หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 331 องค์หญิงของมหาอุปราช
บทที่ 331
องค์หญิงของมหาอุปราช
“หึ เจ้าไม่คิดว่ามันสายเกินไปหน่อยเหรอที่จะมาแก้ตัวเอาตอนนี้น่ะ? พวกเราต่างก็เห็นชัดเจนกันดีอยู่แล้ว” ถึงแม้ว่า เฉิงซีเหอจะไม่เข้าใจถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของหลินซีเหยียน แต่นางก็ได้กล่าวอย่างไม่ยอมยกโทษให้
ไม่เพียงแค่นั้นนางยังได้กล่าวต่อ “คนอย่างท่านมหาอุปราชนั้นเป็นเหมือนดั่งกับเทพ มีเพียงหญิงงามอย่างองค์หญิงรั่วจิ่งเท่านั้นถึงจะคู่ควร แล้วเจ้าล่ะเป็นใครกัน?”
คำพูดของเฉิงซีเหอนั้นได้ทำให้เจียงหวายเย่ที่อดทนอยู่สักพักใหญ่ๆแล้วโมโหขึ้นมา ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าหลินซีเหยียนนั้นสามารถจัดการเรื่องนี้เองได้ และมีความรู้สึกแปลกๆเกิดมาอย่างช้าๆ
นางนั้นเข้าใจผิดคิดว่าสายตาที่มืดมนของเจียงหวายเย่นั้น เป็นสายตาที่กำลังจับจ้องมาที่ตัวของนางอย่างลึกซึ้ง
แต่นึกไม่ถึงว่าเจียงหวายเย่ก็ได้หันไปมองท่านอื่นอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเขานั้นมองเห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้ขุ่นเคืองตาของเขา ซึ่งท่าทีเช่นนี้ได้เสียดแทงหัวใจของเฉิงซีเหอยิ่งนัก
“องค์ชาย ท่าน…..ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าเช่นไร?” แล้วน้ำตาก็ได้พรั่งพรูออกมา แต่เฉิงซีเหอนั้นยังคงปฏิเสธที่จะเปิดเผยความอ่อนแอของนางออกมาอย่างดื้อด้าน
เจียงหวายเย่ก็ไม่ได้ตอบอะไรนาง ราวกับว่าเห็นนางเป็นเพียงอากาศธาตุ
ในฐานะที่เฉิงซีเหอนั้นเป็นเพื่อนสนิทของหลินรั่วจิ่ง นางจึงได้รีบกล่าวปลอบนาง “องค์ชายก็แค่อารมณ์ไม่ดีเท่านั้นเองอย่าได้เสียใจไปเลย ท่านพี่ หลินรั่วจิ่งพูดถูกใช่ไหม?”
หลินซีเหยียนก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก หลินรั่วจิ่งนั้นพูดราวกับว่าจะต้องลากนางให้เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยให้ได้ นางจึงได้ถอนหายใจออกมาและในขณะที่นางอยากที่จะพูดอะไรออกไปอยู่นั้น นางก็ได้ยินเสียงที่อ่อนโยนของเจียงหวายเย่ดังขึ้นมา “เสี่ยวเหยียนเอ๋อพูดเยอะ คงจะหิวน้ำแล้ว!”
โดยไม่รอให้หลินซีเหยียนได้ตอบ แก้วชาที่มีอุณหภูมิที่พอเหมาะได้ถูกยื่นส่งมาให้นางแล้ว ถึงแม้ว่านางนั้นจะไม่ได้หิวน้ำก็ตาม แต่นางก็ได้รับแก้วชามาจากเจียงหวายเย่แล้วยกขึ้นจิบพลางมองดูหลินรั่วจิ่งและคนอื่นๆต้องพากันลงไปทรุด
หลินรั่วจิ่งที่เพิ่งจะปลอบเฉิงซีเหอไปนั้น ก็ได้ถูกโต้แย้งออกมาอย่างเงียบๆ ทำให้นางนั้นมีสีหน้าไม่ดีขึ้นมา
ชวีหย่วนซานที่ทนไม่ไหวก็ได้ลุกขึ้นยืนและยืดหลังตรง แล้วจากนั้นก็ได้กล่าวด้วยสีหน้าที่จริงจัง “องค์ชาย ท่านควรที่จะเป็นแบบอย่างให้กับผู้ชายชาวเจียง แต่ทำไมถึงได้ทำผิดวิสัยและรินน้ำชาให้หลินซีเหยียนเช่นนี้เล่า?”
ต่อหน้าต่อตาทุกคนเจียงหวายเย่ก็ได้หยิบองุ่นขึ้นมา แล้วเด็ดพร้อมกับส่งเข้าปากของหลินซีเหยียน ซึ่งหลินซีเหยียนก็ได้กินแต่โดยดี
จากนั้นเจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่ผู้คนแล้วถาม “เมื่อสักครู่เขาพูดว่าอย่างไรนะ? ใครก็ได้ช่วยพูดอีกทีสิพอดีเปิ่นหวางไม่ได้ตั้งใจฟัง”
มือของหลินรั่วจิ่งที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อยาวๆของนางนั้นก็ได้กำแน่นขนัด นางนั้นไม่รู้เลยว่าเล็บของนางได้แทงทะลุเข้าไปในเนื้อของนางแล้ว นางนั้นยอมรับว่าตัวนางนั้นอิจฉา หลินซีเหยียนจริงๆ
เจียงหวายเย่นั้นเป็นผู้ชายที่เข้มแข็งและพึ่งพาได้ อีกทั้งยังงดงามมากและยังเอาใจใส่ผู้หญิง ซึ่งผู้ชายที่ดีเช่นนี้ หลินซีเหยียนกลับได้ไปเป็นคู่ด้วย ก็เหมือนกับหลินซีเหยียนนั้นได้เปรียบนางอย่างมากแล้ว
ชวีหย่วนซานก็ได้มีสีหน้าไม่ดีขึ้นมา เมื่อเห็นว่ามหาอุปราชนั้นไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะคิดเช่นไร เขาจึงได้นั่งลงและเลิกทำร้ายตัวเอง
แต่ทว่าในเวลานี้ดูเหมือนปัญญาของเฉิงซีเหอนั้นจะไม่ทำงาน นางจึงได้พูดซ้ำกับที่ชวีหย่วนซานกล่าว
เจียงหวายเย่ก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ยินดีและกล่าว “มันเป็นโชคดีในชีวิตของเปิ่นหวางแล้วที่ได้พบกับ เสี่ยวเหยียนเอ๋อ มันแน่นอนอยู่แล้วที่เปิ่นหวางอยากที่จะเอาใจนาง ต่อให้นางบอกว่าต้องการหัวใจของเปิ่นหวาง เปิ่นหวางก็ยินดีที่จะมอบให้นาง”
คำพูดเช่นนี้ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อผู้คนที่อยู่ที่นี่ ก่อนหน้านี้เหล่าคุณชายนั้นเชื่อว่าผู้หญิงนั้นเหมือนกับเสื้อผ้าที่พวกเขาสามารถเปลี่ยนได้ตามที่พวกเขาต้องการ แต่ในเวลานี้ได้มีคนที่บอกกับพวกเขาว่าพวกเขานั้นควรที่จะเอาใจพวกผู้หญิงบ้าง
มันคงจะไม่เป็นไรถ้าคนที่พูดนั้นเป็นแค่คนธรรมดา พวกเขาก็คงจะคิดว่าก็แค่อีกฝ่ายนั้นไม่มีเงินที่จะเลี้ยงดูผู้หญิงเยอะๆเท่านั้น แต่กลับกลายเป็นมหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่เป็นคนพูดเอง!
เป็นไปได้ว่าหลินซีเหยียนนั้นจะต้องมีเวทมนตร์อะไรบางอย่างเป็นแน่ ถึงได้ล่อลวงให้คนอย่างมหาอุปราชมาถึงจุดจุดนี้ได้
ในขณะที่คิดเช่นนี้สายตาของผู้คนก็ได้จับจ้องไปที่ หลินซีเหยียน แล้วพวกเขาก็พบสาวงามในชุดสีม่วงซึ่งเป็นชุดสีเดียวกันกับมหาอุปราช และหลินซีเหยียนเองก็มีรูปโฉมและบรรยากาศที่โดดเด่น และทุกท่วงท่าของนางก็ดูเหมือนกับรูปวาดสีน้ำที่มีค่ามหาศาล ต่อหน้าสาวงามเช่นนี้ต่อให้เป็นพวกเขา บางทีพวกเขาก็อาจจะทำเช่นนั้นเหมือนกัน
เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาของผู้คนมากมายแล้ว สีหน้าของเจียงหวายเย่ก็ได้ดำมืดขึ้นมา แล้วกวาดสายตาที่กระหายเลือดออกไปรอบๆ และผู้คนรอบตัวก็ได้พากันรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาทันทีและรีบหลบสายตาทันที
ในเวลานี้เองที่ฮ่องเต้และไทเฮาก็ได้เข้ามามีบทบาท ฮ่องเต้นั้นแม้จะยังเด็กแต่เขาก็มีความเป็นผู้ใหญ่มากและรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆในงานเลี้ยง จึงได้กล่าวออกมา “เกิดอะไรขึ้นก่อนที่ข้าจะมาอย่างนั้นเหรอ?”
เจียงหวายเย่ก็ได้ลุกขึ้นยืนและทำความเคารพด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา “ถวายบังคมฝ่าบาท เมื่อสักครู่ไม่มีอะไรก็เกิดขึ้นหรอกพ่ะย่ะค่ะ ก็แค่มีคนดูหมิ่นเสี่ยวเหยียนเอ๋อของข้าเท่านั้น ข้าจึงอยากให้ฮ่องเต้ช่วยเร่งออกคำสั่งและเลือกวันมงคลสมรสให้ข้ากับเสี่ยวเหยียนเอ๋อด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ก็ได้ผงกหัวแล้วหัวเราะออกมา “นับเป็นเรื่องดี เอาไว้ข้าจะจัดงานสมรสของท่านมหาอุปราชให้หลังจากนี้นะ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” หากหน้ากากหยกขาวของ เจียงหวายเย่ใสแล้วล่ะก็ มันก็คงจะเป็นอะไรที่มีค่ามากเพียงแค่มองผ่านๆ ซึ่งสามารถปลดปล่อยบรรยากาศของเจียงหวายเย่ออกมาได้
“ถ้าข้าจำไม่ผิด ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ท่านมหาอุปราชนั้นสนิทสนมอย่างมากกับองค์หญิงรั่วจิ่งหรอกเหรอ?”
“จริงด้วย แต่ในความคิดของข้านะ น่าจะเป็นองค์หญิงรั่วจิ่งมากกว่าที่จะคิดหมายปองท่านมหาอุปราชน่ะ แต่ตอนนี้ หลินซีเหยียนก็ได้เป็นพระชายาแล้ว ก็หมายความว่าองค์หญิงรั่วจิ่งก็ต้องเป็นนางสนมน่ะสิ?”
“พูดอะไรเหลวไหล ลำพังฐานะขององค์หญิงแล้วและยังความสามารถของนางอีก คงเป็นเรื่องยากที่จะได้เป็นแค่อนุน่ะ”
ในขณะที่ผู้คนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ฮ่องเต้ก็ได้กล่าวเปิดงานเสร็จเรียบร้อย แล้วจากนั้นก็ได้ยิ้มและกล่าว “มันเป็นเรื่องยากนักที่เราจะได้มาสนุกกันอย่างในวันนี้ และพี่สาวของเราองค์หญิงเหวินจวินจะออกมาเล่นพิณให้พวกท่านได้ฟังสักหนึ่งบทเพลง”
“องค์หญิงเหวินจวินก็จะมาเข้าร่วมด้วยอย่างนั้นเหรอ?” ชวีหย่วนซานมีสีหน้าตกตะลึง อย่างที่รู้กันหากไม่นับผู้ที่แต่งงานแล้ว รัฐเจียงยังเหลือองค์หญิงที่งดงามสุดๆอยู่อีกคนในเมืองหลวง
ว่ากันว่าองค์หญิงนั้นมีใบหน้าที่งดงามไร้ที่ติ อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ที่ล้ำเลิศในด้านการเล่นพิณ และยังมีสายเลือดของราชวงศ์อีก ซึ่งต่างไปจากองค์หญิงครึ่งๆกลางๆอย่างองค์หญิงหลินรั่วจิ่ง
ในขณะที่ผู้คนกำลังเต็มไปด้วยความคาดหวังอยู่นั้น ก็ได้มีสาวงามที่ราวกับพระจันทร์ทรงกลด ซึ่งสวมผ้าปิดหน้าของนางเอาไว้แล้วถือเอาพิณหางไหม้ในตำนานไว้ในมือของนาง ปรากฏตัวออกมาต่อหน้าผู้คนที่กำลังเร่าร้อน
ในชั่วขณะนั้นเอง ผู้คนต่างก็พากันเงียบสนิทด้วยความกลัวว่าจะไปทำลายภาพที่งดงามนั้น
ทุกท่วงท่าของสาวงามคนนั้นล้วนแต่งดงามและสูงส่ง ซึ่งทั้งสองสิ่งได้หลอมรวมเข้าไปในกระดูกและเลือดของนางแล้ว แล้วนางก็ได้นั่งลงบนเวทีแล้วเริ่มบรรเลงบทเพลงโดยไม่รีรอ
แล้วนางก็ได้หลับตาลงพร้อมด้วยเสียงที่บรรเลงที่ก้องกังวานออกมาจากพิณตัวนั้น ขนตายาวๆของนางนั้นราวกับพัดอันเล็กๆ เมื่อสั่นไหวยามที่กะพริบตาก็ได้ทำให้หัวใจของผู้คนต้องรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา
หลินรั่วจิ่งก็ได้จ้องมองไปที่คนบนเวทีที่น่าทึ่งคนนั้น ด้วยสีหน้าที่น่ากลัวบนใบหน้าของนาง เดิมทีนางนั้นคิดว่าตัวเองนั้นยอดเยี่ยมแล้ว แต่ในเวลานี้ทันทีที่องค์หญิงตัวจริงปรากฏตัว นางก็ได้รู้ว่ามันช่างเป็นการประชดประชันกันเพียงใดเมื่อเปรียบเทียบกับตัวนาง
ในชั่วขณะนั้นเองที่หลินรั่วจิ่งรู้สึกว่าความพยายามทั้งหมดของนางนั้นสูญเปล่า ทุกคนจะจดจำเพียงแค่ว่าที่นี่มี องค์หญิงตัวจริงอยู่ในรัฐเจียงอยู่แล้ว และคนคนนั้นก็คือ เจียงเหวินจวิน