หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 305 พระมหาอุปราชรัตติกาล
บทที่ 305
พระมหาอุปราชรัตติกาล
แต่เกรงว่าพระสนมเซียงก็คงไม่นึกฝันว่า เพราะการที่นางอดกลั้นแล้วปล่อยเจียงเหรินจื้อไปนั้น จะทำให้ฮ่องเต้เจียงองค์ปัจจุบันแน่วแน่ที่จะฆ่านาง
และสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ได้ทำให้เจียงหวายเย่ต้องอยู่ในสภาพมีชีวิตอยู่ก็เหมือนไม่มีชีวิตอยู่เช่นกัน
ไม่นานนักหลังจากที่เจียงเหรินจื่อได้เข้ารับตำแหน่ง องค์รัชทายาท พระสนมเซียวก็ได้ถูกใส่ร้ายและถูกสั่งประหาร ซึ่งก่อนหน้านั้นเจียงหวายเย่ก็ได้พบนางเป็นครั้งสุดท้าย
ในเวลานั้นเจียงหวายเย่นั้นยังคงเป็นเพียงเด็กอายุ 12 ก็ได้สาบานกับสวรรค์ “ข้าจะช่วยท่านแม่ล้างแค้นให้จงได้”
พระสนมเซียวที่ถูกล่ามเอาไว้นั้น แต่บรรยากาศของนางก็ยังคงอบอุ่นอยู่เสมอ นางก็ได้ลูบหัวของเจียงหวายเย่และดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยความฝืนใจ แต่นางก็ยังได้กล่าวออกไป “สัญญากับแม่ ว่าเจ้าจะไม่ล้างแค้นและจะไม่ทำร้ายพี่ชายของเจ้านะ หวายเย่”
“ทำไมล่ะขอรับท่านแม่ ท่านก็รู้ดีว่าเขาเป็นคนทำร้ายท่าน” เจียงหวายเย่ก็ได้คิ้วขมวดและเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายออกมา
ภาพนี้ได้ทำให้พระสนมเซียวนั้นรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาในใจของนาง และเห็นลูกชายที่จิตใจดีของนางนั้นเป็นเหมือนปีศาจร้ายไปชั่วขณะหนึ่ง นางจึงได้รีบกล่าว “แม่นั้นหวังเพียงให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ส่วนเรื่องของบุญคุณความแค้น ไม่ว่าสิ่งไหนผิดสิ่งไหนถูกเจ้าก็จะต้องปล่อยมันไป!”
แล้วตลอด 10 ปีหลังจากนั้น เจียงหวายเย่ที่สูญเสียการปกป้องของพระสนมเซียวไปแล้วนั้นก็ถูกทำให้ต้องยากลำบากโดยเจียงเหรินจื่อมาโดยตลอด เขานั้นถูกกลั่นแกล้งตลอดทั้งวัน แล้วในปีที่เขาเข้าพิธีบรรลุนิติภาวะเขาก็ได้ถูกส่งไปรบทันที
เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด!
แต่ก็เป็นเคราะห์ดีที่เพราะความพยายามของ เจียงหวายเย่ ที่ตัวเขาได้รับแผลเป็นมามากมายแลกกับความชื่นชมของผู้คนจากการประสบความสำเร็จจากสงครามมานับไม่ถ้วน
เดิมทีเขานั้นอยากที่จะละทิ้งทุกสิ่งแล้วหมกมุ่นอยู่ในแนวหน้า เพื่อที่เขาจะได้ลืมเรื่องของบุญคุณความแค้น แต่เขาก็ไม่นึกว่าหลังจากที่เจียงเหรินจื้อได้ขึ้นครองราชย์แล้ว อย่างแรกที่เขาทำคือวางยาพิษเขาร่วมกับองค์ไทเฮา
แล้วข้ารับใช้ของเขาเหิงกุ้ยก็ได้วางยาสารพัดในอาหารของเขาทั้งเช้าและเย็น แล้วจากนั้นมาจากเทพสงครามไร้พ่ายก็ได้กลายเป็นองค์ชายพิการไป
ชีวิตพลิกผัน สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ
แล้วความทรงจำของเขาก็ได้หยุดลง เจียงหวายเย่ก็ได้หยุดเดินแต่ก็ยังไม่หันหลังกลับไป เสียงของเขาก็ได้ดังก้องไปทั่วทั้งหอนั้น “จากวันนี้เป็นต้นไป องค์ชายเจียงเจิ้งเฉิงจะขึ้นเป็น องค์ฮ่องเต้องค์ใหม่ของรัฐเจียง”
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจียงเหรินจื้อก็ได้ลุกขึ้นยืนด้วยความโกรธ เขาชี้ไปที่เจียงหวายเย่แล้วกล่าว “องค์ชายเย่จิตใจของเจ้ามันช่างคิดคดทรยศจริงๆ ทำไมข้าถึงไม่วางยาเจ้าให้ตายๆไปเสีย ทั้งๆที่รู้ว่าจะต้องมีวันเช่นนี้เกิดขึ้น”
เมื่อได้ยินที่เจียงเหรินจื้อพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อตอนนั้นแล้ว ดวงตาของเจียงหวายเย่ก็ได้เต็มไปด้วยความหนาวเย็นขึ้นมา
แล้วก็ได้หันหน้ากลับมา แล้วจิตสังหารของเจียงหวายเย่ก็ได้แผ่ออกไปทำให้เจียงเหรินจื้อต้องถอยหลังออกมา “องค์ชายเย่ เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ? เจ้าคิดจะฆ่าฮ่องเต้อย่างนั้นเหรอ?”
“จนกระทั่งถึงตอนนี้แล้ว นี่เจ้ายังไม่รู้ถึงความเป็นจริงอีกเหรอ?” เจียงหวายเย่ก็ได้เก็บจิตสังหารกลับไปแล้วมองดู เจียงเหรินจื้อด้วยสายตาที่เยาะเย้ยแทน
“ข้าเป็นฮ่องเต้ เป็นฮ่องเต้ของรัฐเจียง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเรื่องนี้ก็จะไม่มีวันเปลี่ยน ตราบเท่าที่ข้ายังไม่ตายข้าสามารถเปลี่ยนและแต่งตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่ได้”
ถ้าเกิดมีให้คนคนหนึ่งโดนหลอกโดยอีกคนหนึ่งแล้วมีอีกคนมาบอกความจริงคนคนนั้น คนคนนั้นก็จะตื่นจากความฝัน แต่ถ้าเกิดคนคนนั้นหลอกตัวเองแล้ว ไม่ว่าจะพูดความจริงอย่างไร ก็เกรงว่าเขาคงจะไม่มีวันที่จะตื่นจากฝันนั้น
เจียงหวายเย่ก็ได้มองอีกฝ่ายด้วยแววตาที่สมเพชแล้วจากนั้นก็เดินออกไป เขาไม่อยากที่จะเสียเวลาไปมากกว่านี้แล้ว ส่วนเรื่องความฝันของเจียงเหรินจื้อนั้นเขาคงจะถูกปลุกโดยคนอื่นในไม่ช้า
“จากนี้ไป เราจะจัดการพวกคนที่ใส่ร้ายท่านแม่ของเราและทำร้ายเรา จนกว่าเราจัดการทั้งหมดทุกคนโดยไม่มีใครเหลือรอดแล้ว เราจะยังไปอีกฝั่งไม่ได้ และถ้าจะให้ดีเราจะฝังไปพร้อมกับเจ้าด้วย”
ยืนอยู่ตรงหน้าหอผานหลง พระอาทิตย์ก็ได้ฉายแสงเข้ามาและตัวของเจียงหวายเย่ก็ได้สะท้อนแสงสีขาวออกมา ด้วยหน้ากากหยกขาวของเขาแล้วมันก็เพียงพอจะทำให้เขาดูเหมือนกับเทพเซียนที่มาจากสวรรค์ชั้น 9
เขามองไปที่ทหารเฝ้ายามที่ทำหน้าที่คุ้มกันหอผานหลงนี้ และปรากฏแววตาภาคภูมิใจบนสีหน้าของเขา คนพวกนี้เป็นลูกน้องของเขาที่สาบานว่าจะติดตามเขาไปจนกว่าจะชีวิตจะหาไม่
ด้วยการช่วยเหลือของกองทัพของเจียงหวายเย่ ความฝันที่จะขึ้นเป็นฮ่องเต้ขององค์ชายสามนั้นก็ได้ดับสิ้นไปในทันที
ณ ท้องพระโรง องค์ชายหกได้ขึ้นนั่งพระราชบัลลังก์ด้วยใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นที่น่ารังเกียจ ในวันนั้นเจียงหวายเย่ได้ใช้ยาพิษคันกับองค์ชายสามไปแล้วก็จริง แต่นั่นก็ไม่อาจที่จะหยุดดาบที่กระหายเลือดของเขาได้
องค์รัชทายาทจึงได้เสียโฉมตั้งแต่วันนั้น
“คือว่า….เราจะอธิบายให้สาธารณชนให้เข้าใจได้อย่างไรเกี่ยวกับใบหน้าที่เสียโฉมของเขา?!” มีขุนนางจำนวนไม่น้อยที่สนับสนุนฝ่ายขององค์ชายหก อย่างไรก็ดีไม่ได้มีเพียงแค่ องค์ชายเย่เท่านั้นที่สนับสนุนองค์ชายหกแต่ยังมีตระกูลน่าหลานอีกด้วย
แต่ด้วยกฎมณเฑียรบาลแล้วจะละเมิดไม่ได้ ทำให้เหล่าขุนนางพากันตัวสั่นไม่รู้ว่าจะทำเช่นไรดี
แม้องค์รัชทายาทที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรนั้นจะเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม แต่ที่ด้านล่างของตาเขากลับถูกปกคลุมด้วยความว้าวุ่นใจ ตั้งแต่แรกแล้วเขานั้นรู้ดีว่าแผลเป็นบนใบหน้าของเขานั้นสาหัสมาก แม้ว่าเขาจะใช้สมุนไพรล้ำค่ามากมาย แต่ก็ไม่สามารถที่จะทำให้หายไปจนหมดได้ อย่างน้อยก็ช่วยลดความเหี้ยมโหดบนใบหน้าลงไปได้บ้าง
ท่านปู่น่าหลานเองก็กำลังค้ำตัวเองด้วยไม้เท้าหัวมังกรที่ได้รับพระราชทานมาในมือของเขา และสีหน้าของเขานั้นก็ดูอึดอัดใจมากเช่นกันแล้วกล่าว “ในเวลานี้รูปโฉมขององค์ชายหกนั้นเสียหายมาก ถ้าหากพวกท่านไม่สนับสนุนหรือเห็นด้วยแล้ว ก็ไม่มีทางที่พวกท่านจะไม่ได้อยู่จนแก่แน่ แต่ลองคิดดูให้ดีๆ นอกเสียจากองค์จากหกแล้วยังจะมีใครอีกที่เหมาะสมที่จะนั่งบนบัลลังก์นี้?”
เมื่อเหล่าขุนนางได้ยินเช่นนี้พวกเขาต่างก็เห็นด้วยเพราะองค์ชายใหญ่ก็ไร้ความสามารถ ส่วนองค์ชายสองก็เย่อหยิ่งและอวดดี ซึ่งแค่มองผ่านๆก็รู้แล้วว่าเป็นคนที่ไม่มีเหตุผลแบบสุดๆ
ส่วนองค์ชายสามที่ใช้กำลังก่อการกบฏนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ยิ่งหากไล่ดูดีๆแล้วก็จะเหลือแต่องค์ชายหกเท่านั้น จะเสียก็เพียงแต่ใบหน้าขององค์ชาย….
ด้วยหน้ากากหยกบนใบหน้าของเขา เจียงหวายเย่ก็ได้เดินมาบนพื้นยกสูงอย่างช้าๆแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ที่ทำด้วยไม้สีดำ ซึ่งตำแหน่งความสูงนั้นเป็นลองก็แค่บัลลังก์เท่านั้น
“เก้าอี้นั่นมัน—“
“มันเป็นเก้าอี้ไม้ดำขององค์มหาอุปราช ที่ทำมาจากไม้ดำเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเที่ยงธรรมที่ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น และเป็นขุนนางที่จะคอยช่วยเหลือฮ่องเต้”
“ไม่ใช่ว่าตำแหน่งมหาอุปราชนั้นถูกยกเลิกไปนานแล้วหรอกเหรอ?”
กลายเป็นว่าเรื่องนี้เป็นที่โต้แย้งมากกว่าเรื่องของโฉมหน้าขององค์ชายเสียอีก แต่พวกเขาก็ทำได้แค่แอบซุบซิบกันเท่านั้น เพราะเจียงหวายเย่ในเวลานี้ต่างไปจากองค์ชายพิการในอดีตไปแล้ว ในเวลานี้เขามีอำนาจมากและไม่มีใครที่จะกล้าล่วงเกินเขา!
เจียงหวายเย่ก็ได้นั่งอย่างสบายอารมณ์ที่เก้าอี้ของเขา แต่ทั้งตัวของเขาได้แผ่บรรยากาศที่ไม่อาจต้านทานได้ออกมา เขาเหลือบสายตาของเขาลงไปมองเหล่าขุนนางที่อยู่รอบตัวเขา
แล้วริมฝีปากซีดบางที่อยู่ด้านล่างของหน้ากากนั้นก็ได้ขยับเล็กน้อย เขาจ้องมองไปที่เหล่าขุนนางผู้ภักดีอย่างช้าๆแล้วจากนั้นก็กล่าว “แผลเป็นบนใบหน้าขององค์ชายนั้น เราสามารถหาคนมากำจัดออกได้”
“นั่นถือเป็นเรื่องดีพ่ะย่ะค่ะ”
“ตราบเท่าที่องค์ชายมีรูปโฉมที่สง่างามและไม่ดูเหี้ยมโหด พวกเราก็ยินดีที่จะให้การสนับสนุนโดยไม่คิดเป็นอื่นแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
ต่อให้มีคนที่ใจคิดเป็นอื่น แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรแน่นอน เพราะบัลลังก์ขององค์ชายหกนี้ถูกป้องกันโดยตระกูลน่าหลานและองค์ชายรัตติกาล ไม่มีใครที่กล้าเอาตัวเข้าไปวัดด้วยแน่
แต่ก่อนที่พวกเขาจะแสดงความจงรักภักดีเสร็จ เจียงหวายเย่ก็ได้ตบมือของเขาเพื่อทำให้ความเงียบสงบเกิดขึ้น
จากนั้นทั้งในท้องพระโรงก็ได้พลันเงียบกริบ แม้แต่เสียงเข็มหล่นลงพื้นก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอำนาจที่มากล้นขององค์ชายรัตติกาล