หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 326 ผู้คุ้มกันเยี่ยจุนเจี๋ย
บทที่ 326
ผู้คุ้มกันเยี่ยจุนเจี๋ย
ณ เวลานี้วันที่เขารอคอยในที่สุดก็ได้มาถึง แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้แล้ว เขาก็ได้รู้สึกไม่พอใจขึ้นมา เพราะตัวเขานั้นชอบหลินซีเหยียนมาก
เขานั้นไม่สนใจอดีตของหลินซีเหยียนและต้องการที่จะกลับไปที่รัฐจงพร้อมกับหลินซีเหยียน
แต่น่าเสียดายที่เจ้าตัวกลับไม่ต้องการที่จะไปด้วย
เมื่อจงซู่เฟิงนึกถึงตอนที่เจียงหวายเย่จูงมือของ หลินซีเหยียนจากไปเมื่อคืนนี้แล้ว ก็ได้มีแววตาที่มืดมนปรากฏในดวงตาของเขา ที่แม่นางหลินชอบอีกฝ่ายนั้นจะต้องเป็นเพราะเจียงหวายเย่นั้นเป็นมหาอุปราชแน่ๆ ถ้าหากนางรู้ว่าตัวเขานั้นสามารถขึ้นครองราชย์บัลลังก์ได้ ตัวเขาจะต้องได้หลินซีเหยียนมาครองอย่างแน่นอน
เมื่อจงซู่เฟิงคิดได้เช่นนี้แล้ว ตัวเขาก็พร้อมที่จะเดินทางทันที
“องค์ชาย ไม่ทราบว่าซู่เฟิงอยากจะขออะไรท่านหน่อยได้ไหม? ท่านพอจะหาคนมาคอยช่วยคุ้มกันเรากลับรัฐจงหน่อยได้ไหม?”
ในเวลานี้เขายังเป็นแค่องค์ชายที่น่าสงสาร ต่อหน้ามหาอุปราชผู้ยิ่งใหญ่แล้ว เขาทำได้แค่ต้องถวายบังคมอย่างเศร้าๆด้วยความเคารพ
เจียงหวายเย่ก็ได้จ้องไปที่เขาแล้วกล่าว “องค์ชายจงวางใจได้เราจะส่งแม่ทัพไปคอยคุ้มครองท่าน ท่านจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน”
ในตอนบ่ายจงซู่เฟิงก็ได้เดินทางไปที่ประตูเมืองพร้อมกับเหลยถิงแล้วก็พบกับเยี่ยจุนเจี๋ย
เขาจึงได้ทำการคารวะอีกฝ่ายทันที “เราไม่คิดว่าผู้ที่อุตส่าห์ลำบากไปกับเราในการเดินทางครั้งนี้จะเป็นท่านแม่ทัพเยี่ย”
เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้ผงกหัวตอบ ท่าทีของเขานั้นแม้จะดูห่างเหินไปบ้างแต่ก็ทำด้วยความเคารพ เยี่ยจุนเจี๋ยนั้นนึกถึงสิ่งที่ เจียงหวายเย่ได้บอกกับเขาเอาไว้ ภารกิจที่เขาแบกเอาไว้บนบ่าในครั้งนี้มันช่างหนักหนานัก เพราะไม่เพียงแต่เขาจะต้องคุ้มครองจงซู่เฟิงกลับโดยปลอดภัยเท่านั้น
เขายังจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่รัฐจงต่อเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อเป็นการสื่อสารไปยังองค์ชายในรัฐจงทุกคนว่า หากองค์ชายคนไหนยอมที่จะมอบข้อเสนอที่ดีที่สุดให้กับรัฐเจียงแล้ว ทางรัฐเจียงจะเป็นคนคอยหนุนหลังที่แข็งแกร่งให้อย่างแน่นอน
ในเวลานี้จงซู่เฟิงนั้นยังไม่รู้ถึงความยากลำบากที่เขาจะต้องเผชิญ เขานึกเยี่ยจุนเจี๋ยนั้นเป็นแค่คนที่รัฐเจียงส่งมาช่วยเขาเท่านั้น
หลังจากที่มองส่งจงซู่เฟิงกับเยี่ยจุนเจี๋ยจากไปแล้วนั้น เจียงหวายเย่ก็ได้รีบเดินทางไปที่วังหลวง ในเวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรที่สำคัญไปกว่าการทำให้เทียนเอ๋อนั้นเป็นทายาทสืบสกุลของเขาแล้ว
ณ พระราชวังหลวง เพราะองค์รัชทายาทที่ขึ้นครองราชย์บัลลังก์นั้นเป็นคนที่ชื่นชอบอะไรที่เรียบง่าย วังหลวงจึงได้เกิดการปรับปรุงครั้งใหญ่ขึ้น และไม่ได้มีภาพลักษณ์ที่ดูเว่อร์วังเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่ถึงแม้ว่าในเวลานี้มันจะดูเรียบง่าย แต่ก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงความงดงามอยู่
“ไม่ทราบว่าเสด็จอามาหาข้าในเวลานี้มีธุระอะไรหรือเปล่า?”
เจียงเจิ้งเฉิงที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรนั้นกำลังถือเอกสารที่ส่งให้มาโดยเหล่าขุนนางอยู่ในมือของเขา และไม่ได้มีแค่แผ่นเดียว ที่ด้านขวามือของฮ่องเต้นั้นยังมีเอกสารอีกสามกองตั้งอยู่อย่างเรียบร้อย
เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่รอยช้ำที่อยู่ใต้ตาของฮ่องเต้วัยเยาว์จึงได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ท่านยังเยาว์วัยอยู่ ท่านไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองขนาดนั้นก็ได้”
เจียงเจิ้งเฉิงก็ได้หลับตาลงเพื่อเก็บซ่อนอารมณ์ในดวงตาของเขา จากนั้นก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่แล้วกล่าว “เสด็จอาแม้ว่าท่านจะรอเราได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเหล่าขุนนางและผู้คนน้อยใหญ่ในเมืองหลวงจะรอเราได้”
เจียงหวายเย่ก็ได้ถอนหายใจออกมา ในเวลานี้ตัวเขาเองก็เป็นพ่อคนแล้ว เขาจึงได้รู้สึกสงสารองค์รัชทายาทที่ต้องมาขึ้นครองราชย์ทั้งๆที่อายุยังไม่ถึงวัยเข้าพิธีเป็นผู้ใหญ่เลย เขาจึงได้พูดเขาเรื่องตรงๆ “ฝ่าบาท เกรงว่าท่านเองก็น่าจะได้ยินข่าวเรื่องของเรามาแล้วบ้าง วันนี้เราจึงได้มาแจ้งท่านด้วยตัวเองว่าเราจะให้เทียนเอ๋อนั้นเป็นทายาทสืบสกุลของเราอย่างถูกต้อง”
สำหรับเทียนเอ๋อแล้วเจียงเจิ้งเฉิงนั้นรู้สึกชอบเขา จึงได้ตกลงเห็นด้วยโดยไม่ต้องขออะไรมาก” เทียนเอ๋อนั้นไม่เพียงแต่จะมีสายเลือดของราชวงศ์เจียงแล้วของเราแล้ว แต่ยังเป็นลูกแท้ๆของเสด็จอาอีก จึงเป็นเหตุผลที่ดีที่จะรับเขามาเป็นทายาทสืบสกุลของท่าน”
“ขอบพระทัย”
หลังจากที่เรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว เจียงหวายเย่ก็ได้เริ่มทำการเตรียมการต่างๆมากมาย
แล้วข่าวเรื่องที่มหาอุปราชมีลูกชายแล้วก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองหลวง และในขณะเดียวกัน ไทเฮาที่อยู่ในตำหนักในก็ได้ทราบเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
“เจียงหวายเย่นั้นจะตายวันตายพรุ่งอยู่แล้ว ไม่นึกว่าจะมามีทายาทเอาตอนนี้อีก” คำพูดขององค์ไทเฮานั้นเต็มไปด้วยความหมายที่ประชดประชัน เพราะตัวนางนั้นมีตระกูลชวีคอยหนุนหลังนางอยู่ ฮ่องเต้องค์ก่อนหน้าจึงได้พยายามทุกวิถีทางที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้นางมีลูก
ไม่อย่างนั้นนางคงไม่ได้อยู่เงียบๆในตำหนักในมานานขนาดนี้ ป่านนี้นางคงได้ก่อกบฏไปนานแล้วและผลักดันให้ลูกของนางขึ้นครองบัลลังก์
แต่มันก็สายไปแล้วที่จะมาพูดเรื่องนั้นในเวลานี้
“อย่าได้หัวเสียไปเลยเพคะไทเฮา บางทีอาจจะเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่องค์ชายรัตติกาลมีลูกนะเพคะ”
ชิวฉุ่ยที่คอยติดตามรับใช้ไทเฮาอยู่ตลอดนั้น ก็ได้ปลอบไทเฮาด้วยการบีบนวดไหล่ของนาง “พระมหาอุปราชนั้นมักเป็นคนที่ทำอะไรไร้จุดบอดอยู่เสมอ และไม่เคยแม้แต่จะเผยจุดอ่อนให้ได้เห็น แต่ในเวลานี้องค์ชายน้อยคนนั้นอาจจะกลายมาเป็นจุดอ่อนของเขาก็ได้”
“สมกับเป็นชิวฉุ่ยที่ยังสามารถเยือกเย็นอยู่ได้” ไทเฮาก็ได้มองไปที่ชิวฉุ่นด้วยความชื่นชม แล้วจากนั้นก็ได้ถอดกำไลที่ข้อมือของนางออกแล้ววางเอาไว้ในมือของชิวฉุ่ย
“ไทเฮาเพคะ กำไลข้อมืออันนี้มันออกจากมากเกินไปที่จะให้ชิวฉุ่ยนะเพคะ”
แต่ไทเฮานั้นมีอำนาจมากกว่า นางได้เผยรอยยิ้มพร้อมด้วยรอยย่นบนใบหน้าของนาง ก็ได้แสดงถึงความน่ากลัวออกมา “จากที่ชิวฉุ่ยว่ามา เจ้าว่าตัวข้านั้นควรที่จะทำเช่นไรดี?”
ชิวฉุ่ยก็ได้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจากนั้นก็กล่าว “ไทเฮาก็จัดงานเลี้ยงขึ้นที่วังหลวง แล้วก็เชิญเหล่าขุนนางและท่านมหาอุปราชมา แล้วก็อนุญาตให้พวกเขาพาครอบครัวของเขามาได้ด้วย แล้วเมื่อถึงตอนนั้นต่อให้เราลักพาตัวองค์ชายน้อยไปก็ไม่มีใครคิดว่าเป็นฝีมือพวกเราแล้วเพคะ?”
“แผนการนี้มันจะไม่โจ่งแจ้งไปหน่อยเหรอ?”
“ไทเฮาอย่าลืมสิเพคะ ว่าเรายังมีองค์หญิงรั่วจิ่งไว้ใช้สอยอยู่น่ะเพคะ” แล้วเสียงของชิวฉุ่ยก็ได้เบาลงแต่กลับแฝงไปด้วยบรรยากาศที่เยือกเย็นออกมา
“เอาตามที่เจ้าว่า!” ภายใต้การออกคำสั่งขององค์ไทเฮา ชิวฉุ่ยก็ได้ไปหาองค์หญิงรั่วจิ่ง ซึ่งไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้พูดถึงเรื่องที่มหาอุปราชได้ให้ความสำคัญกับองค์ชายน้อยอย่างมาก
และยังพูดถึงเรื่องที่การมีลูกนั้นจะช่วยสร้างฐานะให้กับตัวเองด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อเป็นการล่อลวงหลินรั่วจิ่งให้มีความคิดเรื่องของการเปลี่ยนข้าวสารให้กลายเป็นข้าวสุก
เมื่อพูดคุยกันเสร็จสิ้นแล้ว ชิวฉุ่ยก็ได้บอกลาด้วยความพึงพอใจอย่างมาก “ข้าหวังว่าองค์หญิงนั้นจะไปร่วมงานเลี้ยงที่วังหลวงในอีกสองวันให้หลังนะเพคะ”
หลินรั่วจิ่งก็ได้ยิ้มและไปส่งชิวฉุ่ยถึงหน้าประตูจวนมหาเสนาบดี ด้วยท่าทีที่เป็นมิตรมาก แล้วนางก็ได้กล่าว “ช่างเป็นเกียรติของรั่วจิ่งมากที่จะได้ร่วมงานเลี้ยงของไทเฮา ตัวข้านั้นจะไม่ไปร่วมงานได้เช่นไรกัน”
หลังจากที่นางได้คำตอบแล้ว ชิวฉุ่ยก็ได้จากไป
หลินรั่วจิ่งที่อยู่หน้าประตูจวนมหาเสนาบดีนั้นก็ได้เผยรอยยิ้มบนใบหน้าของนาง “ถ้าหากว่าข้าจะเป็นคนลงมือจริงๆแล้ว จะต้องไม่ใช่เพราะแผนการของใครบางคนอย่างแน่นอน และไม่แม้กระทั่งองค์ชายด้วย”
องค์มหาอุปราชนั้นเป็นชายที่ยิ่งใหญ่และจะไม่มีใครที่มาขัดขวางเขาได้ ต่อให้ข้าวางแผนที่จะควบคุมอีกฝ่ายจริงๆ ต่อให้ข้าตั้งท้องและมีลูกกับอีกฝ่ายได้ อีกฝ่ายก็จะไม่ลังเลและสงสารตัวนางอย่างแน่นอน
“ไทเฮาท่านนั้นวางแผนมาดีก็จริง แต่ในท้ายที่สุดท่านก็จะพบว่าที่ท่านทำไปทั้งหมดเป็นเพียงการทำชุดแต่งงานให้กับอีกฝ่ายเท่านั้น” ที่ริมฝีปากของหลินรั่วจิ่งก็ได้เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่คาดการณ์ไว้แล้ว
คำพูดเบาๆนั้นก็ได้ลอยผ่านไปตามสายลม และไม่มีใครล่วงรู้ว่าองค์หญิงที่ใจดีในสายตาของพวกเขานั้นเป็นคนที่เต็มไปด้วยแผนการและผลประโยชน์
เมื่อพูดถึงมหาปราชญ์เสียนอวิ๋นแล้ว ถึงแม้ว่าตัวเขานั้นจะชาญฉลาดมากก็ตามแต่เขาก็เคยมายุ่งในเรื่องของราชสำนักเลย จะโผล่มาช่วยก็แค่ตอนที่ผู้คนทุกข์ยากเท่านั้น
คนอย่างมหาปราชญ์เสียนอวิ๋นผู้ที่ละทิ้งเรื่องของลาภยศและชื่อเสียง และใช้ชีวิตเยี่ยงนกกระสาในภูเขานั้น ทำไมถึงได้สั่งสอนลูกศิษย์เช่นนี้ได้? ซึ่งกว่าจะรู้ตัวก็คงสายไปเสียแล้ว!
ในเวลาบ่ายหลินซีเหยียนก็ได้รับจดหมายเชิญมาเช่นกัน แล้วนางก็ได้เอาจดหมายนั้นให้กับเจียงหวายเย่ แล้วก็ได้มีสายตาครุ่นคิดขึ้นมาในดวงตาของเจียงหวายเย่แล้วจากนั้นก็ได้กล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล “ถ้าเจ้าไม่อยากที่จะไปก็ไม่ต้องไปก็ได้นะ อย่าได้ฝืนตัวเองเลย”