หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 325 ปล่อยเสือกลับเข้าป่า
บทที่ 325
ปล่อยเสือกลับเข้าป่า
เจียงหวายเย่ก็ได้จ้องไปที่ใบหน้าของหลินซีเหยียนอย่างตั้งใจ เพราะเขาเองก็อยากที่จะรู้ว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นจะตอบกลับมาเช่นไร นางจะยกโทษให้กับความไร้ความรับผิดชอบของเขาไหม?
ไม่ใช่แค่เจียงหวายเย่ที่สนใจเรื่องนี้เพียงลำพัง แต่ เยี่ยจุนเจี๋ยกับทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็สนใจกับตัวเลือกของ หลินซีเหยียนเช่นกัน
ท่ามกลางสายตาของผู้คนแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้หันหน้าไปหาเทียนเอ๋อ แล้วลูบหัวของเขาและบอก “แน่นอนสิว่าต้องเรียกพ่อ แล้วเจ้าก็จะได้รับสืบทอดวังรัตติกาลยังไงล่ะ”
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นทำให้เรารู้สึกประหลาดใจได้ตลอดจริงๆ”
แม้เจียงหวายเย่ก็รู้สึกช่วยไม่ได้ แต่เขาก็รู้สึกพึงพอใจมากกับคำตอบนี้
เมื่อได้ยินที่หลินซีเหยียนกล่าว สายตาของเทียนเอ๋อก็เต็มไปด้วยแสงสายรุ้ง แน่นอนว่าเทียนเอ๋อนั้นก็ได้เริ่มคิดคำนวณเงินในใจแล้ว ทั้งแม่ทั้งลูกนั้นล้วนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเลยทีเดียว
เทียนเอ๋อก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่ด้วยรอยยิ้มที่สดใสแล้วเรียก “ท่านพอ”
ทันทีที่เจียงหวายเย่ได้ยินเช่นนี้ เขาก็ได้รีบตอบรับแล้วจากนั้นก็ได้อุ้มเทียนเอ๋อขึ้นมาไว้ในอ้อมกอดของเขาแล้วกล่าว “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว พ่อจะพาเจ้ากับแม่ของเจ้าไปพักผ่อน”
“เดี๋ยวก่อน”
ในขณะที่พ่อแม่ลูกกับมีความสุขกันอยู่นั้น จู่ๆก็ได้มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาขัดกลางปล้อง ซึ่งเมื่อหันหน้ากลับไปและมองไปยังที่มาของเสียงก็พบว่าเป็นหลิวซินหรู ผู้หญิงที่ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
ในเวลานี้ตัวนางนั้นได้ใครบางคนช่วยประคองให้ลุกขึ้นยืน และสายตาที่มุ่งร้ายของนางก็ได้จับจ้องไปที่หลินซีเหยียนแล้วจากนั้นนางก็ได้กล่าวออกมาอย่างปวดใจ “องค์ชาย ผู้หญิงคนนี้นางยอมอยู่กับท่านเพราะหวังในเงินของท่านเท่านั้น ทำไมท่านถึงได้ไม่เข้าใจ?”
คำถามนี้ต่างก็เป็นเสียงในหัวใจของทุกคนที่อยู่ในที่นี้เช่นกัน เพราะสิ่งที่หลินซีเหยียนพูดออกมานั้นนางพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาและไม่มีการปิดบังเลยแม้แต่น้อย ทำไมผู้หญิงชั้นต่ำเห็นแก่เงินอย่างนางนั้นถึงได้ผู้ชายที่ยอดเยี่ยมที่สุดในรัฐเจียงไปครองกัน
มันช่างไม่ยุติธรรมกับพวกนางเลย
เจียงหวายเย่ก็ได้หยุดเดินแล้วหันมามองที่พวกนางด้วยสายตาที่หนาวเย็นในดวงตาของเขา “ก็บังเอิญว่าเปิ่นหวางมีในสิ่งที่เสี่ยวเหยียนเอ๋อชอบพอดี ช่างถือเป็นเกียรติของเปิ่นหวางนัก”
เดิมทีคำพูดของหลิ่วซินหรูนั้นก็เพื่อปกป้องเจียงหวายเย่จากความไม่ยุติธรรม แต่ก็ไม่นึกว่าอีกฝ่ายนั้นจะไม่สำนึกบุญคุณนางเลย
ในขณะที่นางอยากที่จะพูดอะไรบางอย่างออกไปนั้นเอง หลินซีเหยียนก็ได้มองมาที่อีกฝ่ายด้วยสีหน้าที่เย้ยหยันแล้วกล่าว “ข้าก็ไม่ได้คิดว่าข้าพูดอะไรผิดนักหรอกนะ เพราะไม่ช้าหรือเร็ววังรัตติกาลก็จะต้องตกเป็นของเทียนเอ๋อ และของเทียนเอ๋อก็จะเป็นของของข้า”
หลังจากที่ได้ยินประโยคที่ชั่วร้ายอย่างสุดๆนี้ หลิวซินหรูก็ได้มีอาการตาเหลือกแล้วก็สลบไปด้วยความโกรธ
หลินรั่วจิ่งนั้นก็ชอบเจียงหวายเย่ ในเวลานี้นางจึงได้รู้สึกอิจฉายิ่งนักเพียงแต่นางไม่ได้แสดงออกบนสีหน้าของนาง เพราะในใจของนางนั้นรู้สึกว่าตัวนางเองยิ่งใหญ่เหนือใครอยู่ตลอด ซึ่งเมื่อเทียบกับหลินซีเหยียนแล้ว เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว
“ท่านพี่ ผู้ยิ่งใหญ่ไม่ควรที่จะคาดคั้นเอาผิดกับผู้น้อย ถ้าหากท่านพี่พูดเช่นนี้ต่อไป แม่นางหลิวอาจจะไม่ใช่แค่สลบไปแต่คงได้กระอักเลือดด้วยเป็นแน่”
หลินรั่วจิ่งก็ได้เข้าไปประคองหลิวซินหรู ใบหน้าเล็กๆที่ซีดเผือดของนางนั้นก็อยากที่จะพูดอะไรต่อแต่ก็ล้มเลิกไป
หลินซีเหยียนนั้นเป็นพี่สาวของนาง ในฐานะน้องสาวแล้วนางไม่ควรที่จะกล่าวโทษพี่สาวของนาง และหลิวซินหรูนั้นก็เป็นเพื่อนของนาง นางก็ไม่อาจที่จะทนเห็นเพื่อนของนางถูกทำร้ายไปมากกว่านี้ได้ นางจึงไม่สมควรที่จะพูดอะไรออกไปมากกว่านี้
นางจึงทำได้แค่กัดริมฝีปากแดงๆของนางอย่างช่วยไม่ได้ จนทิ้งเอาไว้ซึ่งรอยสีขาว แล้วเหล่าคุณชายรอบๆก็ได้พากันจ้องไปที่หลินซีเหยียนอย่างโมโห โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายนั้นจะได้รับการปกป้องโดยเจียงหวายเย่หรือไม่
“หลินซีเหยียน จิตใจของเจ้าช่างเหมือนกับงูกับแมงป่องนัก แม่นางหลิวพูดใส่เจ้าแค่นิดหน่อย แต่นี่เจ้ากลับทำนางถึงกับสลบไป จิตใจเจ้าช่างอำมหิตเกินไปแล้ว”
ชวีหย่วนซานกล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเที่ยงธรรม ถึงแม้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นออกจะกล่าวเกินจริงไปเสียหน่อย แต่คนอื่นๆก็ไม่ได้โต้แย้งอะไร
“อำมหิตอย่างนั้นเหรอ?” หลินซีเหยียนนั้นกำลังรั้งตัวเทียนเอ๋อที่ไม่อยู่สุขเอาไว้ เพราะเทียนเอ๋อนั้นคิดที่จะทำให้มือของเขาแปดเปื้อนเสียหน่อยเพื่อที่จะจัดการกับคนสารเลวที่อยู่ตรงหน้าเขา แล้วนางก็ได้ค่อยๆเดินไปหาชวีหย่วนซาน
โดยไร้ข้อกังขาใดๆหลินซีเหยียนนั้นคือหญิงสาวที่เกิดมาพร้อมกับความงามในยามที่นางโกรธจริงๆ หลังจากที่เดินมาเพียงแค่ไม่กี่ก้าว อีกฝ่ายก็ถึงกับหลงใหลในสิ่งที่อยู่ภายใต้กระโปรงของหลินซีเหยียน
“จากที่ท่านกล่าวมา ข้านั้นควรที่จะยืนเฉยๆอยู่ที่นี่แล้วปล่อยให้หลิวซินหรูดูถูกและพวกท่านข่มเหงข้าอย่างนั้นเหรอ?”
หลังจากที่พูดจบ นางก็ได้จากไปพร้อมกับเจียงหวายเย่แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว หลินซีเหยียนก็ได้หยุดเดิน แล้วหันไปมองด้านหลังแล้วกล่าว “ข้าแนะนำให้พวกเจ้าทุกคนรู้จักมองดูตัวเองให้ดีก่อนนะ แล้วหลังจากนั้นพวกเจ้าจะต่อว่าข้ายังไงก็เชิญ”
จากนั้นเสียงพูดที่ฟังดูชาญฉลาดมาก็ได้เข้ามาในหูของทุกคนต่อ “และขอบอกพวกเจ้าทุกคนเอาไว้ ต่อจากนี้ไปองค์ชายรัตติกาลจะเป็นของข้าแล้ว ถึงข้าจะน่าอิจฉาเพียงใด แต่ข้าก็หวังให้พวกเจ้านั้นล้มเลิกความคิดอันเปล่าประโยชน์พวกนั้นได้แล้ว”
จนกระทั่งแผ่นหลังของหลินซีเหยียนลับตาไป หลินรั่วจิ่งยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
นางนั้นรู้สึกได้ว่าหลินซีเหยียนนั้นพูดถึงตัวนางอยู่ นางจึงได้ก้มหน้าลง และดวงตาของนางก็ได้ดำมืดมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไม่พอใจของนางอย่างชัดเจน
เยี่ยจุนเจี๋ยที่รู้สึกว่าไม่สะดวกที่จะอยู่ที่จวนมหาเสนาบดีต่อนั้น เขาจึงได้กลับไปที่บ้านเพื่อรายงานเรื่องนี้ไอ้ผู้อาวุโสทราบในคืนนั้นทันที ชะตากรรมของลูกพี่ลูกน้องของเขานั้นเกี่ยวพันไปถึงจวนแม่ทัพเจิ้นกว๋อ
แล้วการตอบสนองของแม่ทัพเฒ่ายามที่ได้ทราบเรื่องนี้ก็มีสีหน้าไม่ยินดีขึ้นมาแล้วกล่าว “เหลนของข้าเป็นลูกชายของเจียงหวายเย่อย่างนั้นรึ?”
เรื่องนี้ยังไม่จบลงง่ายๆ เมื่อหลินซีเหยียนกับครอบครัวของนางกลับมาถึงเรือนเชียนเหยียนแล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ไล่เทียนเอ๋อให้ไปนอนก่อน แล้วนางก็ได้พูดคุยกับเจียงหวายเย่เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ๆ
จนในท้ายที่สุดหลินซีเหยียนก็ได้ยอมให้เทียนเอ๋อนั้นเป็นทายาทสืบสกุลของเจียงหวายเย่ และเขาก็ได้สัญญาว่าจะจัดงานแต่งกับหลินซีเหยียนให้อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งหลินซีเหยียนก็ได้บอกแค่ว่าจะลองคิดดูอีกที
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เจ้าเชื่อเปิ่นหวางเถอะนะ เปิ่นหวางไม่รู้จริงๆว่าคนในคืนนั้นคือเจ้า ไม่อย่างนั้นเปิ่นหวางก็คงจะรับผิดชอบเจ้าไปแล้ว”
เมื่อได้ยินที่เจียงหวายเย่กล่าว หลินซีเหยียนก็รู้สึกสับสนมากขึ้นเรื่อยๆในใจของนาง
ถ้าหากเจียงหวายเย่นั้นรู้ว่าเป็นหลินซีเหยียนตั้งแต่แรก บางทีหลินซีเหยียนก็คงจะไม่ตายเพราะคลอดลูกยาก แล้วตัวนางจะได้มาอยู่ที่นี่เหรอ?
บางทีเรื่องเหล่านี้อาจจะถูกกำหนดเอาไว้แล้ว เพราะเจียงหวายเย่นั้นไม่รู้เรื่องนี้ จึงได้มีโอกาสให้นางได้มาพบกับเขา
ในวันต่อมา เจียงหวายเย่ก็ได้ไปที่ตำหนักของจงซู่เฟิงพร้อมด้วยราชโองการของฮ่องเต้อยู่ในมือของเขา
ราชโองการนั้นถือเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์และน่าเกรงขาม ซึ่งไม่ว่าคนคนนั้นจะเกี่ยวข้องอะไรกับจวนมหาเสนาบดีหรือไม่ ผู้คนในจวนมหาเสนาบดีต่างก็ต้องลงไปคุกเข่าและน้อมรับราชโองการ แน่นอนว่าคนในเรือนเชียนเหยียนนั้นเป็นข้อยกเว้น เพราะเจียงหวายเย่นั้นไม่กล้าขัดการนอนของเสี่ยวเหยียนเอ๋อ
เพราะหลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้แล้ว มีเพียงสวรรค์ที่รู้ว่าตัวเขาในเวลานี้ระแวดระวังถึงเพียงไหน ด้วยความกลัวว่าจะไปทำให้เสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นโมโหเข้า และจะพาลทำให้เจ้าตัวแสบเทียนเอ๋อนั้นไม่ยอมเคารพเขาอีกต่อไปก็ได้
เขาไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะเด็กนั้นมักไม่พูดอ้อมค้อมหรือเปล่า แต่สิ่งที่เทียนเอ๋อพูดเมื่อคืนนั้นเขายังจดจำได้ดี
“ฮ่องเต้ได้มีรับสั่งว่า เนื่องจากพระวรกายของฮ่องเต้จงที่ชราภาพและอ่อนแอลง เราจึงได้อนุญาตให้องค์ชายจงได้กลับคืนสู่รัฐจง เพื่อให้เขาได้กลับไปรับใช้ฮ่องเต้จง และหวังให้ท่านจงจำความปรารถนาดีของรัฐเจียงเอาไว้และประสบความสำเร็จในอนาคต เพื่อสร้างสันติสุขให้บังเกิดขึ้นระหว่างรัฐจงและรัฐเจียง”
“จงซู่เฟิงน้อมรับราชโองการ”
จากในวันที่เขาได้ไปหาเจียงหวายเย่ที่วัง จงซู่เฟิงก็รู้ดีว่าไม่ช้าหรือเร็ววันนี้ก็จะต้องมาถึง ซึ่งเขาก็ได้รออยู่แล้ว