หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 311 ปล่อยตัวประกันจง
บทที่ 311
ปล่อยตัวประกันจง
ผู้อาวุโสน่าหลานนั้นไม่เห็นด้วยกับการที่จะปล่อย จงซู่เฟิงกลับรัฐจงโดยให้เหตุผลว่า “จงซู่เฟิงนั้นอาศัยอยู่ในรัฐเจียงมาเป็นเวลานานแล้วและบางทีตัวเขาก็อาจจะรู้ถึงความลับทางด้านกองทัพของรัฐเจียงเราไปแล้วด้วย ดังนั้นข้าผู้เฒ่าเชื่อว่าเราไม่ควรที่จะปล่อยเสือกลับเข้าป่าไปเพียงเพราะสัญญาฉบับเดียว”
เมื่อได้ยินที่พูดเช่นนี้ เจียงหวายเย่ก็ได้ผงกหัว “ที่องค์ชายและท่านน่าหลานกล่าวมาก็มีเหตุผล แต่หากว่าองค์รัชทายาท รัฐจงได้สืบทอดราชบัลลังก์เมื่อไรแล้วเกิดมีความคิดไม่ซื่อขึ้นมา เขาย่อมไม่สนใจตัวประกันจงแน่ ด้วยเหตุนี้ก็จะทำให้จงซู่เฟิงนั้นกลายเป็นหมากที่ไร้ประโยชน์ไป”
องค์รัชทายาทก็ได้ผงกหัวเมื่อเขาได้ยินที่พูด เขานั้นรู้สึกได้ว่าทั้งสองฝ่ายนั้นต่างก็พูดถูกต้อง ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถที่จะตัดสินใจได้ชั่วขณะหนึ่ง
ในเวลานี้ผู้อาวุโสน่าหลานก็ได้กล่าวต่อ “หากนำทั้งสองความเห็นนี้มาเทียบชั่งน้ำหนักดูแล้ว ข้าว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่จะปล่อยตัวประกันจงไป เพียงแต่ลำพังหนังสือสัญญาแค่แผ่นเดียวเช่นนี้ องค์ชายเย่จะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายนั้นจะไม่คิดข้ามสะพานแล้วจะตัดสะพานนั้นเสียแล้วแว้งกัดพวกเราทีหลังน่ะ”
เจียงหวายเย่ก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่าเขานั้นจะอารมณ์ดีมาก ถึงแม้ว่าหน้ากากหยกขาวนั้นจะปิดบังทำให้ไม่เห็นสีหน้าแต่ก็พอจะมองออกว่าเขานั้นดูเบาความตึงเครียดลง แล้วเขาก็ได้มองไปที่ผู้อาวุโสน่าหลานแล้วกล่าว “ถ้าหากเปิ่นหวางบอกว่ามีหนทางดีๆล่ะ?”
“ท่านว่ามาได้เลยข้ารอฟังอยู่”
ผู้อาวุโสน่าหลานก็ได้หรี่สายตาของเขาลงและรู้สึกสงสัยถึงวิธีการของเจียงหวายเย่ ซึ่งอย่างไรเสียการพูดนั้นมันทำได้ง่าย แต่การลงมือทำจริงนั้นมันเป็นเรื่องยากนัก
เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่องค์รัชทายาทก่อนแล้วกล่าว “หากว่าองค์รัชทายาทนั้นได้ส่งใครสักคนให้ไปส่งจงซู่เฟิงกลับไปที่รัฐจงด้วย องค์ชายคนอื่นๆในรัฐจงก็จะสามารถเดาจุดประสงค์ของรัฐเราได้”
เมื่อถึงจุดนี้ผู้อาวุโสน่าหลานก็ได้เข้าใจขึ้นมาทันที “ท่านหมายความว่าให้อีกฝ่ายคิดว่าการที่เราจะร่วมมือกับรัฐจงนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นจงซู่เฟิงก็ได้ จะองค์ชายคนไหนก็ได้ทั้งนั้นอย่างนั้นสิ?”
องค์รัชทายาทเองก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน “ด้วยวิธีการนี้ก็จะก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นในรัฐจง ซึ่งสำหรับ รัฐเจียงแล้วพวกเราก็จะสามารถถือโอกาสนี้แทรกซึมเข้าไปข้างในได้ และด้วยวิธีการนี้ต่อให้ผลจะไม่เป็นไปตามที่พวกเราหวังเอาไว้ แต่มันก็ไม่สำคัญแล้ว”
แต่ละคนก็ได้พูดอธิบายแผนการที่ชาญฉลาดของ เจียงหวายเย่ออกมาอย่างชัดเจน ผู้อาวุโสน่าหลานเองก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่ด้วยสีหน้าที่ชื่นชมมาก “แผนการขององค์ชายเย่นั้นช่างแยบยลเสียจริงๆ”
“ถ้าเช่นนั้นแล้วพวกเราจะส่งตัวจงซู่เฟิงกลับรัฐจงเมื่อไรดี?” องค์รัชทายาทก็ได้มองไปที่คนฉลาดทั้งสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา
“องค์รัชทายาทจะต้องขึ้นครองราชย์ในอีกสองวันแล้ว และเรื่องนี้จะต้องจัดการให้เรียบร้อยในอีกสามวัน!” ริมฝีปากของเจียงหวายเย่ก็ได้ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เผยให้เห็นความเจ้าเล่ห์ของเขา
ด้วยเหตุนี้อีกสองวันก็ได้ผ่านไป แล้ววันที่องค์รัชทายาทได้ขึ้นครองราชย์ก็ได้มาถึง ในวันนี้องค์รัชทายาทก็ได้แต่งตัวด้วยชุดที่ยิ่งใหญ่มาก และได้ทำพิธีกราบไหว้บรรพชนและฟ้าดิน แล้วจากนั้นก็ได้ยอมรับการถวายบังคมจากผู้คนมากมาย
และตามข้อตกลงที่ได้ให้เอาไว้กับเจียงหวายเย่ เขาก็ได้มีประกาศราชโองการต่อหน้าผู้คนมากมายโดยมีใจความว่า “เสด็จลุงเจียงหวายเย่นั้นจะขึ้นรับตำแหน่งเป็นพระมหาอุปราชคอยช่วยเหลือเราในการบริหารบ้านเมือง และแต่งตั้งให้น่าหลานจาวเข้าทำงานในวังหลวงในฐานะผู้บัญชาการเหล่าองครักษ์ในวังหลวงเพื่อคอยรักษาความปลอดภัยในวังหลวง”
ด้วยฐานะของมหาอุปราชแล้ว เจียงหวายเย่ไม่จำเป็นที่จะต้องถวายบังคมให้ฮ่องเต้ เขาจึงได้ยืนรับราชโองการเฉย ในขณะที่น่าหลานจาวต้องคุกเข่ารับราชโองการ
จากนั้นผู้คนก็ได้พากันตะโกน “องค์ฮ่องเต้ทรงพระปรีชายิ่งนัก ขอองค์ฮ่องเต้จงทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นๆปี และขอให้พระมหาอุปราชจงอายุยืนพันปีพันๆปี”
เมื่อได้ยินที่กล่าวเช่นนี้เจียงหวายเย่ก็ได้หลับตาของเขาลงด้วยความรู้สึกพ่ายแพ้ ขึ้นมา ถ้าหากว่าคนคนหนึ่งสามารถมีชีวิตได้ถึงพันปีจริงๆ เขานั้นขอแค่มีชีวิตอยู่ร่วมกับ เสี่ยวเหยียนเอ๋อในชาตินี้ก็พอแล้ว
ในขณะที่เขากำลังไม่ได้สติอยู่นั้น ก็ได้มีเสียงดังขึ้นมาจากในฝูงชน แล้วเหล่าราชองครักษ์ที่อยู่รอบๆคอยทำหน้าที่อารักขาความปลอดภัยอยู่นั้นก็ได้รีบมาเข้ามาดู ซึ่งเจียงหวายเย่ก็ได้เหลือบไปมองดูโดยไม่ตั้งใจแล้วก็พบว่าเป็นเจ้าตัวแสบ เทียนเอ๋อ
ด้วยความกลัวว่าเหล่าราชองครักษ์จะไม่รู้และทำอะไรรุนแรงกับเทียนเอ๋อได้ เจียงหวายเย่จึงได้ทูลขอตัวกับ องค์รัชทายาท แล้วก็รีบวิ่งไปหาเพื่อไปอุ้มเทียนเอ๋อขึ้นมาท่ามกลางสายตาของผู้คน
ในเวลานี้ดวงตาของเทียนเอ๋อก็ได้แดงมากและบวมเป่งราวกับว่าเขาจะร้องไห้ได้ทุกเมื่อ ทำให้เจียงหวายเย่รู้สึกหดหู่มาก
“ท่านอาจารย์ ทำไมท่านกลับมาถึงไม่พาท่านแม่กลับมาด้วย?” เทียนเอ๋อก็ได้ถามอย่างสะอื้น เขานั้นคิดว่าท่านแม่ของเขานั้นจะกลับมาแล้ว ดังนั้นเขาจึงได้คิดที่มอบเงินทั้งหมดที่เขามีให้กับนาง
หลังจากที่เห็นเทียนเอ๋อกับเจียงหวายเย่ที่เหมือนจะรู้จักกันแล้ว เยี่ยจุนเจี๋ยก็มองดูด้วยความตกใจ และมีแววตาครุ่นคิดในดวงตาของเขาแต่เขาก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งด้วยแต่อย่างใด
เจียงหวายเย่ก็ได้ลูบหัวของเทียนเอ๋อแล้วกล่าวปลอบเขา “เจ้าไม่ต้องกังวล ท่านแม่ของเจ้าไม่เป็นอะไร และจากกำหนดการแล้วนางน่าจะกลับมาถึงเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้แล้ว”
“จริงเหรอขอรับ?” เทียนเอ๋อก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่ด้วยดวงตาเล็กๆของเขา
เจียงหวายเย่ก็ได้ผงกหัวจากนั้นก็ได้กลับไปหา องค์รัชทายาทพร้อมกับเทียนเอ๋อในอ้อมแขนของเขา…..ไม่สิตอนนี้ควรจะต้องเรียกว่าฮ่องเต้แล้ว แล้วเขาก็ได้พาเทียนเอ๋อไปหาฮ่องเต้
ฮ่องเต้ก็ได้มองไปที่เทียนเอ๋อด้วยแววตาที่ประหลาดใจ “ข้าจำเด็กคนนี้ได้ เขานั้นฉลาดมากและยังช่วยข้าเขียนบทความด้วย”
จริงๆแล้วมีเรื่องราวตามมาหลังจากนั้นอีกหน่อยคือ ในวันนั้นหลังจากที่เทียนเอ๋อเขียนบทความให้องค์รัชทายาทเสร็จแล้ว เขาก็ได้เรียกร้องขอเป็นทอง 1 ก้อน แต่องค์รัชทายาทไม่มีเงินมากขนาดนั้น ผลคือเทียนเอ๋อก็ได้ทะเลาะกับเขา สุดท้าย องค์รัชทายาทก็ได้ยอมแพ้และขอทอง 1 ก้อนจากเสด็จแม่ของเขา เทียนเอ๋อจึงได้หยุดโวยวาย
เทียนเอ๋อก็ได้มองไปที่ฮ่องเต้ตัวน้อยเมื่อเขาได้ยินที่พูด แล้วจากนั้นแววตาเศร้าโศกในดวงตาของเขาก็ได้หายไป แล้วก็อ้าแขนของเขาไปหาฮ่องเต้ด้วยความยินดีแล้วกล่าว “เทียนเอ๋อ อยากให้พี่ชายคนนี้อุ้มข้าบ้าง”
เจียงเจิ้งเฉิงก็ได้ยิ้มออกมาทันที เขานั้นคิดเพียงแค่ว่าเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าเขานี้เป็นเด็กที่น่ารักและฉลาดมาก และไม่คิดโกรธแค้นเขาเลยแม้แต่น้อย
และเพราะการกระทำทุกอย่างนี้ล้วนตกอยู่ในสายตาของผู้คนจำนวนมาก เทียนเอ๋อจึงได้กลายเป็นเด็กที่มีชื่อเสียงไปชั่วขณะหนึ่ง
ต่อมาก็ได้มีข่าวลือออกมาว่าเด็กที่โผล่มาในวันนั้นคือลูกลับๆของเจียงหวายเย่ และตอนนี้เขาก็พร้อมที่จะรับเด็กคนนั้นกลับเข้ามาในวังรัตติกาลแล้วเพื่อให้เขาได้เป็นผู้สืบสกุล
แล้วข่าวลือเหล่านี้ก็ได้ตกไปถึงหูของหญิงสาวสองคน และทำให้ทั้งคู่ตกใจเพราะการปรากฏตัวของเด็กคนนี้เป็นเครื่องยืนยันว่าเจียงหวายเย่นั้นมีคนที่เขาชอบแล้ว และคนคนนั้นคือใครกัน?
หลังจากที่สอบถามจากคนหลายคน หลินรั่วจิ่งก็ได้ทราบว่าเด็กคนนั้นก็คือหลินเทียนซื่อซึ่งเป็นลูกของหลินซีเหยียนนั่นเอง!
ถึงแม้จะมีคนลือว่าหลินซีเหยียนนั้นเคยหมั้นหมายกับองค์ชายเย่มาก่อน แต่ทว่าหลินซีเหยียนนั้นมีเด็กคนนี้มาก่อนที่ทั้งคู่จะพบกัน จึงแสดงให้เห็นว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกขององค์ชายเย่แน่นอน
เมื่อได้ข้อสรุปนี้แล้วทำให้หลินรั่วจิ่งนั้นรู้สึกโล่งอก
แต่ทว่าเจียงอี๋ที่อยู่ในวังรัตติกาลนั้นไม่ทราบเรื่องนี้ และเพราะการปรากฏตัวของเด็กคนนี้ทำให้นางนั้นรู้สึกร้อนรนขึ้นมา นางจะต้องยึดครองหัวใจขององค์ชายให้ได้โดยไวไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรก็ตาม
เมื่อตัดสินใจได้แล้วเจียงอี๋ก็ได้ต้มซุปโสมแล้วพอออกจากห้องครัวไปก็ได้นำซุปนั้นไปให้อันอี้
ผู้คนในห้องครัวนั้นต่างก็คิดว่านางคงเป็นบ้าไปแล้ว และปล่อยให้นางทำตามที่นางต้องการ แต่ก็พวกเขานั้นไม่คิดว่านางนั้นจะแอบซ่อนอะไรไว้ในซุปโสมนั่นด้วย
ในตอนค่ำเจียงอี๋ก็ได้คาดการณ์เวลาที่ยาน่าจะออกฤทธิ์เอาไว้แล้วและคิดว่าเจียงหวายเย่จะต้องดื่มซุปโสมของนางแน่ นางจึงได้ไปที่ตำหนักขององค์ชายแล้วก็ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปตามระเบียบ
แล้วนางก็ได้กล่าวด้วยใบหน้าที่ไม่แดงและหัวใจที่ไม่เต้นเร็ว “องค์ชายได้บอกให้ข้ามาเอง ทำไมพวกท่านถึงต้องขวางทางข้าด้วย”
เหล่าองครักษ์ต่างก็หันหน้ามามองกันเองและก็ยังไม่สามารถตัดสินใจได้อยู่สักพัก ในขณะนั้นเองเจียงหวายเย่ที่อยู่ในห้องก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขา และปรากฏจิตสังหารในดวงตาของเขาและเมื่อเขาได้ยินเสียงดังมาจากข้างนอกนั่นเขาก็ได้พูดออกมาเบาๆ “อันอี้”