หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 332 แต่งงานเพียงคนเดียวเท่านั้น
บทที่ 332
แต่งงานเพียงคนเดียวเท่านั้น
หากในเวลานี้มีใครนึกถึงนางที่เป็นองค์หญิงขึ้นมา เกรงว่าพวกเขาคงจะเยาะเย้ยนางในใจเป็นแน่ ถึงความต่างระหว่างของจริงกับของปลอม
หลังจากที่การบรรเลงเพลงจบลง ผู้คนนั้นยังฟื้นคืนสติไม่ได้อยู่พักใหญ่ๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าองค์หญิงเหวินจวินประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม
แม้แต่หลินซีเหยียนก็ยังได้หลับตาลงเพื่อเคลิบเคลิ้มไปกับบทเพลง ตัวนางนั้นเคยมีความสัมพันธ์ซึ่งๆหน้ากับองค์หญิงเหวินจวินเมื่อนานมาแล้ว ในยามที่นางแต่งตัวเป็นผู้ชายแล้วใช้ชื่อว่าหลินอวิ๋นเซวียน ซึ่งนางเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมองค์หญิงถึงได้ชื่นชอบตัวนางได้นะ?
นางไม่คิดว่าตัวนางนั้นได้กลายเป็นหลินอวิ๋นเซวียนบ่อยมากถึงขนาดนั้น และนางก็ไม่เคยปรากฏตัวในที่สาธารณะด้วยแล้วทำไมถึงได้เข้าไปอยู่ในหัวใจขององค์หญิงได้นะ
องค์หญิงเหวินจวินก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วมองไปรอบๆ แล้วดวงตาของนางก็ได้พบดวงตาของหลินซีเหยียน หลินซีเหยียนก็ได้รู้สึกตกใจและหลบสายตาทันที
แล้วองค์หญิงเหวินจวินก็ได้เดินมาหาหลินซีเหยียนท่ามกลางสายตาของผู้คน “แม่นางคนนี้ช่างดูคุ้นหน้า เราขอนั่งข้างๆเจ้าได้หรือไม่?”
หลินรั่วจิ่งนั้นนั่งอยู่ข้างๆหลินซีเหยียน ซึ่งหมายความว่าองค์หญิงเหวินจวินก็จะนั่งลงข้างๆหลินรั่วจิ่งด้วย ซึ่งมันเป็นเรื่องดีสำหรับนางเหมือนกัน ที่ความสัมพันธ์ระหว่างองค์หญิงตัวจริงกับตัวปลอมนั้นก็จะชัดเจนมากขึ้นไปอีก
แต่ตัวหลินซีเหยียนเองก็ไม่อยากที่จะต้องมานั่งใกล้คนที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ซึ่งถ้าหากนางตกลงองค์หญิงก็จะมานั่งอยู่ภายใต้ร่มเงาของเจียงหวายเย่แทน ซึ่งมันจะไม่ดีต่อฐานะของนาง
ดังนั้นหลินซีเหยียนจึงได้ลุกขึ้นยืนและเผยรอยยิ้มบนใบหน้าของนางอย่างเหมาะสม ถ้าหากมองให้ชัดๆแล้วก็จะมองเห็นความรักและความชื่นชมอยู่ในรอยยิ้มนั้น
“องค์หญิงเหวินจวินเพคะ มันอาจจะไม่ดีกับฐานะของท่านนักที่จะมานั่งใกล้ๆข้า”
คำพูดนี้ทำให้หลินรั่วจิ่งต้องก้มหน้าลงด้วยสีหน้าที่ดุดัน ในเวลานี้ตัวนางนั้นอยากที่จะหาที่มุดรูหนีมาก
ใบหน้าขององค์หญิงเหวินจวินนั้นก็ได้นิ่งเฉยต่อเรื่องนี้ ราวกับว่านางนั้นเป็นคนที่เปิดกว้างมากและสามารถอาศัยอยู่บนโลกมนุษย์ได้โดยไม่สนใจเสียงรถและเสียงม้า “ขอบพระคุณแม่นางหลินมากที่อุตส่าห์คิดถึงเรา แต่มันเรื่องยากที่ตัวเราจะได้พบคนกับบุคคลภายนอกเช่นนี้ ขอเรานั่งข้างๆเจ้าได้ไหม?”
หรือว่าองค์หญิงนั้นจะรู้แล้วว่านางนั้นคือ หลินอวิ๋นเซวียน? แล้วก็มีความคิดเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาในหัวของหลินซีเหยียนซึ่งทำให้นางรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา
ในขณะที่นางอยากที่จะบอกปฏิเสธไปนั้น เจียงหวายเย่ก็ได้พูดขึ้นมา “องค์หญิงเหวินจวิน ได้โปรดช่วยอย่ารบกวนความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับองค์หญิงของข้าด้วย”
แต่องค์หญิงเหวินจวินก็หาได้ยอมแพ้ไม่แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสด็จอาค่อยสนิทสนมกับว่าที่องค์หญิงของท่านเมื่อไรก็ได้ ตอนนี้ขอแม่นางหลินให้ ข้าเหวินจวินก่อนได้ไหม?”
หลังจากที่พูดจบนางก็ได้จูงมือของหลินซีเหยียนแล้วเดินไปยังที่นั่งใกล้ฮ่องเต้ก่อนที่จะนั่งลง หลินซีเหยียนก็ได้ทำสีหน้าอย่างช่วยไม่ได้ แต่ทว่านางเองก็ไม่รู้ว่าองค์หญิงเหวินจวินนั้นทำเช่นนี้ทำไม? นางจึงได้มองดูสถานการณ์นี้อย่างเงียบๆและรอคอยโอกาส
เจียงหวายเย่แม้จะมีสีหน้าไม่กังวล แต่ทั้งตัวของเขาก็ได้แผ่บรรยากาศทำให้ผู้คนไม่อยากเข้าใกล้ขึ้นมา
หลินรั่วจิ่งก็ยังคงก้มหน้าก้มตาอยู่ ซึ่งนางนั้นรู้สึกละอายแก่ใจในฐานะของนาง ซึ่งในฐานะที่นางเป็นองค์หญิงแล้วนางควรที่จะไปนั่งถัดจากฮ่องเต้ แต่ในเวลานี้นางกลับนั่งอยู่ใกล้มหาอุปราช ซึ่งการจัดวางตำแหน่งเช่นนี้ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าต้องมีเล่นตุกติกอะไรเป็นแน่
ในเวลานี้หลินซีเหยียนได้นั่งลงข้างๆองค์หญิงเหวินจวินและนั่งลงอย่างรัดกุมด้วยความกลัวว่าจะไปเปิดเผยความลับเข้าแล้วทำให้ถูกล่วงรู้เข้าเรื่องที่นางเป็นหลินอวิ๋นเซวียน
“องค์หญิงพาลูกสาวมหาเสนาบดีคนนี้มีอะไรจะพูดด้วยเหรอเพคะ?” นางได้ก้มหน้าลงแกล้งว่าทำเป็นอาย และปิดปากของนางด้วยผ้าเช็ดหน้าในมือ
ในเวลาอันสั้นหลินซีเหยียนได้ใช้ท่าทีทุกอย่างที่เหล่าคุณหนูพึงกระทำเท่าที่หลินซีเหยียนคิดได้ และคงไม่มีใครคิดว่านางนั้นเป็นหลินอวิ๋นเซวียนอย่างแน่นอน
แต่ไม่รู้ว่าหลินซีเหยียนนั้นทำมากเกินไปหรืออย่างไร? อย่างไรก็ดีสายตาขององค์หญิงเหวินจวินนั้นก็ไม่ได้หลีกหนีไปไหนจากหลินอวิ๋นเซวียน
“องค์….องค์หญิง?” หัวใจของหลินซีเหยียนนั้นแทบจะกระโดดออกมาจากหน้าอกของนาง แล้วในเวลานี้นางก็ได้คิดขึ้นมาว่านางนั้นควรที่จะขอโทษองค์หญิงดีหรือไม่?
แต่ถ้าอีกฝ่ายยังไม่รู้ตัว ก็จะไม่กลายเป็นว่านางเปิดเผยตัวเองออกไปหรอกเหรอ?
ในขณะที่นางกำลังลุกลี้ลุกลนอยู่นั้น แล้วก็ได้มีเสียงหัวเราะดังเข้าหูของนาง
เป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูที่เสนาะหูมาก ทำให้ผู้คนรู้สึกมีความสุขขึ้นมาเมื่อได้ยิน จากนั้นองค์หญิงเหวินจวินก็ได้กล่าว “เจ้ากำลังกลัวอะไรอยู่? ข้าก็แค่อยากจะถามเจ้าอะไรบางอย่างเท่านั้น”
“ถ้าองค์หญิงอยากจะถามอะไรก็เชิญถามมาได้เลย ข้ายินดีที่จะตอบเท่าที่จะทำได้” หลินซีเหยียนก็ได้ถอนหายใจออกมาและเปลี่ยนกลับไปใช้ภาพลักษณ์ดั้งเดิมของนาง
ในขณะที่หัวใจของนางกำลังสงบนิ่งลงมานั้น ก็ได้ยินที่องค์หญิงเหวินจวินกล่าว “เราได้ยินมาว่าเจ้านั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับท่านหมอผี ข้าจึงอยากที่จะถามว่าตัวเขานั้นชอบใครอยู่หรือไม่?”
แล้วนัยน์ตาของหลินซีเหยียนก็ได้หดลดลงมา นิ้วมือทั้ง 5 ในแขนเสื้อของนางก็ได้กำแน่น แล้วจากนั้นก็ได้กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ท่านหมอผีนั้นมีคนที่ชอบอยู่แล้วเพค่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ?” องค์หญิงเหวินจวินก็ได้ฝืนยิ้มออกมาแล้วมีสีหน้าที่ว้าเหว่ แต่นางก็ได้พูดออกมาอย่างประชดประชันตัวเอง “ผู้หญิงคนนั้นจะต้องงดงามมากๆเป็นแน่! เราที่เป็นเพียงองค์หญิงที่ไร้ค่าเช่นนี้ จะไปอยู่ในสายตาของเขาได้เช่นไร?”
“………”
หลินซีเหยียนนั้นอยากที่จะบอกว่าถ้าหากตัวนางนั้นเป็นผู้ชาย นางเองก็อยากที่จะแต่งงานกับองค์หญิงเช่นกัน แต่น่าเสียดายนักที่ตัวนางนั้นเป็นผู้หญิง
“องค์หญิงอย่าได้ผิดหวังไปเลยเพคะ ตัวท่านนั้นมีความเป็นเลิศทุกด้านทั้งด้านรูปโฉมและความสามารถ มันเป็นเพราะท่านไม่มีวาสนาต่างหากที่ทำให้ไม่ได้เจอกับท่านหมอผี”
“ขอบคุณมากที่ช่วยปลอบเรา” องค์เหวินจวินนั้นไม่คิดว่าหลินซีเหยียนจะพูดออกมาเช่นนั้นจึงได้หัวเราะออกมา “ตัวเรานั้นคิดเอาไว้ไม่ผิด แม่นางหลินนั้นเป็นคนที่สุดยอดจริงๆ”
หลังจากที่กล่าวจบองค์หญิงเหวินจวินก็ได้เริ่มไออย่างรุนแรง นางได้ปิดปากของนางด้วยผ้าเช็ดหน้าและหันหน้าหลบอย่างมีมารยาท ราวกับว่านางนั้นไม่ต้องการให้หลินซีเหยียนนั้นเห็นนาง
หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดขึ้นมา เพราะเมื่อองค์หญิงได้ดึงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมา นางก็พบว่ามีเลือดติดอยู่
“องค์หญิงได้โปรดขออภัยในการเสียมารยาทของข้าด้วย” หลังจากที่พูดจบก่อนที่เหวินจวินจะได้ทันตอบอะไร มือขององค์หญิงก็ได้กดลงไปที่เอวขององค์หญิงเหวินจวิน “องค์หญิงท่านเป็นวัณโรคอย่างนั้นเหรอ?”
“แค่กๆ แม่นางหลินตัวเรานั้นไม่ได้คิดที่จะหลอกท่านหรือต้องการที่จะให้ท่านติดเชื้อ เราแค่อยากจะหาคนคุยด้วยเท่านั้น” องค์หญิงเหวินจวินรู้สึกกระวนกระวายใจ ริมฝีปากซีดเผือดของนางก็ได้แดงเพราะเลือด
หลินซีเหยียนก็ได้รู้สึกปวดใจขึ้นมาแล้วกล่าว
“องค์หญิงไม่มีคนคุยด้วยอย่างนั้นเหรอ?”
เหวินจวินก็ได้แสยะยิ้มขึ้นมา ดวงตาของนางนั้นพร่ามัวราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงความทรงจำ หลังจากที่ผ่านไปพักหนึ่งนางก็ได้กล่าว “ถึงแม้ว่าในวังหลวงแห่งนี้จะกว้างใหญ่และมีผู้คนมากมายอยู่ที่นี่ แต่พวกเขาต่างก็ทำให้เรารู้สึกกลัว”
“ท่านเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ ท่านยังจะต้องกลัวอะไรอีก?”
“ท่านเคยเจอคนที่ยิ้มให้ท่านอย่างอ่อนโยนมาก แต่ในใจกลับคิดอยากส่งท่านไปตายทุกขณะจิตบ้างไหม?” องค์หญิงเหวินจวินไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าของนาง ตัวนางนั้นเป็นเหมือนกับตุ๊กตาที่มีดวงตาที่น่ากลัวและว่างเปล่า
“เรานั้นต้องพบเจอกับคนเช่นนั้นอยู่ทุกวันตั้งแต่ตอนที่เรายังเป็นเด็ก เรานั้นยังไม่อยากที่จะตายเราจึงจำเป็นที่จะต้องระวังตัวอยู่ทุกขณะจิตและไม่ปรากฏตัวต่อหน้าใครๆ”
จากนั้นดวงตาของนางก็ได้แดงและบวมขึ้นมา “แต่โชคชะตาของเราก็ช่างตลกร้ายยิ่งนัก ตัวเรานั้นกลับเป็นวัณโรคและอยู่ไม่ห่างไกลจากความตาย”
“องค์หญิงท่านตามหาหมอผี เพราะต้องการให้รักษาอย่างนั้นเหรอ?”