หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 304 ควบคุมตัวเองด้วย
บทที่ 304
ควบคุมตัวเองด้วย
ในเวลานี้องค์ชายสามนั้นไม่มีความกลัวในใจของเขาเลยแม้แต่น้อย ในใจของเขามีเพียงทำตามที่ตัวเองต้องการและมีความคิดอะไรไร้สาระเท่านั้น เกรงว่าคงจะเป็นเรื่องยากกับการที่เขาจะควบคุมตัวเองได้
ในขณะที่หลินรั่วจิ่งยังยืนอยู่ที่เดิม องค์ชายสามก็ได้เดินเข้ามาในห้อง ในเวลานี้ได้จ้องไปที่มหาเสนาบดีหลินอย่างไม่พอใจ “มหาเสนาบดีหลิน ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นพ่อของรั่วจิ่ง แต่ตอนนี้รั่วจิ่งเป็นองค์หญิงแล้ว ข้าเกรงว่ามันคงจะไม่เป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่ท่านจะมาพบนางตามที่ท่านต้องการเช่นนี้!”
องค์ชายสามที่พูดอะไรบางอย่างออกมานั้น หากคิดดูสักเล็กน้อยแล้วก็จะเข้าใจได้ทันทีว่าเขาต้องการอะไร
มหาเสนาบดีหลินจึงได้คิดที่จะออกไป แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของลูกสาวของเขาแล้ว เขาก็ได้หยุดและมองไปที่องค์ชายสาม “คือว่าแม่ของรั่วจิ่งนั้นล้มป่วยหนัก ข้าจึงได้มาที่นี่เพื่อรับนางกลับบ้าน”
“ภรรยาของท่านมหาเสนาบดีป่วยอย่างนั้นเหรอ?” องค์ชายสามทำท่าที่ตกใจ จากนั้นเขาก็ได้กล่าวอย่างเป็นห่วง “เอาอย่างนี้ ท่านมหาเสนาบดีหลินกลับไปก่อน แล้วจากนั้นข้าจะไปกับรั่วจิ่งทีหลัง”
ในเวลานี้องค์ชายสามนั้นมีตัวตนที่พิเศษมาก ถ้าหากนางยอมทำตามที่เขาบอกแล้วออกไปด้วยกันต่อหน้าผู้คนมากมายแล้ว ความบริสุทธิ์ของนางคงถูกทำลายแน่
หลินรั่วจิ่งจึงได้เดินไปหามหาเสนาบดีหลินจับมือเขาแล้วกล่าว “เอาไว้ข้าจะไปเยี่ยมท่านแม่พรุ่งนี้ วันนี้ท่านพ่อกลับก่อนเถอะ!”
“รั่วจิ่ง?” มหาเสนาบดีหลินก็ได้มองไปที่หลินรั่วจิ่งแล้วถอนหายใจออกมา เพราะเขานั้นรู้ดีว่าหลินรั่วจิ่งนั้นเป็นเด็กฉลาด และรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง นางคงไม่ถูกกระทำที่เอาเปรียบเป็นแน่
มหาเสนาบดีหลินก็ได้ผงกหัวและถวายบังคมองค์ชายสาม แล้วจากนั้นก็ได้ออกจากวังหลวงไป
ทันทีที่ตัวเกะกะจากไป องค์ชายสามก็เหมือนกับม้าคลั่งที่หลุดออกจากบังเหียนและเริ่มทำท่าเหมือนกำลังจะทำอะไรสนุกๆ เขาเดินเข้าไปหาหลินรั่วจิ่งจากนั้นก็ได้ยืนมือไปลูบผมของอีกฝ่าย แล้วจากนั้นก็ได้หยิบปลายผมของนางขึ้นมาจรดกับจมูกเพื่อดม
แม้ว่าจะทำแค่นี้แต่อีกฝ่ายกลับมีสีหน้าเหมือนมึนเมา สีหน้าเช่นนี้ทำนางรู้สึกแย่ขึ้นมา
หลินรั่วจิ่งที่รับไม่ไหว ก็ได้ผลักอีกฝ่ายออกไปด้วยใบหน้าที่ซีดเล็กน้อย “ได้โปรดควบคุมตัวเองด้วยเพคะ”
ประโยคนี้เหมือนกับเอาอ่างน้ำเย็นมาสาดใส่หัวของเขา ซึ่งช่วยดับความมัวเมาขององค์ชายสามได้ เขาจึงได้ลืมตาที่เต็มไปด้วยความรุนแรงขึ้นมา
จับไปที่ข้อมือของหลินรั่วจิ่ง ดวงตาขององค์ชายสามที่เต็มไปด้วยเลือดก็ได้จ้องไปที่หลินรั่วจิ่ง “ควบคุมตัวเองงั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าเจ้าเองก็อยากจะเป็นฮองเฮาไม่ใช่รึยังไง? ตัวข้าจะได้เป็นฮ่องเต้ในไม่ช้าแล้ว แล้วไม่เร็วหรือช้าเจ้าก็จะต้องเป็นของของข้า”
“ไม่, อย่านะ” หลินรั่วจิ่งก็ได้พยายามขัดขืนสุดกำลังของนาง
แต่ในปัจจุบันองค์ชายสามนั้นไร้ซึ่งความจริงใจไปแล้ว เขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาได้กลายเป็นอะไรสักอย่างซึ่งเลวร้ายมากเหมือนดั่งสัตว์ร้ายที่หลุดออกจากกรง และต้องการที่จะฉีกกระชากตัวนางให้ขาดอย่างสุดกำลังแล้วพานางไปลงนรกด้วยกันกับเขา
แล้วสาวงามก็ได้ร่ำไห้ออกมา หลินรั่วจิ่งนั้นที่เดิมทีก็อ่อนแออยู่แล้วในเวลานี้ก็ได้ยิ่งบอบบางมากยิ่งขึ้นไปอีก
ดวงตาขององค์ชายสามก็ได้จ้องเขม็งไปที่นาง เขาได้จับหลินรั่วจิ่งเหวี่ยงไปที่เก้าอี้ยาวแล้วก็พูดพึมพำออกมา “เวลาชั่วครู่แห่งค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิมีค่าล้ำเท่าพันตำลึงทอง ว่าที่ฮองเฮาของข้า เจ้าควรที่จะจดจำและถนอมมันเอาไว้นะ”
จากนั้นเขาก็ได้ก้มหัวหวังจะจูบแต่ก็พลาด เพราะ หลินรั่วจิ่งนั้นดื้อหลบ
การกระทำของนางเช่นนี้เหมือนกับเป็นการตบหน้า องค์ชายสาม องค์ชายสามจึงได้โกรธขึ้นมาแล้วตบหลินรั่วจิ่งด้วยหลังมือ
หลินรั่วจิ่งนั้นถูกประคบประหงมมาตั้งแต่เด็กๆ ผิวของนางนั้นจึงนุ่มนวลเหมือนขนแกะ ซึ่งจะไปทานทนต่อการกระทำที่รุนแรงได้เช่นไร? ใบหน้าของนางก็ได้แดงและบวมทันที
องค์ชายสามก็ได้จ้องไปที่รอยมือแดงๆบนหน้าของนางอย่างเงียบๆ แล้วดวงตาของเขาก็ได้แสดงถึงความตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงได้เริ่มฉีกเสื้อผ้าของหลินรั่วจิ่งออก หากว่าหลินรั่วจิ่งนั้นขัดขืน เขาก็จะตบนางอย่างไม่ปรานี
“นังนี่ เจ้าคงคิดเหมือนเจ้าพวกตาแก่หนังเหนียวตายยากพวกนั้นสินะ ที่คิดว่าบัลลังก์ของข้าคงไม่มั่นคงน่ะ?”
น้ำเสียงขององค์ชายสามนั้นมืดหม่นมาก ซึ่งหลินรั่วจิ่งก็ได้หวาดกลัวเขามากและได้พยายามส่ายหัวของนาง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมพูดอะไร องค์ชายสามก็ได้ออกแรงมากขึ้นเพราะกับเสียงฉีกขาดที่ดังขึ้นมา แล้วเสื้อผ้าของ หลินรั่วจิ่งก็ได้ขาดเป็นชิ้นๆและถูกโยนไปในอากาศ
“อย่านะ—“
ปากของหลินรั่วจิ่งที่เริ่มบวมออกมาเพราะการถูกกระทำรุนแรงเมื่อสักครู่ ตอนนี้จะพูดแค่สองคำก็ยังลำบากเลย
สภาพของผู้หญิงที่บอบบางเช่นนี้ได้ไปกระตุ้นความรู้สึกอยากข่มเหงในตัวขององค์ชายสามให้มากขึ้นไปอีก
ไม่นานนักท่อนบนของหลินรั่วจิ่งก็ได้เปลือยเปล่า ดวงตาของนางนั้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ในสายตาของนางนั้น องค์ชายสามนั้นไม่มีทางที่จะเป็นคนรักที่ดีได้ ถ้าหากนางปล่อยเช่นนี้ต่อไป ทั้งชีวิตของนางคงได้ถูกทำลายแน่
ด้วยความไม่อยากที่จะต้องรู้สึกเศร้าโศกและล้มเหลวไปตลอด หลินรั่วจิ่งจึงได้กัดฟันและตัดสินใจที่จะกัดลิ้นของนางเพื่อฆ่าตัวตาย
แต่ในชั่วขณะนั้นเอง องค์ชายสามก็ได้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงนอนลงบนตัวของนาง นางจึงได้ผลักอีกฝ่ายออกไปด้วยความรังเกียจ และได้พยายามห่อตัวของนางเอาไว้ด้วยเสื้อผ้าที่ขาดๆ
จากนั้นนางก็ได้หันไปมองผู้ที่ยืนอยู่ในห้อง พร้อมด้วยหน้ากากหยกขาวบนใบหน้าของเขา รวมถึงบรรยากาศที่หนาวเย็นและเย็นชาที่แผ่ออกมาจากตัวของเจียงหวายเย่
นั่นคือเทพสงครามแห่งรัฐเจียง
เขามาช่วยนางอย่างนั้นเหรอ?
เพียงแค่ด้านเดียว หลินรั่วจิ่งก็ได้เหมือนตกลงไปในหลุมที่ไร้ก้น ที่ไม่อาจจะกลับขึ้นมาได้
เจียงหวายเย่ก็ได้เมินเฉยต่อสายตาที่เร่าร้อนที่จ้องมาที่ตัวของเขา และไม่แม้แต่จะหันไปมองหลินรั่วจิ่ง ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่คิดที่จะปลอบนางด้วย
เจียงหวายเย่ก็ได้สะบัดมือของเขาแล้วทหารสองคนก็ได้วิ่งเข้ามาข้างใน แล้วทำความเคารพ “ไม่ทราบว่าองค์ชายมีอะไรจะรับสั่งเหรอขอรับ?”
ชี้ไปที่องค์ชายสาม แล้วเจียงหวายเย่ก็ได้เริ่มพูดออกมา “เอาตัวเขาไปขังเอาไว้ ส่วนเราจะพบฮ่องเต้…”
ส่วนสาวใช้ที่ถูกไล่โดยองค์ชายสามเมื่อสักครู่ก็ได้รีบเข้ามาในห้อง และรอให้หลินรั่วจิ่งนั้นตั้งสติได้แล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าของนางเสียใหม่และทายาให้
เจียงหวายเย่ก็ได้ไปยังหอผานหลง เพราะเขามีอะไรบางอย่างที่จะต้องพูดกับฮ่องเต้เจียง
ทันทีที่เขาเข้าไปในหอผานหลง เจียงหวายเย่ก็ได้ทำสีหน้ารังเกียจขึ้นมาทันที เนื่องจากฮ่องเต้เจียงนั้นถูกขังอยู่ในหอตลอดเวลาและไม่อนุญาตให้ออกมาเลย ดังนั้นการขับถ่ายก็จะเป็นต้องทำในห้องนั้น
ในฐานะฮ่องเต้แล้ว การที่เขาต้องตกต่ำถึงขนาดนี้เป็นเรื่องที่น่าอับอายยิ่งนัก
เจียงหวายเย่ก็ได้คิ้วขมวดแล้วก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน หลังจากที่เดินไปสักพักแล้วเขาก็ได้มองไปที่ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงของฮ่องเต้เจียง
ในเวลานี้ฮ่องเต้เจียงนั้นเหมือนกับอายุมากขึ้นไปหลาย 10 ปีทันที และห่อหุ้มตัวด้วยผ้าห่มและขนอยู่ในมุมห้อง
ในขณะที่เจียงหวายเย่กำลังจ้องไปที่อีกฝ่าย ฮ่องเต้เจียงเองก็รู้สึกได้ถึงตัวตนของอีกฝ่ายเช่นกัน
ฮ่องเต้เจียงก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดกับอีกฝ่ายด้วยเสียงเบาๆก่อน “เจ้ามาที่นี่เพื่อสมเพชข้าอย่างนั้นสินะ?”
เจียงหวายเย่ไม่ได้พูดอะไรออกไป แต่เดินไปตรงหน้าของฮ่องเต้เจียงแล้วคุกเข่าลงช้าๆ แล้วหน้ากากหยกบนใบหน้าของเขาก็ได้สะท้อนแสงเย็นๆที่ไม่อาจเมินได้ออกมา
“เรามาที่นี่เพื่อบอกกับเจ้าว่า ท่านแม่ของเปิ่นหวางไม่ได้ทำในสิ่งที่เจ้าคิดเอาไว้”
หลังจากที่พูดจบเจียงหวายเย่ก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเตรียมที่จะจากไป แล้วปล่อยให้ฮ่องเต้เจียงยังคงอยู่ตรงที่เขาอยู่โดยไม่ได้ขยับเขยื้อนอะไรแม้แต่น้อย
พระสนมเซียว, แม่ของเจียงหวายเย่นั้นครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงนางสนมคนโปรดของฮ่องเต้องค์ก่อน ในขณะที่แม่ของฮ่องเต้เจียงนั้นเป็นถึงองค์ฮองเฮาในสมัยนั้นและเป็นแม่ของทั้งแผ่นดิน แต่ทว่าวันหนึ่งฮองเฮากลับถูกใส่ร้ายว่าคิดจะสังหารฮ่องเต้องค์ก่อนด้วยคุณไสย
ฮ่องเต้องค์ก่อนจึงได้กริ้วแล้วสั่งให้พาตัวนางไปประหาร ทำให้ฮ่องเต้เจียงต้องกลายเป็นองค์ชายที่ไร้แม่เลี้ยงดู แล้วเลื่อนตำแหน่งให้แม่ของเจียงหวายเย่ได้ขึ้นเป็นฮองเฮาแทน
หลังจากนั้นฮ่องเต้เจียงก็ได้รังเกียจพระสนมเซียวมากมาตั้งแต่ตอนนั้นและคอยรังแกเจียงหวายเย่มาโดยตลอด แต่เมื่อใดที่เจียงหวายเย่คิดจะเอาคืน พระสนมเซียวก็มักจะลูบหัวของเขาแล้วกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าปล่อยเขาไปเถอะนะ หวายเย่”