หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 337 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวังหลวง
บทที่ 337
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวังหลวง
“คุณหนู ชิงอวี่จะคอยคุ้มกันพาท่านออกไปเองเจ้าค่ะ” ถึงชิงอวี่นั้นจะรู้ว่าผู้คนมากมายตรงหน้านางนี้จะเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่แล้วยังไงล่ะ? สิ่งที่นางจำเป็นจะต้องทำในเวลานี้คือปกป้องหลินซีเหยียน
“เจียงอี๋ ข้ามีบางอย่างจะถามเจ้า ซึ่งไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าจะตอบข้าหรือไม่ เพื่อที่จะได้เข้าใจอะไรเสียหน่อย” หลินซีเหยียนก็ได้ดึงมือของชิงอวี่เงียบๆ แล้วจากนั้นก็ได้กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของนางด้วยสีหน้าที่สงบนิ่งอยู่
“เจ้าอยากที่จะถามอะไร?”
“เจ้าควบคุมผู้คนมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร?” หลินซีเหยียนก็ได้ถามด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย “จากที่ข้ารู้มาแมลงพิษที่ใช้ควบคุมคนในเมืองผู้เลี้ยงวิปลาสเองก็เรียกได้ว่าหาได้ยากมากและวิธีการเลี้ยงเองก็ยุ่งยากมากเช่นกัน ดังนั้นแล้วเจ้าสามารถมีแมลงพิษหายากเช่นนี้จำนวนมากมายได้อย่างไร?”
เจียงอี๋ที่ไม่ได้รู้สึกถึงปัญหาของคำถามนี้ นางก็ได้ตาสว่างขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำถามจากนั้นนางก็ได้กล่าวอย่างภูมิใจ “ก็เพราะเลือดของข้ามันเป็นพิเศษยังไงล่ะ ขนาดแมลงพิษในพิษข้ายังเลี้ยงได้ แล้วยิ่งแมลงที่ใช้ควบคุมคนพวกนี้แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง”
“เข้าใจแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่ดูเหมือนว่าเจ้ามีอาการขาดเลือดมากขนาดนั้น ดูเหมือนว่าเจ้าคงจะใช้เลือดของเจ้าไปเยอะมากเลยสินะ”
ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังพูดอยู่นั้น เหล่าผู้คนที่ถูกควบคุมอยู่นั้นก็เหมือนกับพบปัญหาอะไรบางอย่าง แล้วพากันล้มลงไปทีละคนคน
แล้วในชั่วขณะนั้นเองเจียงอี๋ก็ได้รู้สึกตัว “เจ้าไม่ได้สนใจที่จะฟังคำตอบแต่แรกอยู่แล้วนี่นา เจ้าแค่ถ่วงเวลาเท่านั้น”
“ยินดีด้วยเจ้าตอบคำถามได้ถูกต้องแล้ว”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นรู้ตัวแล้วหลินซีเหยียนก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด ตั้งแต่แรกแล้วเจ้าแมงป่องไฟของนางก็ได้ออกจากแขนเสื้อของนางไปแล้ว ด้วยการรับรู้ระหว่างแมลงด้วยกัน เจ้าแมงป่องไฟก็สามารถค้นหาตำแหน่งของแมลงพิษที่ตัวของคนพวกนั้นได้แล้วก็กินมันเป็นอาหาร
ด้วยวิธีการนี้จึงได้มีผู้คนส่วนหนึ่งที่ไม่ถูกควบคุม และผู้คนที่ไม่ได้ถูกควบคุมนั้นก็ได้ถูกเลือกเอาไว้แล้วโดยที่พวกคนทุกคนนั้นล้วนสูงใหญ่และทรงพลัง
เมื่อคนเหล่านี้ฟื้นได้สติคืนมา พวกเขาก็ได้หยุดพวกคนที่บุกเข้ามาโจมตีทันที ซึ่งพวกเขานั้นเป็นเพียงแค่ข้ารับใช้ จะไปสู้แรงคนที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดีได้อย่างไร
เมื่อเจียงอี๋นั้นพบว่าแผนการของนางล้มเหลวแล้ว นางก็ได้โกรธจัดจนกระอักเลือดออกมาและกล่าวอย่างน่าเวทนา “หลินซีเหยียนข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ารอดไปแน่”
หลินซีเหยียนก็ได้กล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้าสงสัยจัง ว่าเจ้ายังมีแผนอะไรหลงเหลือไว้ใช้กับข้าอีก?”
ในขณะที่นางไม่ทันระวังตัว ก็ได้มีแมลงสีแดงคลานออกมาจากกองเลือดที่นางคายออกมาแล้วบินเข้าไปหา หลินซีเหยียนอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆๆ มันคือแมลงวิปลาสที่เลี้ยงด้วยเลือดและหัวใจของข้า หลินซีเหยียนเจ้าจะต้องตาย”
มองดูแมลงสีแดงที่กำลังบินไปที่คิ้วของ หลินซีเหยียน เจียงหวายเย่ก็ได้โผล่ออกมาในช่วงเวลาวิกฤติพอดี เขาได้ดึงเอาปิ่นปักผมหยกที่หัวของเขาออกมาแล้วขว้างไปโดนแมลงสีแดงเลือดตัวนั้นจนไปปักติดเข้ากับต้นไม้ใกล้ๆอย่างแม่นยำ
เจ้าแมลงวิปลาสตัวนั้นบาดเจ็บสาหัส และเจียงอี๋ก็ได้กระอักเลือดออกมาคำโต และดวงตาของนางก็ได้เต็มไปด้วยความไม่พอใจ “เจ้าฆ่าแมลงวิปลาสของข้า?! พวกแกไปตายกันซะให้หมด”
ทันทีที่สิ้นเสียง เจียงอี๋ก็ได้ร่วงลงไปกองกับพื้นไร้ซึ่งลมหายใจ
“ท่านกลับมาไวจัง?” หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ เจียงหวายเย่แล้วถาม
แล้วเหล่าข้ารับใช้ในวังรัตติกาลต่างก็ได้ฟื้นคืนสติกลับมาเพราะการตายของเจียงอี๋ แล้วเจ้าแมงป่องไฟก็ได้กลับเข้ามาในแขนเสื้อของหลินซีเหยียน
เจียงหวายเย่ก็ได้จูงมือของหลินซีเหยียนเข้าไปในห้องทำงานแล้วกล่าว “ในเวลานี้เทียนเอ๋อนั้นอยู่ที่โรงหมอหุยชุนแล้ว”
“แล้วเทียนเอ๋อบาดเจ็บไหม?”
ซึ่งความคิดแรกที่เข้ามาในหัวของหลินซีเหยียนตอนนี้คือรู้สึกเสียดายที่นางนั้นไม่จัดการไทเฮาให้หนักกว่านี้
เจียงหวายเย่ก็ได้หยุดนิ่งไปชั่วขณะแล้วจากนั้นก็ได้ค่อยๆพูดออกมา “เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก มือของเทียนเอ๋อเลยเป็นรอยถลอกเพราะกิ่งไม้เพราะเขานั้นคิดที่จะปีนข้ามกำแพงเพื่อเข้าไปในฝูเป่าจาย”
ฝูเป่าจายนั้นคือร้านขายขนมหวานที่มาเปิดใหม่ในเมืองหลวง ซึ่งของที่ขึ้นชื่อที่สุดในร้านคือแบะแซ ที่ทำเป็นน้ำตาลปั้นรูปร่างต่างๆ
“แล้วเทียนเอ๋อก็ได้อยากได้น้ำตาลปั้นนั้น?” หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นแล้วถาม
เจียงหวายเย่ก็ได้ส่ายหัวของเขาแล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่ช่วยไม่ได้ “เขาได้ไปพนันกับขอทานที่ถนนว่า ตัวเขานั้นสามารถเอาน้ำตาลปั้นของร้านฝูเป่าจายออกมาได้โดยไม่เสียเงินสักบาท”
“แล้วผลสุดท้ายใครชนะ?” หลินซีเหยียนก็ได้กะพริบตาแล้วถาม “เทียนเอ๋อที่เป็นคนที่เพียรพยายามอย่างมาก จะต้องชนะอยู่แล้วใช่ไหม?”
“เทียนเอ๋อถูกจับได้เสียก่อน แล้วหน่วยเชียนจี๋จึงต้องจ่ายเงินให้เขาเป็นค่าชดใช้ ไม่อย่างนั้นเทียนเอ๋อคงยังอยู่ที่นั่นชดใช้เป็นแน่” เจียงหวายเย่ก็ได้กล่าวพร้อมกับเอามือนวดขมับ การที่เทียนเอ๋อไปก่อนเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ ทำให้ตัวเขานั้นรู้สึกอับอายขึ้นมา
หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มและกล่าวในใจว่าต่อจากนี้นางคงจะต้องอบรมเทียนเอ๋อบ้างเสียแล้ว
เนื่องจากชวีฮุยจงนั้นได้กลับมาที่เมืองหลวงแล้ว บรรยากาศในพระราชสำนักก็ได้ตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ววันนี้ชวีฮุยจงก็ได้มาที่พระราชสำนักอย่างเปิดเผย
และสิ่งที่ยากที่จะทนได้อย่างที่สุดก็คือความไร้มารยาทของอีกฝ่าย แต่ไม่ว่าอีกฝ่ายนั้นจะทำอะไรก็ยังทำให้เขาเป็นที่นิยมของผู้คนมากมายอยู่ดี เพราะว่าจำนวนผู้คนที่เข้าข้างเขานั้นมีจำนวนมากกว่าครึ่งในพระราชสำนัก
ซึ่งกลุ่มคนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนที่โจ่งแจ้งเช่นนี้ ทำให้เจียงเจิ้งเฉิงนั้นเริ่มทนไม่ไหว เขาก็ได้ลุกขึ้นยืนจนมงกุฎฮ่องเต้ที่เขาสวมอยู่ต้องเขย่าอย่างต่อเนื่อง จากนั้นก็ได้สะบัดแขนเสื้อของเขา และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่โมโห
“ใต้เท้าชวี ท่านจะไม่เห็นข้าอยู่ในสายตามากขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ”
“หม่อมฉันนั้นมิบังอาจ ขอฝ่าบาทจงระงับความโกรธก่อน”
“ขอฝ่าบาทจงระงับความโกรธด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ส่วนเจียงหวายเย่ที่นั่งอยู่ใกล้ๆเจียงเจิ้งเฉิงนั้น ด้วยหน้ากากหยกบนใบหน้าของเขานั้นก็ได้แผ่บรรยากาศที่เย็นยะเยือกออกมา เขานั้นไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาแต่กลับก้มหน้ามองผู้คนที่อยู่ด้านล่างอย่างไม่ใส่ใจ
ราวกับว่าตัวเขาเป็นเพียงคนนอกและไม่มีอะไรที่สามารถทำให้เขาโกรธได้
“ทูลฝ่าบาทจากสถานการณ์ของรัฐเจียงในปัจจุบันนั้นมันฟอนเฟะไปหมดแล้ว หม่อมฉันจึงเสนอให้ทำการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และยึดเอาอาณาจักรอื่นเป็นแบบอย่าง”
หลังจากที่ชวีฮุยจงกล่าวเช่นนั้นออกมา ก็ได้เงยหน้ามององค์ฮ่องเต้ด้วยท่าทีไม่ถ่อมตัวหรือโอหังเกินไป หลิ่วฟู่ที่นิ่งเฉยมาพักใหญ่ๆแล้วก็ได้รีบกล่าวออกมาเช่นกัน “เรียนฝ่าบาท การกระทำเช่นนี้จะส่งผลประโยชน์ต่อความเป็นอยู่ที่ดีของราษฎรนะพ่ะย่ะค่ะ”
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นั้นแม้จะฟังดูดี มันคือเปลี่ยนคนในพระราชสำนักทั้งหมดให้เป็นสายเลือดใหม่เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งใหม่ๆ แต่เจียงเจิ้งเฉิงนั้นรู้ดีอยู่แก่ใจว่าคนเหล่านี้แค่คิดฉวยโอกาสที่จะเปลี่ยนคนในพระราชสำนักให้กลายเป็นคนของพวกเขาให้หมด เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถจับตาดูการเคลื่อนไหวของเขาได้ทุกฝีก้าว
ซึ่งเกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นเขาก็คงได้กลายเป็นเพียงฮ่องเต้หุ่นเชิดไปแล้ว
แล้วเขาจะทำเช่นไรดี? ในขณะที่เขากำลังสับสนอยู่นั้น เจียงหวายเย่ก็ได้ลุกขึ้นยืน และริมฝีปากบางๆของเขาก็ได้ขยับเล็กน้อย “ใต้เท้าชวีกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เราเองก็คิดว่ามีเหตุผล”
ทันใดนั้นเองที่สีหน้าของเจียงเจิ้งเฉิงนั้นก็ได้ซีดเผือดราวกับตาย เขานั้นคิดอยู่เสมอว่าเสด็จอานั้นจะคอยช่วยเหลือเขา เพราะเสด็จอานั้นไม่เคยถวิลหาหรือโลภในอำนาจของฮ่องเต้เหมือนคนอื่นๆ
แล้วก็ได้มีแสงออกมาจากดวงตาของชวีฮุยจง ตัวเขานั้นไม่นึกว่าจะมีวันที่ต้องขอบคุณเจียงหวายเย่เช่นนี้ หรือว่าจริงๆแล้วเจียงหวายเย่นั้นหวังผลประโยชน์อะไรบางอย่างจากตัวเขาอยู่กันแน่?
ในขณะที่เขากำลังคิดเช่นนั้น เจียงหวายเย่ก็ได้หันไปมองที่ฮ่องเต้แล้วกล่าว “เราว่ามันเป็นเรื่องดีที่เราจะได้เปลี่ยนขุนนางในพระราชสำนักบ้าง เพื่อที่จะได้เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความฟอนเฟะภายในรัฐเจียงไปมากกว่านี้”
เสด็จอา นี่ท่านไม่รู้เรื่องจริงๆหรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องกันแน่!
เจียงเจิ้งเฉิงก็ได้คิ้วขมวดเข้าหากัน และในเวลานี้ เจียงหวายเย่ก็เป็นมหาอุปราชด้วยทำให้สิ่งที่เขาพูดนั้นมีน้ำหนักมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ชวีฮุยจงได้ดึงเอาขุนนางเกินครึ่งไปเป็นพรรคพวกของเขาแล้วด้วย
แล้วจะให้เขาไม่เห็นด้วยได้อย่างไร?