หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 319 นอนห้องเดียวกัน
บทที่ 319
นอนห้องเดียวกัน
นางก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่ หน้าอกของหลินซีเหยียนก็ได้สั่นขึ้นลงด้วยความโกรธแล้วจากนั้นก็กล่าว “ในเมื่อองค์ชายต้องการที่จะรับผิดชอบข้านักล่ะก็ ท่านก็หาฤกษ์วันแต่งงานเสียเลยสิ!”
นับแต่โบราณกาลมาคำว่า“แต่งเข้า”อ่านได้อีกอย่างว่าภาระและแฝงถึงความหมายไม่ดีมาด้วย
ลองคิดดูว่าหากเป็นผู้ชายที่มีมือมีเท้าแล้ว แม้ว่าจะต้องมีชีวิตที่ยากลำบากเพียงใด แต่หากถึงจุดที่จะต้องตายแล้ว ก็เลือกที่จะยอมตายเสียมากกว่าที่จะไปภาระคนอื่น
เพราะการทำเช่นนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นการไม่รักษาหน้าของตัวเองแล้ว แต่ยังจะโดนดูถูกและถูกจี้ใจดำไปตลอดด้วย
แต่เจียงหวายเย่ไม่ได้คิดเช่นนั้นและที่มุมปากของเขาก็ได้ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เขามองไปที่หลินซีเหยียนด้วยความเสน่หาแล้วก็กล่าวออกมาอย่างคลุมเครือ “หากว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋อยอมรับที่จะให้เปื่นหวางเป็นสามีแล้ว ต่อให้เป็นภาระเปิ่นหวางก็ไม่ใส่ใจ”
เมื่อได้ยินที่กล่าว ดวงตาของหลินซีเหยียนก็ได้เต็มไปด้วยความว้าวุ่นใจ ไม่เพียงแต่สายตาเสน่หาของเขาแล้วแต่ เจียงหวายเย่ก็ได้มองมาราวกับจะทะลุไปยังความรู้สึกของนางด้วย ทำให้นางรู้สึกไม่ค่อยดีนัก
แต่ทว่าเพื่อเป็นการรักษาหน้าของนางแล้ว มันน่าอายที่จะบอกไปว่านางนั้นคิดอะไรอยู่ในใจ นางจึงได้ทำเป็นพูดปากแข็งออกไป “ถ้าเช่นนั้น ท่านกับข้าเราจะมาหาฤกษ์วันแต่งงานกัน!”
จิ่งชุนและรั่วฉุ่ยที่ยืนอยู่ข้างๆนั้นก็ได้มองมาที่คุณหนูของนางกับองค์ชายที่พูดคุยเรื่องแต่งงานกัน แต่พวกนางก็ได้รู้สึกกลัวขึ้นมานิดๆในใจของพวกนาง
จิ่งชุนก็ได้กลืนน้ำลายลงไป แล้วก็เดินเข้ามาเพื่อทำการเปลี่ยนกาน้ำชาแล้วจากนั้นก็กระซิบกระซาบกับคุณหนู “คุณหนูเจ้าคะ การแต่งงานมันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะเจ้าคะ”
หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัว แล้วจิ่งชุนก็ได้มีสีหน้าเบาใจขึ้นมา
ในเวลานี้เทียนเอ๋อจู่ๆก็โผล่หัวออกมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ด้วยสีหน้าที่ยินดี ในมือของเขานั้นถืองูเขียวหางไหม้เอาไว้ งูเขียวหางไหม้ตัวนี้แม้จะเลี้ยงมาแค่ไม่กี่วันแต่มันก็ดูมีชีวิตชีวามาก
มันเลื้อยอยู่รอบมือของเทียนเอ๋อโดยไม่มีท่าทีที่จะทำร้ายเลยแม้แต่น้อย
เดิมทีมันก็เป็นเพียงแค่ลูกงูธรรมดา แต่หลังจากที่มันกินแมลงวิปลาสที่หลินซีเหยียนเลี้ยงเข้าไป ก็ได้เริ่มมีลายสีทองปรากฏอยู่ระหว่างคิ้วของมัน
เมื่อเจียงหวายเย่จ้องไปที่มัน มือขวาของเขาก็ได้เริ่มสั่นขึ้นมาทันที แล้วใบหน้าของเขาก็ได้ซีดเผือดลงเรื่อยๆ
เขามองไปที่งูเขียวหางไหม้ตัวนั้นด้วยสายตาที่หนาวเย็นและพูดว่าผิดคาดในใจ งูตัวนั้นในเวลานี้มันได้อยู่ระหว่างการก้าวเข้าสู่ราชาวิปลาสแล้ว ทำให้แมลงวิปลาสในตัวของเขานั้นเริ่มที่จะอยู่ไม่สุขเมื่อมันรู้สึกได้ถึงบรรยากาศของอีกฝ่าย
ดูเหมือนว่าองค์ชายเย่นั้นคงจะไม่ต้องรอให้ถึง 7 วันแล้ว เพราะตอนนี้อาการมันได้กำเริบแล้ว
“องค์ชายจะส่งคนไปจัดการเรื่องของการแต่งงานของเปิ่นหวางให้” แล้วเขาก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้แล้วกลับไปที่ห้องของเขา
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่แผ่นหลังของอีกฝ่าย สีหน้าของนางนั้นเต็มไปด้วยความครุ่นคิด ในคืนนั้นตอนที่นางรักษาพิษกำหนัดของเจียงหวายเย่ นางนั้นเห็นเส้นสีแดงอย่างชัดเจนที่แขนขวาของเขา ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด มันจะต้องเป็นแมลงวิปลาสด้ายแดงแน่ๆ
“ท่านแม่จริงๆแล้วท่านอาจารย์รักท่านมากเลยนะ” เจ้าตัวแสบเทียนเอ๋อก็ได้พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “และท่านอาจารย์ก็รักเทียนเอ๋อมากเช่นกัน”
เพราะเทียนเอ๋อนั้นยังเด็กจึงไม่รู้เรื่อง และไม่เข้าใจว่าทำไมท่านแม่ของเขาถึงได้ไม่ชอบท่านอาจารย์มากขนาดนั้น
นางนั้นไม่อาจพูดออกไปได้ ใช่ว่านางนั้นไม่ชอบเขา เพียงแต่นางนั้นไม่ชอบท่านอาจารย์ของเขามากพอๆกับที่นางรักท่านอาจารย์ของเขา
แล้วหลินซีเหยียนก็ได้ดึงใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเทียนเอ๋อแล้วก็กลับไปที่ห้องของนางเพื่อพักผ่อน หลินซีเหยียนที่กลับเข้ามาในห้องก็ยังไม่ได้ไปที่เตียงทันที กลับกันนางได้หยิบเอาเคล็ดวิชาลับแมลงวิปลาสขึ้นมาอ่านก่อน
ถึงแม้ว่าการนางที่เรียนรู้จากในตำราเล่มนี้มาบ้างจะทำให้นางเอาตัวรอดในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางนั้นเรียนรู้จากหนังสือเล่มนี้จนจบแล้ว หรือแม้แต่วิธีการที่จะแก้พิษด้ายแดงที่อยู่ในตัวของเจียงหวายเย่
เมื่อมองไปที่ท่าทีของเจียงหวายเย่ในวันนี้แล้ว มันจะต้องเป็นอาการกำเริบของแมลงวิปลาสด้ายแดงไม่ผิดแน่ เมื่อคิดเช่นนี้แล้วสีหน้าของหลินซีเหยียนก็ไม่ดีขึ้นมาหน่อยๆ
“ปากก็พร่ำแต่บอกว่ารักข้า แต่กลับปิดบังเรื่องราวไว้มากมายและไม่ยอมบอกข้า”
ยิ่งหลินซีเหยียนคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร ก็ยิ่งโมโหมากขึ้นเท่านั้น เมื่อนางคิดได้เช่นนี้ก็ได้วางหนังสือลงแล้วออกจากห้องไป จากนั้นนางก็ได้แอบไปที่หน้าห้องของเจียงหวายเย่แล้วจากนั้นก็แอบจุดกำยานพิเศษของนาง
ทั้งไร้สีและไร้กลิ่น แม้แต่เจียงหวายเย่ก็ไม่รู้สึกตัว
นับเวลารอ แล้วหลินซีเหยียนก็รู้สึกได้ว่าน่าจะได้เวลาแล้ว นางก็ได้แอบฟังเสียงในห้องก็พบว่าเงียบสงบมากและดูเหมือนว่าตัวเขานั้นน่าจะหลับสนิทไปแล้ว
ในเวลานี้หลินซีเหยียนก็ไม่จำเป็นต้องเป็นหลบๆซ่อนๆอีกแล้ว นางลุกขึ้นยืนแล้วเปิดประตูเข้าห้องของเจียงหวายเย่ไป โดยอาศัยแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามา หลินซีเหยียนก็พบเจียงหวายเย่ที่มีใบหน้าซีดและเต็มไปด้วยเหงื่อ
“ขอข้าดูหน่อยเถอะว่ายังจะมีอะไรอย่างอื่นที่ท่านปิดบังเอาไว้นอกจากวิปลาสด้ายแดงอีกไหม?”
หลินซีเหยียนก็ได้เดินไปหาเจียงหวายเย่ เพราะนั้นยังโมโหเขาอยู่นางจึงได้ทำอะไรรุนแรง แล้วถกเอาแขนเสื้อข้างขวาของอีกฝ่ายขึ้นมาแล้วก็พบรอยเส้นสีแดงลามจากด้านในของมือจนไปถึงกลางแขนใหญ่ๆของเขา
ตามชื่อของมัน วิปลาสด้ายแดงนั้นเป็นแมลงวิปลาสที่มีลักษณะเหมือนด้ายสีแดง เมื่อเข้าไปในร่างกายแล้วมันจะเข้าไปดูดและแย่งเอาลมปราณและเลือดของเจ้าของร่างมา แล้วจากนั้นก็จะค่อยๆเติบโตจนกระทั่งลามจากมือจนไปถึงหน้าอก
แล้วเมื่อถึงตอนนั้นเจ้าด้ายแดงก็เข้าไปในหัวใจแล้วกัดกินหัวใจของเจ้าของร่างแล้วจากนั้นก็จะแหวกอกออกมา
วิปลาสด้ายแดงนั้นจะมีอาการกำเริบทุกๆ 7 วัน มันจะต้องทรมานมากแน่เมื่อมันกำเริบ แต่เมื่อนางมองไปคนกำลังนอนที่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้ว ทำให้นางรู้สึกได้ว่าอาการของมันน่าจะหนักหนากว่าที่นางคิดเอาไว้
หลินซีเหยียนก็ได้นั่งลงที่ข้างเตียงของเจียงหวายเย่ ในเวลานี้แม้แต่ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าใบหน้าของนางนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจมากเพียงใด
“ใครน่ะ?”
หลินซีเหยียนตกใจและนางก็ได้ถูกคว้าเข้ามาในอ้อมแขนของเจียงหวายเย่ด้วยมือที่ทรงพลังของเขา ทันทีที่นางเงยหน้าขึ้นมา นางก็พบดวงตาสีดำที่ราวกับบ่อน้ำที่ไร้ก้นคู่นั้น
ดวงตาคู่นั้นดำสนิทมากราวกลับว่ามันเป็นหลุมดำที่ลึกสุดหยั่งถึงได้ และสามารถกลืนกินผู้คนเข้าไปอย่างเงียบๆ
“นี่ท่านไม่ได้โดนกำยานนอนหลับของข้า?” หลินซีเหยียนก็ได้พูดอย่างโมโห เมื่อพบว่าเขานั้นกำลังแกล้งนางอยู่
ในขณะที่นางกำลังจะขัดขืนอยู่นั้นเอง เสียงอ่อนๆของเจียงหวายเย่ก็ได้ดังเข้ามาในหูของนาง “อย่าไปไหนเลย ช่วยอยู่กับเราหน่อยนะ?”
เจียงหวายเย่ที่อ่อนแอเช่นนี้ทำให้หลินซีเหยียนนั้นยากที่จะปฏิเสธได้
แล้วนางก็ได้ปลอบตัวเองในใจ ก็แค่ถูกกอดเท่านั้นเองไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แล้วนางก็ได้หยุดขัดขืน
อีกด้านหนึ่งที่นางมองไม่เห็น มีชายชุดดำคนหนึ่งที่เผยรอยยิ้มแห่งความสำเร็จออกมา
เมื่อหลินซีเหยียนตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ก็ไม่พบแม้แต่เงาของเจียงหวายเย่ที่น่าจะอยู่ข้างๆตัวนาง นางจึงได้ลุกขึ้นมานั่งแล้วเดินไปเปิดประตูเพื่อที่จะกลับห้องของนาง แต่ที่ด้านนอกของประตูกลับมีเทียนเอ๋อที่กำลังจะเคาะประตูยืนอยู่
“ท่านแม่?”
หลังจากที่พูดเสร็จ เขาก็ได้เข้าไปข้างในประตูเพื่ออยากที่จะเห็นข้างในแล้วพบว่าในห้องนั้นว่างเปล่า คนที่ควรจะอยู่กลับไม่อยู่ และคนที่ไม่น่าจะอยู่กลับโผล่มาเสียได้
ในชั่วขณะนั้น เทียนเอ๋อรู้สึกราวกับว่าทั้งโลกนั้นได้กลายเป็นเหมือนภาพลวงตา หรือว่าเขาจะเข้าผิดห้องกันนะ?
เขาจึงได้รีบเดินไปที่ห้องของท่านแม่แต่ก็ไม่พบ เจียงหวายเย่ เขาจึงได้มองไปที่ท่านแม่ของเขาด้วยความไม่พอใจแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านแม่ ท่านไล่ท่านอาจารย์ออกไปเหรอ?”
“นี่เจ้าเห็นแม่เป็นคนไร้เหตุผลขนาดนั้นเลยเหรอ?” หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาลงแล้วมองไปที่เทียนเอ๋อ
ซึ่งหมายความว่าถ้านางไม่พูดอะไรออกมา เทียนเอ๋อก็จะเข้าใจเรื่องนี้ไปแบบผิดๆถูกๆแน่