หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 322 หมดความอดทน
บทที่ 322
หมดความอดทน
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญ หรือเป็นความลับที่คุณชายจงนั้นแอบปิดบังทุกคนกันแน่
“ชิงอวี่ไม่ต้องกังวลนะ ถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นมา เจียงหวายเย่จะจัดการเอง”
“……”
เมื่อได้ยินที่คุณหนูพูดแล้ว ชิงอวี่จึงได้ครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ก่อนหน้านี้นางนั้นสงสัยว่าทำไมนายน้อยของนางนั้นถึงได้ซุกซนนัก ไม่นึกเลยว่าที่แท้เขาได้ความสามารถที่สุดยอดเช่นนี้มาจากท่านแม่ของเขานั่นเอง
ถึงแม้นางจะคิดเช่นนั้นในใจ แต่การเคลื่อนไหวที่มือของนางก็ไม่ได้ด้อยลงไปเลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่าชิงอวี่นั้นจะเป็นผู้หญิงและสู้แรงของผู้ชายไม่ได้ก็ตามที แต่ความสามารถของนางที่ทำให้กลายมาเป็นหน่วยอันของเจียงหวายเย่ได้นั้นก็แสดงให้เห็นถึงวรยุทธ์และความสามารถของนาง
ส่วนจงซู่เฟิงนั้น แม้จะเป็นองค์ชายที่โดดเดี่ยวของรัฐจง แต่กลับสามารถเผชิญหน้ากับชิงอวี่ได้โดยไม่ยี่หระ ซึ่งจะเห็นได้จากการที่ชิงอวี่นั้นได้พยายามรับมืออย่างยากลำบาก
หลินซีเหยียนที่ยืนดูอยู่ข้างๆก็ได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความนึกสนุกที่ชั่วร้าย “ชิงอวี่เจ้าจะแพ้ไม่ได้นะ ถ้าเกิดเจ้าแพ้ล่ะพรหมจรรย์ของพวกเราคงได้เสียไปแน่ๆ”
“……..”
ด้วยคำพูดนี้ได้ทำให้ชิงอวี่ชะงักขึ้นมา แล้วจากนั้นนางก็ได้ถูกกดดันโดยจงซู่เฟิง
เมื่อหลินซีเหยียนเห็นเช่นนั้นก็ได้หุบยิ้มของนางแล้วรีบเข้าไปช่วย ในขณะที่จงซู่เฟิงไม่ทันระวังตัวอยู่นั้นเอง หลินซีเหยียนก็ได้ปักลงไปด้วยเข็มเงินในมือของนาง
ในขณะที่นางกำลังจะทำสำเร็จแล้วอยู่นั้นเอง จงซู่เฟิงก็ได้หลบไปได้อย่างว่องไว
เขามองไปที่หญิงสาวทั้งสองคนที่ยืนอยู่ห่างออกไปด้วยความอยากเข้าไปใกล้ แต่เขาก็ไม่อาจที่จะเมินความคิดอันตรายที่เขามีได้
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เขาแล้วจากนั้นก็ได้โยน ยาชิงซินให้สามเม็ด “ท่านจะรู้สึกดีขึ้นหลังจากที่ทานยานั้นเข้าไป อย่างน้อยๆท่านก็ไม่กระโดดเข้าใส่พวกเราล่ะนะ”
จงซู่เฟิงก็ได้ผงกหัว แล้วจากนั้นก็ได้มีสีหน้าที่มืดมนปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา มันช่างเป็นความคิดที่ผิดนักที่ไปร่วมมือกับหลินหัวเยว่ สงสัยผู้หญิงคนนั้นจะไปกินหัวใจหมีดีเสือมาถึงได้กล้าทำอะไรที่อุกอาจขนาดนี้
หลังจากที่ทานยาชิงซินเข้าไป เขาก็ได้สติคืนกลับมา ถึงแม้ว่าเขาจะยังรู้สึกไม่ค่อยดีอยู่นิดหน่อยแต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ฝืนทนได้
ในขณะที่เขากำลังจัดแจงเสื้อผ้าของเขาที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่เข้าทางและอยากที่จะอธิบายอยู่นั้น ก็ได้มีเสียงที่คึกคักดังมาจากข้างนอก
“ท่านพี่สาม, แม่นางชิงอวี่เสร็จหรือยัง ทุกคนกำลังรอกันอยู่นะคะ”
มันสายไปเสียแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีกันสามคนอยู่ในห้อง แต่หญิงสองชายหนึ่งกับเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อยและใบหน้าที่ร้อนผ่าวเช่นนี้ ใครเห็นก็ต้องคิดว่ากำลังทำอะไรไม่ดีกันอย่างแน่นอน
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่หน้าต่างแล้วพูดออกมาเบาๆ “ชื่อเสียงของข้ามันไม่ดีมานานแล้ว ถ้าคุณชายจงไม่อยากที่จะเข้าร่วม ท่านรีบหนีออกไปจะเป็นการดีกว่า”
จงซู่เฟิงก็รู้ดีว่านางหมายถึงอะไร แต่ทว่าเท้าของเขานั้นยังคงปักอยู่ที่พื้นและไม่ยอมขยับไปไหนแม้แต่น้อย
แล้วดวงตาสีดำมืดของเขานั้นก็ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น “เราจะรับผิดชอบแม่นางหลินเอง”
หลินซีเหยียนก็ได้มองด้วยใบหน้าที่นิ่งเฉยแล้วปฏิเสธออกมาตรงๆ “ขอบคุณสำหรับความใจดีของท่าน แต่ชื่อเสียงของซีเหยียนนั้นมันไม่ดีมานานแล้ว ท่านไม่ต้องรู้สึกผิดอันใดหรอก”
ในขณะที่จงซู่เฟิงกำลังจะพูดอะไรบางอย่างอยู่นั้นเอง ก็ได้มีเสียงเปิดหน้าต่างดังขึ้นมา แล้วเจียงหวายเย่ก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ในห้องนั้นด้วยสีหน้าที่ยินดีบนใบหน้าของเขา
เขาจ้องไปที่จงซู่เฟิงด้วยสายตาที่หนาวเย็นมาก “ทำไมคุณชายจงถึงได้อยู่ที่นี่ได้ล่ะ? จัดเก็บข้าวของเสร็จเหรอ?”
เป็นเสียงที่ถึงจะเบาแต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจ ทำให้สีหน้าของจงซู่เฟิงนั้นถึงกับซีดไปชั่วขณะหนึ่ง สายตาของเขาก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนอย่างช่วยไม่ได้
แต่ทว่ากลับถูกบดบังโดยเจียงหวายเย่เสียก่อน เจียงหวายเย่ก็ได้มองมาที่เขาและเผยรอยยิ้มที่มุมปากอย่างอ่อนโยนออกมา
“ถ้าคุณชายจงเป็นคนฉลาด ท่านควรจะรู้ดีว่าสิ่งไหนที่ท่านควรทำและสิ่งไหนที่ท่านไม่ควรทำ” มีบางสิ่งบางอย่างแฝงอยู่ในคำพูดของเจียงหวายเย่ ซึ่งหลินซีเหยียนนั้นไม่เข้าใจ แต่ จงซู่เฟิงนั้นกลับเข้าใจได้ในทันที
หลังจากที่ชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง จงซู่เฟิงก็ได้เดินไปที่หน้าต่างแล้วก็ปีนออกไป
เมื่อมองไปที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายแล้ว หลินซีเหยียนก็รู้สึกได้ถึงความไม่พอใจของเขา
“ท่านพี่? แม่นางชิง ถ้าท่านไม่ออกมาพวกเราจะเข้าไปล่ะนะ!”
แล้วเสียงของหลินหัวเยว่กับหลินเสวี่ยเหยียนก็ได้ดังขึ้นมา หลินซีเหยียนจึงได้รีบไปมองที่เจียงหวายเย่ แล้วจากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “แล้วทำไมท่านยังไม่ไปอีก?”
“เปิ่นหวางไม่ไป เปิ่นหวางต้องการแสดงให้พวกเขาได้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่าเจ้าเป็นของเปิ่นหวาง และจะได้ไม่มีใครเลิกคิดยุ่งกับเจ้าอีก”
หลังจากที่พูดจบเจียงหวายเย่ก็ได้จับไปที่ข้อมือของ หลินซีเหยียนอย่างเงียบๆและดึงตัวนางมาหาเขา เมื่อชิงอวี่เห็นเช่นนั้นนางก็ได้ก้มหัวลงแล้วออกไปทางหน้าต่างอย่างเงียบๆ
เหลือเพียงแค่หลินซีเหยียนกับเจียงหวายเย่อยู่ในห้องนั้น ถ้าหากมีใครมาเห็นทั้งคู่ในเวลานี้เข้า ก็คงไม่สามารถแก้ตัวได้อย่างแน่นอน
“ปล่อยข้านะ”
หลินซีเหยียนก็ได้จ้องไปที่เจียงหวายเย่ แล้วเมื่อเห็นว่าลงเรือไปแล้วและนางก็ไม่สามารถหนีพ้นได้ นางจึงได้จำยอมยืนอยู่นิ่งๆด้วยแก้มที่แดงและไม่พูดอะไรออกไป
เจียงหวายเย่นั้นมีกำลังภายในสูงส่ง ในเวลานี้เขาได้ยินเสียงพูดคุยดังมาจากด้านนอกและเสียงฝีเท้าที่กำลังเดินเข้ามาตรวจดูที่นี่
แล้วในขณะที่หลินเสวี่ยเหยียนกำลังจะเปิดประตูอยู่นั้นเอง เจียงหวายเย่ที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ก็ได้ดึงหลินซีเหยียนเข้ามาในอ้อมแขนของเขา
รอยเส้นบนหน้าของเจียงหวายเย่นั้นไม่อาจที่จะเปิดเผยออกไปได้ง่ายๆ เขาจึงยังสวมหน้ากากหยกปิดบังครึ่งหนึ่งบนใบหน้าของเขาเอาไว้
ถึงแม้ว่าหน้ากากหยกจะปิดบังใบหน้าที่โมโหของ เจียงหวายเย่เอาไว้ แต่ก็ทำให้ผู้คนนั้นเข้าใจได้ถึงฐานะของเขาได้ในทันที
“พระ…พระมหาอุปราช!?”
ผู้คนที่เห็นก็ได้พากันคุกเข่าลงไปกับพื้นทันที แล้วจากนั้นคนอื่นๆก็ได้พากันคุกเข่าตามกันลงไป ถูกลากเข้ามาอยู่ในบารมีของเจียงหวายเย่เช่นนี้ หลินซีเหยียนก็รู้สึกยินดีขึ้นมาเมื่อเห็นผู้คนลงไปคุกเข่าให้
ส่วนหลินรั่วจิ่งนั้นเป็นถึงองค์หญิง ถึงแม้ว่านางจะไม่จำเป็นต้องคุกเข่าลงไปกับพื้นก็ตาม แต่นางก็ยังต้องทำความเคารพอยู่ดี
ด้วยการทำท่าถอนสายบัว งอขาลงไปเล็กน้อยและก้มหัวลง แล้วเอามือทั้งสองข้างไปไว้ที่ด้านหนึ่งแล้วก้มหัวเอาไว้อย่างนั้นรอการกล่าวให้เงยหน้าขึ้นได้จากมหาอุปราช
ในขณะที่กำลังรออยู่นั้นก็ดูเหมือนว่ามหาอุปราชนั้นจะลืมพวกเขาไปเสียแล้ว แล้วเขาก็ได้มาที่คนที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาด้วยสีหน้าที่ราวกับสุนัข “เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เจ้าคิดไหมว่าตะเกียงที่อยู่ข้างนอกนั้นช่างดูสวยงามนัก?”
หลินซีเหยียนนั้นก็ได้กลอกตาหลบ แม้ว่าจริงๆแล้วนางจะอยากดูเหมือนกัน
ท่าทีเช่นนี้ถือเป็นการยั่วโมโหผู้ที่สูงศักดิ์อย่างมหาอุปราชอย่างเปิดเผย แต่ดูเหมือนว่าพระมหาอุปราชนั้นจะมีความอดทนต่อหลินซีเหยียนสูงมาก
นอกจากเขาจะไม่โกรธแล้ว เขายังได้พยายามเอาใจนางด้วยการหยิบเอาขนมแล้วส่งมาให้ที่ปากของหลินซีเหยียน
ตอนแรกหลินซีเหยียนก็คิดที่จะกินอยู่ แต่ทว่าขนมที่นำมาป้อนนั้นมีกลิ่นที่ฉุนมาก นางจึงได้ส่ายหัวด้วยความรังเกียจแล้วกล่าว “องค์ชาย ท่านเก็บเอาไว้ทานเองเถอะค่ะ”
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น หลินรั่วจิ่งก็ได้ใกล้ที่จะล้มลงไปกับพื้นแล้วเพราะอาการปวดเมื่อยที่ขาของนาง ด้วยความกลัวที่นางนั้นจะล้มลงไปเจ็บ นางจึงได้เงยหน้าขึ้นมาด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาราวกับบ่อน้ำ
“รั่วจิ่งสำนึกผิดแล้ว ขอให้ท่านมหาอุปราชช่วยยกโทษให้ด้วย
เจียงหวายเย่กลับไม่ได้มองไปที่หลินรั่วจิ่งเลย เขาเอาแต่มองไปที่หลินซีเหยียน ซึ่งภาพเช่นนี้ทำให้หลินรั่วจิ่งนั้นอิจฉายิ่งนัก และมีแววตาที่โหดเหี้ยมปรากฏขึ้นในดวงตาของนางแล้วจากนั้นก็ได้กล่าว “ท่านพี่สาม ท่านนั้นมีความสัมพันธ์ที่พิเศษกับองค์ชาย ท่านพี่ช่วยพูดให้ยกโทษหลินรั่วจิ่งกับผู้คนที่อยู่ที่นี่ด้วยเถอะ ให้พวกเราลุกขึ้นได้แล้ว!”
หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาแล้วมองไปที่เจียงหวายเย่ “ท่านได้ยินแล้วใช่ไหม?”
เจียงหวายเย่ก็ได้เงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปรอบๆ ก่อนจะไปจบที่หลินหัวเยว่ แล้วจากนั้นก็กล่าว “ลุกขึ้นได้”
หลินหัวเยว่ก็ได้รู้สึกถึงสายตาที่ตกลงมาที่นาง ด้วยสายตาที่หนาวเย็นของเขาทำให้นางต้องตัวสั่นขึ้นมา จากนั้นนางก็ได้ปลอบใจตัวเองแล้วกล่าวในใจ “องค์ชายจะแค่หลงใหลในใบหน้าของยัยนั่น และคงจะมายุ่งเรื่องส่วนตัวของพวกเราแน่”