นไม่คิดว่าองค์มหาอุปราชนั้นจะตัดสินใจเช่นนี้
และไม่ใช่เพียงแค่พวกเขาที่ตกใจ แต่ยังรวมถึง เจียงเจิ้งเฉิงที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรก็ยังตกใจด้วย จากนั้นเขาจึงได้เข้าใจว่าเจียงหวายเย่นั้นหมายถึงอะไรกันแน่
“นั่นคือสิ่งที่ใต้เท้าชวีหมายถึงนี่เอง” เจียงเจิ้งเฉิงก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่ขอบคุณบนใบหน้าของเขา “ตัวข้านั้นรู้สึกขอบคุณยิ่งนัก นั้นข้าจะขอทำตามความพยายามของใต้เท้าชวีให้สำเร็จลุล่วง”
“……..”
แล้วมหาอุปราชและเจียงเจิ้งเฉิงก็ได้ตกลงเรื่องนี้อย่างเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย โดยไม่มีช่องว่างให้ใต้เท้าชวีได้มีส่วนร่วมเลย
แล้วเรื่องที่เริ่มขึ้นโดยใต้เท้าชวีนี้ ไม่มีใครรู้เลยว่ามันจะไปจบที่ตรงไหน
รู้แต่เพียงแค่ว่าในตอนที่พวกเขาแยกย้ายกันออกจากพระราชสำนักนั้น ท่านมหาอุปราชก็ได้กล่าวขึ้นมา “เราจะให้พวกเจ้าได้หยุดพรุ่งนี้หนึ่งวันไม่ต้องมาทำงาน แล้วรอคอยฟังพระราชโองการจากองค์ฮ่องเต้!”
พวกเขานั้นกล้าที่จะโมโหแต่ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไป และเหล่าขุนนางที่อยู่ฝ่ายของใต้เท้าชวีนั้นต่างก็รู้สึกเสียใจจนแทบตาย เพราะพวกเขานั้นได้บีบบังคับองค์ฮ่องเต้ไปแล้ว เกรงว่าคงไม่มีวันที่พวกเขาจะได้ไปที่พระราชสำนักอีกแล้ว
ส่วนใต้เท้าชวีนั้นก็หน้าเขียวปั้ดก่อนจะสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป การเคลื่อนไหวในวันนี้ของเขาเรียกได้ว่าเสียซ้ำเสียซ้อน“เสียฮูหยินเสียซ้ำขุนศึก”เลยทีเดียว
หลังจากที่ออกมาจากท้องพระโรงแล้ว เขาก็ได้แอบคิดในใจว่าเขาจะต้องเอาคืนเรื่องในวันนี้แน่
มหาอุปราชแล้วยังไง?
ฮ่องเต้แล้วยังไง?
ไม่เร็วหรือช้า แผ่นดินนี้จะต้องตกเป็นของตระกูลชวี!
ดวงตาของชวีฮุยซงก็ได้เร่าร้อนดั่งไฟ ตัวเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณนักสู้และเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ในใจของเขานั้นรัฐเจียงจะต้องเปลี่ยนชื่อเป็นชวี
แล้วในท้องพระโรงก็เหลือเพียงเจียงหวายเย่กับ เจียงเจิ้งเฉิง
“แล้วเสด็จอาจะทำเช่นไรต่อ?” ท่าทีของเจียงเจิ้งเฉิงที่มีต่อเจียงหวายเย่นั้นยังเป็นไปด้วยความเคารพอยู่ เพราะในสายตาของเขาเสด็จอาคือชายผู้เป็นหนึ่งในใต้หล้า
เขาคิดเช่นนั้นจนกระทั่งสิ่งที่เจียงหวายเย่พูดออกมาหลังจากนี้ทำให้รอยยิ้มของเขาต้องแข็งทื่อทันที
“มันก็แน่อยู่แล้วว่าจะต้องใส่คนของเราลงไปน่ะสิ” เป็นเสียงที่หนาวเย็นไร้อารมณ์ ซึ่งความหนาวเย็นนี้ได้บ่งบอกถึงความทะเยอทะยานของเจียงหวายเย่
”แม้แต่เสด็จอาก็ยังต้องการที่จะควบคุมเราอย่างนั้นเหรอ?” เจี้ยงเจิ้งเฉิงก้มหน้าลงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง แล้วเขาก็ได้ต่อว่าตัวเองในใจว่าทำไมตัวเขาถึงได้ไม่มองคนให้ชัดเจนกว่านี้
เจียงหวายเย่ก็ได้ยักคิ้วขึ้นมา และดวงตาสีดำของเขาก็ได้จับจ้องไปที่เจียงเจิ้งเฉิง “ข้าหมายถึงว่าหากฮ่องเต้ต้องการที่จะเสริมความมั่นคงให้ตัวเองแล้ว ท่านจำเป็นที่จะต้องไล่ตัวปัญหาที่ข้องเกี่ยวกับชวีฮุยจงเสียให้หมด”
หลังจากนั้นเจียงหวายเย่กับเจียงเจิ้งเฉิงก็ได้หารือเรื่องของการเปลี่ยนขุนนางกันตลอดทั้งวัน เจียงหวายเย่จึงได้กินอาหารที่พระราชวัง เขาจึงได้ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกส่งมาที่วังรัตติกาลโดยใช้ชื่อผู้รับว่าหลินซีเหยียน
หลินซีเหยียนก็ได้รับจดหมายนั้นมาจากพ่อบ้าน จากนั้นก็ได้เปิดอ่านดู “ตัวเรานั้นมาถึงรัฐจงอย่างปลอดภัยแล้ว และฐานเสียงของเราก็มั่นคงดี เราจึงอยากที่จะเชิญแม่นางหลินมาร่วมงานขึ้นครองราชย์ของเรา ปล.ลูกพี่ลูกน้องของท่านก็กำลังรอท่านอยู่ที่นี่ด้วย จากจงซู่เฟิง”
ลูกพี่ลูกน้อง?
หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดก่อนที่จะบิดนิ้วตัวเองและคิดว่าลืมไปได้อย่างไร นี่มันก็สักพักใหญ่ๆแล้วที่เยี่ยจุนเจี๋ยนั้นได้คุ้มกันจงซู่เฟิงไปส่ง แล้วทำไมป่านนี้แล้วเยี่ยจุนเจี๋ยถึงได้ยังไม่กลับมาอีก?
และจากที่อ่านในจดหมายของจงซู่เฟิงแล้ว หมายความว่าเยี่ยจุนเจี๋ยนั้นยังไม่ได้กลับมาถึงเมืองหลวง และจากนิสัยของลูกพี่ลูกน้องของนางแล้ว เขาย่อมที่จะไม่ไปเข้าร่วมกับรัฐจงง่ายๆแน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้ก็จะเหลือเพียงอยู่อย่างเดียว
นั่นคือจงซู่เฟิงจับตัวเยี่ยจุนเจี๋ยเอาไว้!
อีกฝ่ายนั้นต้องการที่จะทำอะไรกันแน่? แล้วไหนเรื่องที่จะเชิญนางไปเข้าร่วมงานขึ้นครองราชย์
นางจึงได้คิดที่จะรอเจียงหวายเย่กลับมาแล้วบอกเรื่องนี้กับอีกฝ่ายก่อนค่อยตัดสินใจกันอีกที
เมื่อนึกถึงเรื่องของจงซู่เฟิง หลินซีเหยียนก็ได้นึกขึ้นได้ว่านางลืมกระบี่สวรรค์เอาไว้ที่บ้าน ช่วงนี้มันอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นมากมายจนทำให้เจ้าหน่อเขียวและบัวแดงนั้นถูกลืมไปเลย
เมื่อนางได้กลับไปที่จวนมหาเสนาบดี ก็ได้มีเสียงหัวเราะดังมาจากเรือนเชียนเหยียน เมื่อนางเดินเข้ามาข้างใน หลินซีเหยียนก็ได้พบเทียนเอ๋อที่เหมือนจะสูงและผอมมากขึ้น
“ท่านแม่” เมื่อเห็นหลินซีเหยียน เทียนเอ๋อก็ได้กระโดดเข้าใส่อ้อมแขนของหลินซีเหยียนด้วยสีหน้าที่ดีใจ แล้วก็มีน้ำตาใสๆติดอยู่ที่ขนตาของนางราวกับว่านางนั้นเศร้าโศกมาก
ลูบหัวของเทียนเอ๋อ แล้วหลินซีเหยียนก็ได้กล่าวปลอบ “เทียนเอ๋อ เจ้าไม่ได้ถูกรังแกใช่ไหม?”
เทียนเอ๋อก็ได้ส่ายหัวของนางและยิ้มยิงฟันออกมาแล้วกล่าว “ไม่มีใครที่รังแกข้าได้หรอก ก็แค่ยัยแม่มดเฒ่านั่นพอข้าบ่นออกไปว่านางแก่ นางก็ไม่ยอมให้อาหารข้าตั้งหลายวัน ท่านแม่ดูเทียนเอ๋อสิผอมบางไปหมดแล้วเนี่ย”
“แม่ว่าเจ้าผอมก็ดีนะ ก่อนหน้านี้เจ้าแทบไม่มีคอแล้ว แต่ตอนนี้ในที่สุดเจ้าก็มีแล้วนะ” หลินซีเหยียนก็ไม่ได้กล่าวโดยไว้หน้าลูกชายของนางเลยแม้แต่น้อย”
ทันใดนั้นเอง เทียนเอ๋อก็ได้ผละออกจากหลินซีเหยียนด้วยใบหน้าที่เศร้าสลดแล้วกล่าว “ท่านแม่ พอท่านมีท่านพ่อก็ไม่รักเทียนเอ๋อแล้วใช่ไหม? เมื่อก่อนท่านเคยบอกกับเทียนเอ๋อว่าไม่ว่าเทียนเอ๋อจะเป็นเช่นไรท่านก็ยังรักน่ะ”
“เทียนเอ๋อลูกแม่ แม้ว่าเจ้าจะอ้วนจนเป็นลูกบอลแม่ก็ยังรักเจ้า แต่แม่น่ะกลัวว่าภรรยาของเจ้าน่ะจะทนดูเจ้าไม่ได้น่ะสิ”
จริงๆแล้วเทียนเอ๋อนั้นไม่ใช่คนขี้เหนียว แต่เพราะความปรารถนาของเขานั้นไม่ใช่แค่ร่ำรวยอย่างเดียว แต่เขายังต้องมีภรรยาแสนสวยและมีชีวิตที่สุขสบายด้วย
หลังจากที่ได้ยินที่หลินซีเหยียนพูดเช่นนี้แล้ว เขาก็ได้รีบพูดขึ้นมา “หลังจากนี้เทียนเอ๋อจะทานให้มากขึ้น แต่จะเหลือคอเอาไว้เพื่อเอาชนะใจสาวๆด้วย”