หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 310 แม่นางได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย
บทที่ 310
แม่นางได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย
ในขณะที่หัวหน้าของอีกฝ่ายเห็นท่าทีของหลินหนานเฟิงแล้วสีหน้าของเขาก็ไม่ดีขึ้นมา “นี่เจ้าคิดว่าพวกเราจะยอมปล่อยเจ้าไปด้วยเศษเงินแค่นี้อย่างนั้นเหรอ?”
“……”
แล้วหลินหนานเฟิงก็ได้เผยรอยยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ตอบอีกฝ่ายด้วยการกระทำของเขา ทันทีที่เขาสะบัดมือของเขาออกไป เหรียญทองแดงทั้ง 5 เหรียญก็ได้ถูกขว้างออกไปและสกัดจุดเคลื่อนไหวของลูกน้องทั้ง 5 คนอย่างแม่นยำ
ทันใดนั้นเองลูกน้องทั้ง 5 คนก็เหมือนกับถูกกดปุ่มหยุด แล้วยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่เคลื่อนไหวไปไหน
แล้วสายตาของเขานั้นก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกขึ้นมา และดูเหมือนว่าพวกเขานั้นต้องการที่จะให้ลูกพี่ของเขาช่วยเหลือ แต่ทว่าทันทีที่ลูกพี่ของพวกเขาเห็นหลินหนานเฟิงนั้นไม่ใช่คนที่จะเข้าไปยุ่งด้วยง่ายๆได้แล้ว ลูกพี่ก็ได้วิ่งหนีไปทันที
ไม่เพียงแค่นั้นในขณะที่อีกฝ่ายกำลังวิ่งหนีไปนั้น เขาก็ได้ตะโกนบ่นออกมาด้วย “ไหนอีนังนั่นบอกว่าเป็นสาวงามตัวคนเดียวที่ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะหักคอไก่ แล้วให้พวกข้าปู้ยี่ปู้ยำนางได้ตามใจชอบได้ไง?”
“จี๋เฟิงไปพาตัวเขากลับมา” หลินซีเหยียนก็ได้ยกมือของนางขึ้นมา แล้วชี้ไปที่แผ่นหลังของลูกพี่ที่กำลังวิ่งหนีไปด้วยความสนใจยิ่ง แล้วเปิดปากพูดออกมาอย่างไม่เร่งรีบ
แล้วตัวของจี๋เฟิงก็ได้หายไปแล้วไล่ตามตัวลูกพี่โดยใช้เวลาไม่นานนัก เขาได้คว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายขึ้นมาแล้วปล่อยให้ขาของอีกฝ่ายทำร้ายตัวเขาอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าตัวเขากลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
ไม่นานนักอีกฝ่ายก็ได้ปลดปล่อยอารมณ์โกรธไปจนหมด และยอมรับชะตากรรมของตัวเองแล้วปล่อยให้จี๋เฟิงหิ้วพาตัวกลับมา แล้วถูกโยนลงไปที่พื้นลงไปกองกับพื้นดินแข็งๆ
ในชั่วขณะนั้นเองเขาก็รู้สึกราวกับว่าก้นของเขานั้นได้แตกออกกลายเป็นดอกไม้ 8 กลีบ แต่หลินซีเหยียนนั้นไม่ได้ปล่อยให้เขามีเวลาได้ร้องไห้คร่ำครวญ แล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “ใครเป็นคนส่งเจ้ามา?”
แล้วลูกพี่ก็ได้กลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง แล้วจากนั้นก็ได้ลงไปคุกเข่าลงต่อหน้าของหลินซีเหยียนแล้วกล่าวอย่างเชื่อฟัง “แม่นาง พวกเราก็แค่ต้องการเงินเท่านั้นเองจริงๆ”
“อยากได้เงินอย่างนั้นเหรอ?” หลินซีเหยียนก็ได้ยิ้มให้เขาแล้วอีกฝ่ายก็เคลิบเคลิ้มทันที แต่เมื่อหลินซีเหยียนเห็นสีหน้าของเขาแล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ได้หายไปทันที แล้วเสียงที่ราวกับผุดมาจากขุมนรกและหนาวเย็นถึงกระดูกก็ได้ดังขึ้นมา “ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ไปดักปล้นรถม้าของพ่อค้าเล่า? หรือว่าเจ้าอยากได้ม้าของพวกข้า?”
ลูกพี่ที่ไม่รู้ว่าจะหาคำอธิบายดีๆอย่างไรดี ทันทีที่เขาได้ยินหลินซีเหยียนพูดนั้นเขาก็ได้ผงกหัวยืนยันทันที “แม่นางเดาได้ถูกต้องแล้ว พวกเรานั้นสนใจในตัวม้าของท่านจริงๆนั่นแหละ”
“นี่เจ้าคิดว่าข้านั้นหลอกง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ?” หลินซีเหยียนก็ได้หรี่สายตาของนางลง แล้วเข็มเงินก็ได้ถูกปล่อยออกมาจากปลายนิ้วของนาง แล้วปักลงไปที่ไหล่ของลูกพี่
แล้วทันใดนั้นลูกพี่ก็ได้เริ่มตะโกนออกมาอย่างทุกข์ทรมาน “เจ็บเหลือเกิน แม่นางได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลย”
“เจ้าจะยอมพูดดีๆหรือไม่?” คำถามของหลินซีเหยียนนี้ไม่ได้ช้ามากนัก แต่สำหรับตัวลูกพี่แล้วช่วงเวลาทรมานของเขานั้นมันนานมากนัก
แล้วเขาก็ได้รีบผงกหัวตอบ “แม่นางได้โปรดช่วยข้าด้วย ข้ายอมบอกความจริงแล้ว”
หลินซีเหยียนก็ได้โยนยาเม็ดเล็กๆลงไปที่ปากของเขาขณะที่กำลังเปิดปากพูดอยู่ แล้วจากนั้นความเจ็บปวดของอีกฝ่ายก็ได้ค่อยๆทุเลาลงอย่างรวดเร็ว
“พูดมา!”
“เรียนแม่นาง เมื่อ 4 วันก่อนมีขบวนรถม้าผ่านมา พวกเราก็ต้องการที่จะดักปล้น แต่พวกเรากลับถูกทำร้ายโดยฝูงแมลงเข้าเสียก่อน” เมื่อพูดออกไปเช่นนี้ ตัวลูกพี่ก็ได้เหลือบไปมอง หลินซีเหยียน แล้วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นไม่มีท่าทีสงสัยอะไร จึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
แล้วเขาก็ได้เล่าต่อ “แล้วก็มีแมลงพวกนั้นบางตัวมันเข้ามาในตัวของพวกเรา แล้วทำให้พวกเราลงไปกองกับพื้นในทันที จากนั้นก็มีหญิงสาวในชุดสีขาวปรากฏตัวออกมา นางบอกว่านางจะไม่ฆ่าพวกเราก็ได้หากว่าพวกเรายอมช่วยนางฆ่าผู้หญิงคนหนึ่งที่จะผ่านมาทางนี้ที่มีหน้าตาที่งดงามและสวมชุดสีเขียว”
“แล้วเจ้าก็ช่างเชื่อฟังดีเหลือเกินนะ แล้วอีกฝ่ายได้ตกลงอะไรกับพวกเจ้าล่ะ?”
แล้วลูกพี่ก็ได้ส่ายหัวอย่างรวดเร็วและราวกับอยากที่จะแสดงหลักฐานที่เขาพูดให้เห็น เขาก็ถกแขนเสื้อของเขาขึ้นมาแล้วจากนั้นก็พบจุดแดงๆปรากฏให้เห็นต่อหน้าทุกคน
“หญิงสาวคนนั้นบอกกับพวกเราว่าหากพวกเราทำงานนี้สำเร็จ นางจะมากำจัดแมลงพิษให้พวกเรา”
เพียงแค่มองปราดเดียวหลินซีเหยียนนั้นก็รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นถูกพิษเข้าจริงๆ แต่ว่าเป็นแมลงวิปลาสที่ไม่รุนแรงมากนัก อย่างมากก็แค่ทำให้คนพวกนี้รู้สึกเจ็บปวดเป็นช่วงๆเท่านั้น
แต่ก็เป็นการยืนยันให้เห็นว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นเป็นความจริง
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ตัวลูกพี่ที่ไร้ซึ่งผมบนหัวแล้วกล่าว “เข้ามานี่”
แล้วลูกพี่ก็ได้ตัวสั่นด้วยความกลัวและลังเลที่จะเดินเข้าไปหา แต่เขาก็ไม่อาจที่จะทนต่อแรงกดดันของอีกฝ่ายได้ เขาจึงได้เดินไปหาอย่างช้าๆ แล้วหลินซีเหยียนก็ได้หยิบเอามีดที่คมกริบออกมาแล้วกล่าว “ยืนแขนของเจ้าออกมา”
“คุณผู้หญิงข้าบอกความจริงกับท่านไปแล้ว ได้โปรดปล่อยพวกเราไปเถอะ!” แล้วลูกพี่ที่มีใบหน้าที่ดูเถื่อนและหยาบกร้านนั้นก็ได้ขมวดเข้าหากันราวกับลูกบอล ราวกับเด็กที่กลัวการฉีดยายังไงอย่างงั้น
หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่เขาแล้วส่ายหัว “หากว่าเจ้าไม่คิดทำอะไรตุกติก ข้าก็จะปล่อยเจ้าไป”
หลังจากที่พูดจบนางก็ได้ใช้มีดกรีดลงไปที่บริเวณที่มีสีแดงและบวมเป่ง แต่มีดนั้นกรีดลงไปตื้นมากจึงโดนแค่ผิวของเขาไม่ได้กรีดลงไปที่เนื้อ
ในขณะที่ลูกพี่นั้นไม่อาจทำความเข้าใจกับสถานการณ์ได้นั้น หลินซีเหยียนก็ได้โรยอะไรบางอย่างลงไปที่แผล แล้วจากนั้นก็ได้มีแมลงตัวนุ่มๆสีชมพูค่อยๆออกมาจากรอยกรีดนั้นอย่างช้า
“แม่งเอ๊ย” มองไปที่ภาพที่น่าสะพรึงนี้ ลูกพี่ก็ได้รีบจับเจ้าแมลงตัวนั้นขึ้นมาแล้วโยนลงไปที่พื้นก่อนจะกระทืบจนตาย ในชั่วขณะนี้เองที่เขาไปปล่อยตัวทำอะไรหยาบคายออกมา แล้วจากนั้นเขาก็ได้รู้สึกตัวขึ้นมาว่าหญิงสาวตรงหน้าเขานี้ได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
จึงได้รีบลงไปคุกเข่ากับพื้นแล้วตะโกนเสียงดัง “ข้าขอขอบคุณในความใจดีของแม่นางมาก ข้าหวังว่าแม่นางจะช่วยเหลือลูกน้องของข้าด้วย”
หลินซีเหยียนไม่ได้ตอบอะไรแต่มองไปที่คนอื่นๆแล้วถาม “พวกเจ้าพอจะบอกลักษณะของหญิงสาวชุดขาวคนนั้นได้ไหม?”
ในเมื่อไม่ต้องตกอยู่ในการควบคุมของแมลงพิษของหญิงสาวในชุดขาวคนนั้นแล้ว แน่นอนว่าตัวลูกพี่ก็ได้เล่าทุกอย่างที่เขารู้ออกมาทันที “หญิงสาวคนนั้นทำตัวเป็นบอบบาง และสีหน้าของนางนั้นก็ซีดเผือดมาก”
แล้วยังสามารถใช้แมลงวิปลาสได้อีก หากรวมเอาข้อมูลทั้งสามนี้มารวมเข้าด้วยกันแล้ว หลินซีเหยียนก็นึกถึงเจียงอี๋ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา แต่ไม่ใช่ว่าเจียงอี๋นั้นถูกขังอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่หรอกเหรอ? หรือว่าอีกฝ่ายได้พยายามหลบหนีออกมา?
แล้วนางก็ได้โยนยาขวดนั้นไปให้ลูกพี่ แล้วหลินซีเหยียนก็ได้กล่าวอย่างเยือกเย็น “เปิดปากแผลออกแล้วโรยยานั้นลงไป แล้วแมลงวิปลาสในตัวของพวกเจ้าก็จะออกมาเอง”
จากนั้นพวกนางก็ได้ผ่านคนพวกนั้นไปแล้วปล่อยพวกเขาทิ้งเอาไว้
ระหว่างทางหลินซีเหยียนก็ได้นึกถึงสิ่งที่เจียงหวายเย่พูดขึ้นมาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา “แม่นางเจียงได้ช่วยเราไว้ด้วยเลือดของนาง”
หรือว่าจะเป็นเจียงหวายเย่เองที่เป็นคนช่วยเจียงอี๋?
ความคิดนี้ทำให้หลินซีเหยียนนั้นรู้สึกไม่ดีขึ้นมาหน่อยๆ ถ้ามันเป็นเรื่องจริงก็แสดงว่าที่เจียงหวายเย่พูดในวันนั้นก็เป็นเรื่องจริงแทนที่จะยั่วโมโหนางอย่างนั้นสิ?
หลินซีเหยียนก็ได้ถอนหายใจออกมาแล้วพยายามที่จะหยุดคิดวอกแวกแล้วตั้งใจเดินทางกลับ
ในเวลานี้ก็ได้มีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นในเมืองหลวง เมื่อองค์ฮ่องเต้ได้สละราชบัลลังก์และส่งต่อให้กับองค์รัชทายาท และองค์ชายรัตติกาลก็ได้ขึ้นมาเป็นมหาอุปราช ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงต่างก็พูดคุยกันถึงเรื่องนี้ พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าวันที่ดีของพวกเขานั้นได้กลับจะมาถึงแล้ว เพราะพวกเขาต่างก็เชื่อว่าภายใต้การชี้นำขององค์ชายรัตติกาลนั้น จะต้องทำให้พวกเขามีชีวิตที่สุขสบายอย่างแน่นอน
แต่ทว่าในเวลานี้บรรยากาศในวังหลวงกับตึงเครียด เพราะเจียงหวายเย่นั้นได้ส่งมอบหนังสือสัญญาของจงซู่เฟิงให้กับองค์รัชทายาท แล้วองค์รัชทายาทนั้นก็ยังเยาว์วัยอยู่จึงไม่รู้ว่าจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดีและตัวเขาเองก็ยังไม่ได้เชื่อใจ เจียงหวายเย่อย่างสนิทใจด้วย เขาจึงได้เชิญผู้อาวุโสน่าหลานเข้าวังหลวงมา แล้วก็ได้กลายเป็นสถานการณ์ประชุมสามฝ่าย