หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 302 ความลับของอันอี้
บทที่ 302
ความลับของอันอี้
เจียงหวายเย่เดินเข้ามาข้างในอย่างไม่ใส่ใจอะไร ภายใต้สายตาที่เฝ้าระวังของทุกคนแล้ว เจียงหวายเย่ก็ได้นั่งลงที่เก้าอี้ด้วยท่าทางที่คุกคาม แล้วจากนั้นก็ได้เคาะโต๊ะ “ถ้ามีแขกมาถึงที่บ้าน ท่านลุงน่าหลานจะไม่ส่งคนมายกน้ำชาหน่อยเหรอ?”
เจ้าบ้านน่าหลานนั้นไม่รู้ว่าทำไม แต่ผู้อาวุโสที่อยู่มา 3 รัชสมัยนั้นกลับไม่ให้เสียเวลาเปล่า เขาได้สั่งให้เจ้าบ้าน น่าหลานฮุยไปชงชามาให้
เมื่อเห็นเช่นนี้ เจียงหวายเย่ก็ได้พ่นลมออกทางจมูกแล้วหัวเราะ “วันนี้ช่างเป็นบุญปากของเราเสียจริง ที่ได้ดื่มชาที่ชงโดยท่านเจ้าบ้านน่าหลานเช่นนี้”
เจ้าบ้านน่าหลานจึงได้หันกลับมาแล้วกล่าว “เจ้าเป็นใครมาจากไหนกัน? ถึงได้กล้าบุกมาที่บ้านสกุลน่าหลานคนเดียวเช่นนี้”
ผู้อาวุโสน่าหลานนั้นรู้ดีถึงนิสัยของลูกชายของเขาจึงได้ดุเขาเบาๆ “เงียบซะแล้วไปชงชามา”
น่าหลานฮุยที่ได้ยินที่กล่าวก็ได้จ้องไปที่เจียงหวายเย่อย่างไม่พอใจ จากนั้นเขาก็ได้ผลักประตูแล้วเดินออกไป
ชายชราผู้นี้เป็นคนฉลาดมาก เขาน่าจะเดาได้ 7-8 ส่วนในใจของเขาแล้วจากท่าทีและการกระทำของเจียงหวายเย่
แล้วเขาก็ได้มองไปที่เจียงหวายเย่แล้วกล่าว “ในเมื่อท่านมาที่นี่ ท่านคงจะมีสิ่งที่ต้องการจากเรามากมาย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาขอให้ท่านว่ามาได้เลย”
แล้วมุมปากของเจียงหวายเย่ก็ได้กระตุกเล็กน้อย และปรากฏแววตายินดีในดวงตาของเขา “สมแล้วที่เป็นผู้อาวุโสท่านมองออกได้อย่างชัดเจนจริงๆ ท่านให้พวกเขาออกไปก่อนได้ไหม เราอยากจะคุยกับท่านตามลำพัง”
“ไม่ได้นะขอรับ”
ในสายตาของพวกเขาแล้ว เจียงหวายเย่นั้นเป็นคนที่ระบุตัวตนไม่ได้เพราะหน้ากากที่เขาใส่อยู่ แล้วจะให้พวกเขาเชื่อได้อย่างไร?
คนอื่นๆนั้นอาจจะไม่รู้เรื่อง แต่ชายชรานั้นกลับรู้เป็นอย่างดี และไม่เคลือบแคลงสงสัยในการร่วมมือของเขาด้วย ไม่นานนักผู้อาวุโสกับเจียงหวายเย่ก็ได้ถูกทิ้งอยู่ในห้องตามลำพัง
แล้วเจียงหวายเย่ก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ใส่ใจมากนัก “ผู้อาวุโสคงจะเดาตัวตนของเราออกแล้วสินะ?”
แล้วชายชราก็ได้ลงไปคุกเข่ากับพื้นแล้วมองมาด้วยความเคารพ “ข้าขอคารวะองค์ชายรัตติกาล ไม่ทราบว่าองค์ชายรัตติกาลนั้นมีอะไรที่จะให้พวกเรารับใช้เหรอขอรับ?”
เจียงหวายเย่ก็ได้ยักคิ้วขึ้นมาและดูไม่ตกใจกับการที่อีกฝ่ายล่วงรู้ตัวตนของเขา เขาสะบัดมือของเขาให้ผู้อาวุโสลุกขึ้น แล้วจากนั้นก็ได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก “การกระทำของตระกูลน่าหลานในวันนี้ถือเป็นการกบฏต่อราชสำนักนะรู้ไหม?”
แล้วผู้อาวุโสน่าหลานก็ได้ลงไปคุกเข่าอีกครั้งแล้วกล่าว “ได้โปรดขอประทานอภัยด้วย ตระกูลน่าหลานนั้นจงรักภักดีกับรัฐเจียงมาโดยตลอดแม้แต่สวรรค์ก็ยังรู้เรื่องนี้ดี”
“แต่การที่พวกเจ้าเข้าไปชิงตัวองค์ชายในคืนนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือหุ่นเชิดตระกูลน่าหลานอย่างนั้นเหรอ?” เล่นนิ้วมือของเขา แล้วเจียงหวายเย่ก็ได้รู้สึกเสียใจขึ้นมาในใจของเขา เส้นสีดำนั้นได้แผ่ไปทั่วนิ้วมือทั้ง 5 นิ้วแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะมีชีวิตเหลืออยู่ได้ไม่นานแล้ว
ผู้อาวุโสนั้นไม่ได้รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติของผู้ที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ แล้วเขาก็ได้อธิบายต่อ “องค์ชายสามนั้นเป็นคนดื้อรั้น ไม่ฟังเสียงรอบข้าง ข้าเกรงว่าเขาไม่เหมาะที่จะเป็นฮ่องเต้ได้ พวกเราตระกูลน่าหลานจึงได้ตัดสินใจทำผิดเพื่อผู้คนในรัฐเจียง”
เมื่อได้ยินที่พูดนี้ เจียงหวายเย่ก็ได้สติกลับมา แล้วเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อ “ดังนั้นตระกูลน่าหลานไม่ได้ทำเพราะต้องการจะเปลี่ยนฮ่องเต้เองหรอกเหรอ?”
“ตระกูลน่าหลานของเรานั้นจงรักภักดีมาแล้วหลายต่อหลายรุ่น ถ้าหากว่าข้ามีใจคิดคดทรยศจริง ข้าจะขอชำระล้างตระกูลของข้าด้วยตัวเอง เพราะนี่ถือเป็นการไม่ซื่อสัตย์ที่ใหญ่หลวงที่ข้าจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด”
พูดออกมาอย่างก้องกังวานราวกับลูกปัดหยกที่ตกลงพื้น
ตระกูลน่าหลานนั้นรับใช้พระราชสำนักมารุ่นต่อรุ่นแล้ว และขึ้นชื่อว่าเป็นนักวิชาการที่สูงส่งและทระนง แต่จากมุมมองนี้ก็ยังไม่มีอะไรที่ยืนยันได้ว่าตระกูลน่าหลานนั้นจะไม่คิดคดทรยศ เจียงหวายเย่จึงได้ที่จะปิดตายโอกาสนั้นเสีย
แล้วเขาก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาผู้อาวุโสที่ยังคงคุกเข่าอยู่ที่พื้น แล้วช่วยดึงผู้อาวุโสขึ้นมาด้วยมือของเขาเอง “ตระกูลน่าหลานนั้นมีความจงรักภักดีมาทุกรุ่นจริงๆ เราขอนับถือจากใจจริง”
”ขอบคุณสำหรับความจริงใจขององค์ชาย ที่นี่องค์ชายพอจะบอกจุดประสงค์ของท่านได้ไหมขอรับ?”
เจียงหวายเย่ที่ตอกตะปูใส่ตระกูลน่าหลานเรียบร้อยแล้ว ถ้าหากพวกเขาอยากจะแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีแล้ว ก็เกรงว่าพวกเขาจะต้องยอมรับคำขอของเขาเท่านั้น ซึ่งในคราวนี้เจียงหวายเย่เองก็ไม่ได้เตรียมการอะไรมามากนัก และได้พูดออกไปตรงๆ “เราจะช่วยให้องค์ชายหกได้ขึ้นครองบัลลังก์ แต่ทว่าเราจะขอขึ้นเป็นมหาอุปราช!”
“อะไรนะ?” ผู้อาวุโสนั้นไม่คาดคิดว่าเจียงหวายเย่นั้นจะมีความคิดเช่นนี้แล้วตอบไปตรงๆ “ตำแหน่งพระมหาอุปราชนั้นได้ถูกยกเลิกไปตั้งแต่ยุคสมัยของมหาจักรพรรดิ องค์ชายคิดที่จะรื้อฟื้นตำแหน่งพระมหาอุปราชขึ้นมาจริงๆเหรอขอรับ?”
เจียงหวายเย่ไม่พูดอะไรต่อ แต่ดวงตาสีดำของเขาก็ได้จ้องไปที่ผู้อาวุโสอย่างเงียบๆ จนกระทั่งสีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนจากตกใจเป็นสงบเงียบ แล้วจากนั้นก็ได้ครุ่นคิด
เรื่องนี้ต้องเกี่ยวพันกับหลายฝ่าย เจียงหวายเย่จึงได้ไม่คิดที่จะรีบตัดสินใจในทันที แล้วเขาก็ได้เดินไปที่ประตูแล้วทิ้งคำพูดเอาไว้ “ในเวลานี้องค์ชายหกคงถูกองค์ชายสามจับตัวเอาไว้อยู่ คงไม่มีเวลาให้ผู้อาวุโสได้คิดมากนักหรอกนะ”
เมื่อเขาเปิดประตูออก เจียงหวายเย่ก็ได้พูดออกมาเบาๆราวกับกระซิบ “ชื่อเสียงที่สืบทอดกันมารุ่นต่อรุ่นในรัฐเจียงของตระกูลน่าหลานจะเป็นเช่นไรต่อนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้อาวุโสจะตัดสินเช่นไร”
หลังจากที่พูดจบ เจียงหวายเย่ก็ได้เหาะจากไปโดยไม่หันหลังกลับมามอง ปล่อยให้ผู้คนที่รออยู่ที่ประตูโดยไม่มีเหตุผล โดยเฉพาะเจ้าบ้านน่าหลานที่ยังคงถือกาน้ำชาเอาไว้ในมือ
ดูเหมือนว่าเจียงหวายเย่คงจะไม่ได้ดื่มเสียแล้ว
เมื่อเขากลับมาถึงวังรัตติกาล พระอาทิตย์บนท้องฟ้าก็ได้เริ่มโผล่หัวออกมาแล้ว หลังจากที่กลับมาถึงห้องพร้อมกับความเย็นในค่ำคืน เขาก็พบนกพิราบส่งสารบินมาที่หน้าต่าง
มองไปที่จดหมายที่อยู่ที่เท้าของนกพิราบ เขาก็ได้ หรี่สายตาของเขาลง ช่วงนี้เขาไม่ได้ออกคำสั่งอะไรไปนี่นา แล้วทำไมถึงได้มีนกส่งสารมาส่งจดหมายได้?
หรือว่าจะมีใครบางคนแอบทำอะไรอยู่ในวังรัตติกาลนี้?
หยิบเอาจดหมายออกมาอ่าน ซึ่งเจียงหวายเย่ก็สามารถอ่านเนื้อหาในจดหมายฉบับนั้นได้อย่างชัดเจนด้วยแสงในยามรุ่งสาง “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นยังไม่มีใครขึ้นเป็นนักบุญหญิง และทางหอพันกลได้ส่งคนแอบเข้าไปในห้องนอนของท่านยายแล้ว ทางเราเสียคนไปถึงสามคนแต่ก็ไม่พบแมลงวิปลาสหมื่นปีเลย”
เจียงหวายเย่ก็ได้ยักคิ้วขึ้นมา แล้วเก็บจดหมายนั้นไว้ในมือของเขาแล้วพูดไปในความมืด “อันอี้”
แต่กลับเป็นอันเอ้อที่ออกมาจากความมืดแทน แล้วดวงตาของเจียงหวายเย่ก็ได้จ้องไปที่เงานั้น “อันอี้อยู่ที่ไหน?”
ปรากฏจิตสังหารแผ่ออกมาจากใบหน้าของเขา พลังคุกคามของเจียงหวายเย่นั้นแผ่ออกมาอย่างเต็มที่ อันเอ้อที่กำลังคุกเข่าก็ได้มีเหงื่อผุดออกมาจากหน้าผาก แล้วจากนั้นก็ได้กล่าวด้วยความยากลำบาก “ในเวลานี้อันอี้กำลังพักผ่อนอยู่ที่อีกตำหนักหนึ่ง นายท่านจะให้ข้าไปตามเขาไหมขอรับ?”
“ไปพาตัวเขามา!” เจียงหวายเย่กล่าวจบก็ได้หันหลังให้
อันเอ้อก็ได้รับคำสั่งแล้วถอนตัวออกไป หลังจากนั้นสักพักอันอี้ก็ได้มา เขาคุกเข่าลงตรงหน้าเจียงหวายเย่แล้วมองมาด้วยความเคารพ “มีอะไรข้ารับใช้เหรอขอรับ?”
“เจ้าแอบทำอะไรลับหลังเราใช่หรือไม่?” เจียงหวายเย่ก็ได้หันหลังให้อันอี้ แต่น้ำเสียงของเขานั้นดูจริงจังขึ้นมา
อันอี้นั้นอยากจะตอบว่าไม่ แต่เขาก็ได้เหลือบมองไปที่พิราบส่งสารที่อยู่บนโต๊ะ เขาจึงได้ครุ่นคิดในใจจากนั้นก็ลงไปก้มหัวให้แล้วกล่าว “ข้าน้อยได้ใช้หอพันกลโดยพลการ ขอให้องค์ชายได้โปรดลงโทษข้าด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เจียงหวายเย่ก็ได้หันหน้ากลับมาแล้วมองไปที่เขา “เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันยากลำบากแค่ไหนในการฝึกคนในหน่วยพันกลสักคนน่ะ และเพราะคำสั่งของเจ้าทำให้เราต้องเสียคนในหน่วยพันกลไปถึงสาม”
“ข้าน้อยสำนึกผิดแล้วขอรับ”
เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปอันอี้ที่ไม่คิดจะปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย ทำให้เขารู้สึกช่วยไม่ได้ขึ้นมา “ต่อให้ได้แมลงวิปลาสหมื่นปีมาก็ไม่มีประโยชน์อะไรกับเปิ่นหวางแล้ว เปิ่นหวางนั้นเสีย เสี่ยวเหยียนเอ๋อไปแล้ว”
ทันทีที่ได้ยินเขาพูดออกมาเช่นนี้ เขาก็ได้รีบเงยหน้าขึ้นมาแล้วกล่าว “กราบเรียนองค์ชาย หากคิดดูให้ดีแล้ว ข้าน้อยคิดว่าแมลงวิปลาสหมื่นปีนั้นน่าจะอยู่ในมือขององค์หญิงแล้วแน่ๆขอรับ”