หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 318 หลีกเลี่ยงการถูกสงสัยน่ะเข้าใจไหม
บทที่ 318
หลีกเลี่ยงการถูกสงสัยน่ะเข้าใจไหม?
แต่เจียงหวายเย่กลับทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน เขายังคงนั่งเฉยอยู่ตรงนั้นไม่เคลื่อนไหวราวกับภูเขาแล้วจิบชาอย่างสบายใจ จากนั้นเขาก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนแล้วกล่าว “ถ้าเสี่ยวเหยียนเอ๋อมองมาที่เปิ่นหวางเช่นนี้ เปิ่นหวางคงจะไม่มองตอบก็คงไม่ได้สินะ”
เป็นถึงเทพสงครามที่สง่างาม แต่กลับมาพูดอะไรล้อเล่นเช่นนี้ และสายตานั้นก็ช่างมีพลังทำลายที่รุนแรงเสียนี่กระไร
หลินซีเหยียนที่จู่ๆก็รู้สึกเหมือนถูกจับชุบแป้งทอด นางที่เกือบจะถูกจัดวางใส่จาน ก็ได้รีบสลัดขนลุกของนางแล้วถามกลับไป “องค์ชาย การที่ท่านจู่ๆก็มาอยู่ในเรือนของข้าเช่นนี้ มันจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็นขึ้นได้นะ”
เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนด้วยสายตาราวกับเด็กน้อย และรอดูว่าหลินซีเหยียนจะพูดอะไรต่อมา
หลินซีเหยียนจึงได้หรี่สายตาของนางลงแล้วคิดว่าจะพูดเช่นไรดีที่จะทำให้เขาเข้าใจได้ แล้วนางก็ได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน “องค์ชาย ท่านเข้าใจที่ข้าพูดบ้างไหมเนี่ย?”
ในเวลานี้เจียงหวายเย่ก็ได้ผงกหัว แต่เขาก็ยังไม่ยอมขยับไปไหนแม้แต่นิดเดียว “เสี่ยวเหยียนเอ๋อ เปิ่นหวางนั้นไม่ต้องการให้เจ้ามารับผิดชอบเรื่องของเราหรอกนะ”
“ทำไมจะไม่ล่ะ? ท่านอยากให้ข้าถูกด่าว่ามากขึ้นไปอีกหรืออย่างไร?”
หลินซีเหยียนก็ได้คิ้วขมวดขึ้นมา ถึงแม้จริงๆแล้ว หลินซีเหยียนนั้นจะไม่สนใจว่าคนข้างนอกจะพูดถึงนางเช่นไร แต่นางก็ไม่อยากให้เจียงหวายเย่อยู่ที่นี่อยู่ดี ถ้าลู่หลีเกิดพูดเรื่องของแมลงวิปลาสหมื่นปีขึ้นมา เจียงหวายเย่จะต้องผิดหวังแน่ๆ
แมลงวิปลาสหมื่นปีที่เป็นความหวังของเขานั้นถูกใช้ไปนานแล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะให้ยอมรับเรื่องนี้ได้ ถึงแม้ว่านางนั้นจะพยายามเต็มที่เพื่อที่จะชะลออาการและยืดอายุของเขาไปอีกหน่อยก็ตามที แต่ก็ยังห่างไกลจากคำว่ารักษานักและไม่มีหนทางดีๆเลย
เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่อีกฝ่ายที่กำลังครุ่นคิด จากนั้นก็ได้เอนตัวไปข้างหน้าเพื่อให้ริมฝีปากนุ่มๆของหลินซีเหยียนอยู่นิ่งๆ
ในชั่วขณะนั้นทั้งสองคนก็รู้สึกเหมือนกับว่าบรรยากาศรอบๆเงียบสงบ จนทั้งคู่ต่างก็ได้ยินเสียงลมหายใจและเสียงใจเต้นแรงมากขึ้นเรื่อยๆของอีกฝ่าย
จนกระทั่งการจูบจบลง หลินซีเหยียนก็ได้จับคอเสื้อของเจียงหวายเย่ด้วยความรู้สึกประมาณว่านางจะไม่ยอมเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบอยู่ฝ่ายเดียว แล้วนางก็ได้หรี่สายตาที่เต็มไปด้วยความอายลง “องค์ชาย เดี๋ยวนี้ท่านเสพติดการจูบข้าแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
“ริมฝีปากของเสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นเป็นเหมือนกับเหล้าชั้นดีสำหรับเรา ด้วยรสชาติหวานๆติดปากหากได้ลิ้มลองแม้เพียงครั้งเดียวก็ทำให้ยากที่จะหยุดใจไว้ได้”
คำพูดที่แทะโลมเช่นนี้ช่างฟังดูเหลวไหลเสียจน ไม่รู้จะพูดอะไรโต้ตอบกลับไปดี
จ้องมองมาที่ดวงตากลมโตของนาง หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วแล้วจากนั้นก็ได้เผยร้อยยิ้มชั่วร้ายออกมาที่มุมปากของนางแล้วกล่าว “ท่านจูบข้าแล้ว ต่อจากนี้ไปท่านก็จะต้องเป็นคนของข้าด้วยนะ”
แล้วดวงตาของเจียงหวายเย่ก็ได้ส่องแสงออกมาแล้วจากนั้นก็ได้ทำสีหน้าเหมือนมีอารมณ์ร่วมแล้วกล่าวอย่างจริงจัง “เสี่ยวเหยียนเอ๋อจำที่ตัวเองพูดไว้ให้ดีก็แล้วกัน และต่อจากนี้ก็อย่าได้ทิ้งเราไปไหนอีกนะ”
“แน่ะ ยังจะมาทำเป็นพูดเล่นอยู่อีก”
หลินซีเหยียนก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินถอยออกมาแล้วจากนั้นก็ได้แอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบหัวใจที่ไม่สงบนิ่งอยู่ภายใต้หน้าอกของนาง
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อวางใจเถอะ เราจะรับผิดชอบเรื่องของเจ้าเอง” ทันทีที่เขาพูดจบเจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่ดวงตาที่ทั้งโกรธทั้งอายของหลินซีเหยียน แล้วเขาก็ได้พูดต่อ “เสี่ยวเหยียนเอ๋อได้เปิ่นหวางผู้นี้เป็นคนรับผิดชอบถือว่าสุดยอดมากเลยนะ”
หลินซีเหยียนก็ได้เอามือจับหน้าผากของนางอย่างช่วยไม่ได้ นางนั้นอยากจะเอาไม้บรรทัดมาวัดเหลือเกินว่าหน้าของเจียงหวายเย่นั้นมันหนาเพียงใดกันแน่ เขาถึงได้กล้าพูดคำเหล่านี้ออกมาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
แต่ทว่าหลินซีเหยียนก็ได้ล้มเลิกความที่จะหลีกเลี่ยงการถูกสงสัยและเรื่องของแมลงวิปลาสหมื่นปีไป อย่างไรเสียนางก็ไม่ได้ยินดีนัก แต่ทว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดเอาไว้ค่อยหาวิธีอื่นเอาทีหลัง
เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว ทั้งคู่ก็ได้นั่งตรงข้ามกัน แล้วให้คนไปพาลู่หลีกับคุณชายจงเข้ามา
“หลินซีเหยียน เจ้าจะให้พวกเรารอไปถึงไหน?” ลู่หลีที่เข้ามาในเรือนและนั่งลงข้างๆหลินซีเหยียนแล้วบ่นพึมพำ “กลับไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์กับข้าเดี๋ยวนี้ ท่านยายกำลังรอท่านอยู่”
“ข้าบอกกับเจ้าชัดเจนแล้วนะว่า ข้าจะไม่เป็นนักบุญหญิงของดินแดนศักดิ์สิทธิ์อะไรนั่นน่ะ”
หลินซีเหยียนก็ได้ตอบปฏิเสธทันที ในเวลานี้นางยังมีธุระอีกมากที่นางต้องทำ จะให้นางเอาเวลาที่ไหนไปยุ่งกับเรื่องของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แล้วนางก็ได้พูดต่อ “ลู่หลีเจ้าก็เห็นแล้วว่าโลกภายนอกเนี่ยไม่ได้ดีไปกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์หรอก ข้าว่าเจ้ารีบกลับไปเสียเถอะ”
ลู่หลีก็ได้แก้มป่องแล้วพูดอย่างโมโห “ท่านยายนั้นบอกเอาไว้ว่าตำแหน่งนักบุญนั้นถือเป็นมติของสวรรค์ และมันจะต้องมีความหมายบางอย่างเป็นแน่จึงไม่สามารถที่จะฝืนมติสวรรค์นี้ได้”
“แต่ข้านั้นไม่เคยเชื่อในสวรรค์อยู่แล้ว ดังนั้นคำพูดของเจ้าไม่สามารถเกลี้ยกล่อมข้าได้หรอก”
เมื่อเห็นหลินซีเหยียนที่ตั้งใจหนักแน่นเช่นนี้แล้ว ลู่หลีก็ได้มองไปที่จงซู่เฟิงด้วยสายตาที่ขอความช่วยเหลือ แต่ทว่าดวงตาของอีกฝ่ายนั้นกำลังจับจ้องไปที่เจียงหวายเย่ จึงได้ไม่รู้สึกถึงสายตาของลู่หลีเลยแม้แต่น้อย
หลินซีเหยียนเองก็พบว่าเจียงหวายเย่กับจงซู่เฟิงนั้นได้จ้องหน้ากันด้วยบรรยากาศที่ไม่ธรรมดา
“พวกท่านทั้งสองคนจ้องหน้ากันอย่างเสน่หากันเช่นนั้น ถ้าข้าไม่รู้ข้าคงนึกว่าพวกท่านเป็นคู่รักกันเสียอีกนะเนี่ย?” หลินซีเหยียนก็ได้พูดติดตลกออกไป แต่คำพูดของนางก็ได้ทำให้ทั้งสองคนต้องถอยห่างออกจากกัน
เจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มและกล่าว “ความคิดของ เสี่ยวเหยียนเอ๋อช่างแปลกเสียจริงๆ ต่อจากนี้ไปเปิ่นหวางคงจะคอยจ้องมองไปที่เจ้าเสียแล้ว เพื่อที่เจ้าจะได้รู้ถึงความเสน่หาของเราบ้าง”
ทันทีที่เจียงหวายเย่พูดจบ ลู่หลีก็พลันจำเขาขึ้นมาได้ นางได้ชี้ไปที่เจียงหวายเย่อย่างตื่นเต้นราวกับมีอะไรบางอย่างจะพูด แต่นางก็รู้สึกกลัวขึ้นมาหน่อยๆ “เจ้า….เจ้า….เป็นคนที่พาเจียงอี๋หนีไปใช่ไหม?”
แล้วดวงตาของหลินซีเหยียนก็ได้หนาวเย็นขึ้นมา ราวกับว่านางรู้สึกโกรธที่ได้ยินชื่อนั้น
ถึงแม้ว่าตัวนางนั้นจะได้เตรียมใจรับเรื่องนี้ไว้บ้างแล้วก็ตาม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกรังเกียจขึ้นมาในใจของนางชั่วขณะหนึ่ง
เจียงอี๋นั้นเป็นเหมือนกับดอกบัวขาว และมีวิธีการที่หลากหลายไม่รู้จบราวกับเป็นอสรพิษร้ายยังไงอย่างงั้น
แต่ทว่านางเองก็ต้องยอมรับว่าเลือดของอีกฝ่ายนั้นวิเศษมากและสามารถเยียวยาเจียงหวายเย่ได้ นางจึงทำได้แค่สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติอารมณ์
จงซู่เฟิงนั้นไม่รู้เลยว่าทั้งสามคนนั้นกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันอยู่ เขาทำได้แค่นั่งลงอยู่ที่เก้าอี้อย่างเงียบๆและกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างในหัวของเขา
จนในที่สุดหลังจากที่พูดคุยกันจบแล้ว ลู่หลีก็ได้ตัดสินใจที่จะอยู่กับหลินซีเหยียนจนกว่าอีกฝ่ายนั้นจะยอมเปลี่ยนใจแล้วกลับไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับนาง
ซึ่งจริงๆแล้วต่อให้นางไม่ยอม แต่หากว่านางนั้นยังเกาะติดอยู่กับอีกฝ่าย ก็ยังพอจะมีหนทางที่จะพาอีกฝ่ายกลับไปพร้อมกับนาง อย่างไรเสียนางนั้นเป็นคนที่มาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์และรู้วิธีดีๆมากมายที่จะใช้ควบคุมคน
“ถ้าเช่นนั้นซู่เฟิงก็ขอตัวก่อน” แม้ท้องฟ้าจะยังไม่เปลี่ยนสี แต่จงซู่เฟิงก็ไม่สามารถที่จะอยู่ไปมากกว่านี้ได้ แต่พอเขาลุกขึ้นยืนเขาก็พบว่าเจียงหวายเย่นั้นไม่คิดที่จะจากไปด้วยแม้แต่น้อย เขาจึงได้เปิดปากเตือนอีกฝ่าย “ท่านจะไม่ไปกับซู่เฟิงเหรอ?”
เจียงหวายเย่ก็ได้ส่ายหัว “องค์ชายกับเสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นมีความสัมพันธ์ที่สนิทมาก แน่นอนว่าเรานั้นจะพักอยู่ที่เรือนเชียนเหยียน”
“แต่มันคงจะเป็นเรื่องไม่งามนักที่ท่านจะทำเช่นนั้น ถ้าหากองค์ชายไม่รังเกียจ ท่านสามารถมาพักร่วมกันที่เรือนของ ซู่เฟิงก็ได้” จงซู่เฟิงที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปภายใต้ดวงตาของเขา แต่ใบหน้าของเขานั้นก็ยังแสดงถึงความอบอุ่นเช่นเคยอยู่
“เราไม่ขอรบกวนคุณชายจงหรอก ห้องของเรานั้นได้ถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว” เจียงหวายเย่ก็ได้จ้องไปที่จงซู่เฟิงด้วยดวงตาสีดำที่ไร้ก้นของเขา เมื่ออีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไรเขาก็ได้พูดขึ้นมาก่อน “ตอนนี้ท้องฟ้าจะยังไม่เปลี่ยนสี ขอให้ท่านรีบไปก่อนจะมืดเสีย”
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่แผ่นหลังของจงซู่เฟิงด้วยสีหน้าแปลกๆบนใบหน้าของนาง “ท่านเป็นปรปักษ์กับจงซู่เฟิงเหรอ? ท่านไม่น่าไปพูดเช่นนั้นกับเขาเลย แล้วตอนนี้ก็เยี่ยมไปเลยทั่วทั้งจวนมหาเสนาบดีก็คงจะรู้กันแล้วว่าท่านอยู่ที่นี่แล้วด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก เปิ่นหวางบอกแล้วไงว่าเรื่องของ เสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นเปิ่นหวางจะรับผิดชอบเอง”