หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 317 เข้ามาอยู่อย่างตรงไปตรงมา
บทที่ 317
เข้ามาอยู่อย่างตรงไปตรงมา
“ลู่หลีงั้นเหรอ?”
นางมาทำอะไรที่รัฐเจียงกันนะ? หลินซีเหยียนก็ได้ผงกหัวถึงแม้ว่านางนั้นอยากที่จะยอมรับนัก แต่จะปล่อยให้ลู่หลีนั้นอยู่กับจงซู่เฟิงต่อไปก็คงไม่ดี นางจึงได้ยอมรับชะตากรรมแล้วกล่าว “ท่านบอกให้นางมาหาข้าที่เรือนเชียนเหยียนได้เลยนะ”
จงซู่เฟิงก็ได้ผงกหัวตอบตกลงแล้วจากนั้นก็ได้พูดต่อ “ลู่หลีนั้นบอกว่านางมาจากรัฐหลี หลายวันมานี้แม่นางหลินไปไกลถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”
หลินซีเหยียนก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากยิ้ม และในขณะที่จงซู่เฟิงกำลังคิดที่จะพูดอะไรต่อนั้นเอง นางก็ได้พูดขัดอีกฝ่ายขึ้นมา “คุณชายจง ร่างกายของท่านก็เกือบจะหายสนิทดีแล้ว ข้าว่ามันคงจะไม่ใช่เรื่องดีนักหากท่านจะยังอยู่ที่จวนมหาเสนาบดีต่อเช่นนี้”
เมื่อได้ยินที่พูดเช่นนี้ ดวงตาของจงซู่เฟิงก็ได้มืดดำลงทันที
หลินซีเหยียนที่คิดจะเดินจากไปแล้วนั้น ก็ได้ถูกดึงแขนเสื้อโดยใครบางคนเสียก่อน ซึ่งก่อนที่นางจะได้หันกลับไปก็ได้ยินเสียงของจงซู่เฟิงพูดขึ้นมาก่อน “บางทีอาจจะเป็นพรุ่งนี้ หรือไม่ก็มะรืนนี้ เราก็จะไปจากรัฐเจียงแล้วเจ้าอยากที่จะตามเราไปที่รัฐจงด้วยไหม?”
“ทำไมคุณชายจงถึงได้พูดเช่นนั้น?” ริมฝีปากของ หลินซีเหยียนก็ได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้จะดูนุ่มนวลแต่ก็ดูโหดร้ายมาก
“บ้านของข้าอยู่ในรัฐเจียง ทำไมข้าถึงต้องตามคุณชายจงไปด้วยเล่า?” หลินซีเหยียนถามกลับอย่างไม่เข้าใจ แต่คำถามที่ออกมาจากปากของนางนั้นได้ทำให้หัวใจของจงซู่เฟิงต้องมีบาดแผล
ตัวเขานั้นอยากตะโกนถามหลินซีเหยียนว่า ไม่เคยเห็นเขาอยู่ในสายตาของนางบ้างเลยเหรอ? แต่เมื่อเขาก็นึกขึ้นได้ว่าหากว่าต่อจากนี้ไปเขาจะต้องเจอกับสายตาที่หนาวเย็นเช่นนี้แล้ว ก็ทำให้เขาไม่กล้าขึ้นมา
จนกระทั่งหลินซีเหยียนหายลับตาเขาไปจากตรงมุมหัวโค้งระเบียง ในขณะที่จงซู่เฟิงยังคงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าที่เหม่อลอย
“ดูเหมือนว่าคุณชายจงคงจะหลงรักน้องสาวตัวดีของเราจริงๆสินะ!”
คำพูดนี้ได้ทำให้เขาตื่นจากความฝัน จงซู่เฟิงก็ได้สติคืนกลับมาแล้วมองไปที่หลินหัวเยว่ที่กำลังเดินมาหาเขาอย่างๆช้าด้วยช่วยเหลือของสาวใช้คนสนิทนาง
หลินหัวเยว่สวมชุดสีม่วงอ่อน และมีสร้อยจี้หยกร้อยด้วยด้ายแดงห้อยอยู่ที่คอของนางและยังมีปิ่นปักผมหยกที่ทำจากหยกเหอเถียน
ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าหยกเหอเถียนนั้นหายากและเป็นหยกที่มีราคาแพง
จงซู่งเฟิงก็ได้มองไปที่อีกฝ่ายและไม่คิดที่จะพูดคุยด้วยจึงได้คิดที่จะเดินจากไป แต่เขาก็กลับถูกขวางโดยหลินหัวเยว่เสียก่อน เขานั้นคิ้วขมวดแล้วมองไปที่อีกฝ่ายด้วยความสงสัย “ฮูหยินทำเช่นนี้ทำไม?”
หลินหัวเยว่นั้นแต่งงานแล้ว มันจะเป็นการไม่สุภาพนักที่เขายังจะเรียกนางว่าแม่นางอีก
แต่ดูเหมือนหลินหัวเยว่นั้นจะไม่ชอบให้เรียกเช่นนี้มากเท่าไรนัก เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้วก็ได้มีสีหน้าประชดประชันบนใบหน้าของนาง แล้วนางก็ได้เดินเข้าไปใกล้จงซู่เฟิงแล้วมองดูอีกฝ่ายที่มีท่าทีราวกับกระต่ายที่กำลังหวาดกลัวและหดตัวหลบเข้าไปในมุม
แล้วก็มีแววตาที่นึกสนุกปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง แล้วจากนั้นก็ได้พูดออกมาเบาๆ “ถ้าท่านอยากที่จะได้หัวใจของน้องสาวข้า ข้าก็จะมีหนทางอยู่ แต่ไม่รู้ว่าคุณชายจงนั้นจะมีความกล้าเพียงพอหรือไม่”
จงซู่เฟิงก็ได้มองไปที่หลินหัวเยว่ด้วยสีหน้ารังเกียจแล้วกล่าวด้วยเสียงที่หนาวเย็น “ฮูหยินได้โปรดสำรวมตัวเองด้วย”
หลินหัวเยว่ก็ได้ถอยออกมาพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง แล้วจากนั้นก็ได้จ้องมองไปที่จงซู่เฟิงด้วยดวงตาที่เหมือนผ้าไหม แต่แล้วก็ได้พ่นลมออกมาทางจมูก “ฮึ ถ้าคุณชายจงเปลี่ยนใจเมื่อไร ก็มาหาข้าหัวเยว่ก็แล้วกัน แล้วมั่นใจได้เลยว่าท่านจะได้พานางกลับไปด้วยแน่นอน”
หลังจากที่พูดทิ้งท้ายไว้ หลินหัวเยว่ก็ได้กลับไปที่เรือนของนางปล่อยให้จงซู่เฟิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นแล้วครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ๆ
เมื่อหลินซีเหยียนกลับมาถึงเรือนเชียนเหยียนนางก็พบเจียงหวายเย่กำลังนั่งอยู่ที่ม้าหินอ่อนด้วยใบหน้าที่ซื้อเผือดและร่างกายของเขาก็ได้ปล่อยบรรยากาศที่ไม่น่าเข้าใกล้ออกมา ตอนนี้ทั่วทั้งเรือนเชียนเหยียนนั้นสงบเงียบมาก ราวกับไม่กล้าที่จะส่งเสียงใดๆออกไปภายใต้แรงกดดันของเจียงหวายเย่
ส่วนหลินหนานเฟิงที่ก่อนหน้านี้ยังอยู่ที่นี่นั้น ก็ได้หายไปสักพักใหญ่แล้วราวกับว่าเขามีธุระด่วนต้องไปทำ
หรือว่าสองคนนี้จะทะเลาะกันอีกแล้ว? หลินซีเหยียนก็ได้เดินไปข้างๆเจียงหวายเย่อย่างไม่พอใจ แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรนางก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง
“ไม่นึกเลยว่าองค์ชายรัตติกาลผู้สูงส่งจะกลับถูกคนอื่นเล่นงานเช่นนี้?” ทั้งคิ้วและดวงตาของหลินซีเหยียนก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มของนาง ซึ่งจริงๆแล้วคือเจียงหวายเย่นั้นถูกใครสักคนจี้สกัดจุดจนทำให้เคลื่อนไหวไม่ได้
แล้วจะมีใครอื่นที่กล้าทำอะไรระดับแผ่นดินสะเทือนเช่นนี้ แทบไม่ต้องคิดเลยว่าจะเป็นใครไปได้นอกจากพี่ชายของนางเอง
เพราะหลินหนานเฟิงนั้นได้แอบทำอย่างลับๆมาก ทำให้หน่วยอันที่ซ่อนตัวอยู่ไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งเมื่อสักครู่พวกเขายังคิดว่านายท่านของพวกเขานั้นกำลังโมโหอยู่จึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าจริงๆแล้วเจ้านายของพวกเขานั้นขยับตัวไม่ได้ต่างหาก
ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังหัวเราะอยู่นั้น ก็พบว่าสีหน้าของเจียงหวายเย่นั้นดำเสียจนจะสู้กับก้นหม้อได้อยู่แล้ว หลินซีเหยียนก็ได้ตกใจกับดวงตาของเขาจึงได้หยุดหัวเราะแล้วกล่าว “มา ข้าจะปลดสกัดจุดให้ท่านเอง”
แล้วก็เอามือจิ้มไปตรงบริเวณหน้าอกของเจียงหวายเย่ ในเวลานี้เจียงหวายเย่นั้นแย่มาก เพราะการที่เขาตัวแข็งทื่อนั้นได้ทำให้เลือดลมของเขาไหลไม่สะดวก ทำให้แขนกับขาเป็นเหน็บชา
ต้องอดทนจากอาการเป็นเหน็บชา เจียงหวายเย่ก็ได้พยายามฝืนปั้นหน้าสีหน้าให้นิ่งเข้าไว้ และพยายามไม่ให้เขาดูขายหน้ามากนัก
แม้จะไม่แสดงออกทางสีหน้า แต่เขาก็คิดหลายพันวิธีในการฆ่าหลินหนานเฟิงในใจ แล้วก็ค่อยๆคัดออกทีละวิธีจนเหลือแต่เพียงวิธีที่โหดร้ายที่สุด
“เทียนเอ๋อหายไปไหน?”
หลินซีเหยียนมองดูรอบๆแต่ก็ไม่พบเทียนเอ๋อ นางจึงได้มองไปที่เจียงหวายเย่แล้วถาม “เทียนเอ๋อออกไปกับท่านพี่เหรอ?”
เจียงหวายเย่ก็ได้ส่ายหัว แล้วเขาก็ได้ผ่อนคลายสีหน้าที่มืดดำของเขาแล้วมองไปที่หลินซีเหยียนแล้วกล่าว “เทียนเอ๋อ อยากที่จะให้ท่านอาจารย์อยู่กับท่านแม่ของเขาน่ะ จึงได้ไปที่วังรัตติกาลกับอันอี้เพื่อไปเอาสัมภาระของเราแล้ว
เมื่อได้ยินที่กล่าวมุมปากของหลินซีเหยียนก็ได้กระตุกขึ้นมาเล็กน้อย และทั้งตัวของนางก็แข็งทื่อ นางนั้นอยากที่จะวิ่งไปหาเทียนเอ๋อแล้วตบรางวัลอีกฝ่ายด้วยมะเหงกสวรรค์สักร้อยที
“เสี่ยวเหยียนเอ๋อไม่อยากที่จะอยู่กับเปิ่นหวางเหรอ?” จู่ๆเจียงหวายเย่ก็เข้ามาหาหลินซีเหยียน แล้วลมหายใจที่อุ่นๆก็ได้โดนใบหน้าของหลินซีเหยียนทำให้นางรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมา
ซึ่งได้ทำให้หลินซีเหยียนนั้นนึกถึงเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นใบหน้าของนางก็ได้แดงขึ้นมา แต่ริมฝีปากของนางยังคงแข็งทื่อแล้วกล่าว “ไม่ถึงขนาดนั้นสักหน่อย ก็แค่ท่านเองก็มีวังอยู่แล้ว แล้วทำไมท่านถึงต้องลำบากตัวเองมาอยู่กับข้าด้วย?”
หลินซีเหยียนก็ได้พยายามที่จะแสดงออกถึงการปฏิเสธออกไปอย่างสุภาพที่สุด แต่ไม่คิดว่าเจียงหวายเย่จะได้ยิ้มกริ่มด้วยใบหน้าหนาๆของเขา “ถ้าเพื่อจะได้พบกับเสี่ยวเหยียนเอ๋อทุกวันแล้ว เปิ่นหวางก็ไม่รังเกียจหรอก ถ้าหลินซีเหยียนแต่งกับ เปิ่นหวางแล้ว ต่อให้เจ้าพาทั้งครอบครัวของเจ้าไปอยู่ที่วังของเราด้วย เราก็ไม่เกี่ยงหรอกนะ”
ในชั่วขณะนั้นเองหลินซีเหยียนอยากจะพูดออกมาว่า “ข้ามีข้อแม้” แต่น่าเสียดายที่พอนางจะเปิดปากออกมาแต่ก็ไม่ได้พูดคำเหล่านี้ออกมา นางทำได้แค่พูดออกมาอย่างไม่กล้าว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจท่านก็แล้วกัน”
จนกระทั่งเป็นเวลากลางคืน อันอี้ที่จัดห้องเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้มาคำนับเจียงหวายเย่
หลินซีเหยียนมองไปที่ห้องที่ตกแต่งใหม่แล้วก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก ข้าวของที่เคยอยู่ในห้องนั้นถูกเอาออกไปจนเกลี้ยงแล้วจากนั้นก็แทนที่ด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่คุณภาพระดับเดียวกันกับวังรัตติกาล แค่มองปราดเดียวก็บอกได้เลยว่าจะอยู่ในระดับเดียวกับวังหลวง
แต่ทว่ารสนิยมของเจียงหวายเย่นั้นก็ต่างไปจากวังหลวงอยู่ดี เจียงหวายเย่นั้นชอบของหรูหราที่ดูไม่สะดุดตา ในขณะที่ในวังหลวงล้วนแต่โดดเด่น ยังระยิบระยับและสง่างามก็ยิ่งชอบ
ซึ่งด้วยเหตุนี้หากดูจากข้าวของเครื่องใช้ของเทียนเอ๋อในโรงเตี๊ยมซื่อฟางแล้ว จะเห็นได้ว่ามาในรูปแบบเดียวกัน
ซึ่งในขณะที่กำลังทานอาหารด้วยกันในเรือนเชียนเหยียนอยู่นั้นเอง จงซู่เฟิงก็ได้มาพร้อมกันกับลู่หลี
“องค์ชายเย่ ด้วยฐานะของท่านอาจจะไม่ค่อยสะดวกนัก ท่านไม่คิดจะปิดบังหน่อยเหรอ?”