หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 283 คนร้ายที่ยังหลงเหลือ
บทที่ 283 คนร้ายที่ยังหลงเหลือ
ในค่ำคืนนั้นหลินซีเหยียน, จี๋เฟิงและชิงอวี่ก็ได้นั่งด้วยกันเพื่อหารือเรื่องของวันพรุ่งนี้ เบื้องหลังของพวกเขานั้นมีสัมภาระเตรียมไว้พร้อมแล้ว พรุ่งนี้พวกเขาจะออกเดินทางไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ในขณะเดียวกันที่ห้องบรรทมของฮ่องเต้ มหานักบวชนั้นกำลังเป็นกังวล และพันผ้าพันแผลรอบตัวของหลีเจี้ยนเฉิน แล้วจากนั้นก็ได้จ้องไปที่อีกฝ่าย
หลีเจี้ยนเฉินนั้นรู้สึกไม่ค่อยชินกับใบหน้านี้ของเขา จึงได้ยิ้มออกมาอย่างอ่อนแรง “ทำไมท่านมหานักบวชถึงได้คิ้วขมวดตรงหน้าข้าเช่นนั้นเล่า?”
แล้วมหานักบวชก็ได้จ้องไปที่หลีเจี้ยนเฉิน แล้วก็ออกแรงที่มือของเขามากขึ้น
“โอ๊ย!”
สีหน้าของหลีเจี้ยนเฉินก็ได้บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บและกล่าว “ท่านมหานักบวช ตอนนี้ข้าบาดเจ็บหนักอยู่นะ ช่วยเบาๆมือหน่อยสิ”
“นี่ฝ่าบาทรู้ตัวด้วยเหรอว่าตัวเองกำลังบาดเจ็บหนักอยู่น่ะ?”
หลังจากที่มหานักบวชพูดจบ สีหน้าของเขาก็ได้กลับมาแย่อีกครั้ง “สภาพของท่านน่ะไม่เหมาะที่จะตามท่านหมอหลินไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั่นในเวลานี้”
“เป็นแค่มหานักบวชจะมาขัดการตัดสินใจของข้าได้อย่างไร?”
เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นห่วงเขา หลีเจี้ยนเฉินจึงได้แกล้งทำเป็นโกรธ แต่ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เอาเถอะ ท่านมหานักบวชก็น่าจะรู้ถึงความอันตรายของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ดี แต่ท่านหมอหลินเองก็เป็นคนในโชคชะตาของข้า ดังนั้นข้าจะปล่อยให้นางไปเสี่ยงตามลำพังได้อย่างไร?”
เมื่อพูดถึงคนในโชคชะตาขึ้นมา มหานักบวชก็ได้ทำสีหน้าไม่ถูกมากขึ้นเรื่อยๆ ในเวลานี้เขารู้สึกผิดขึ้นมาที่บอกที่อยู่ของหญิงสาวในโชคชะตาให้กับอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นฮ่องเต้หลีก็คงไม่ต้องเป็นเช่นนี้
เพื่อความรักแล้วยินดีที่จะยอมช่วยอีกฝ่ายอย่างไม่มีเงื่อนไข แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นทำเพื่อคนอื่นก็ตาม
“ในเวลานี้ ข้าได้จัดการปราบพวกกบฏโดยใช้อำนาจด้วยกำลังของตัวเอง ข้าจึงเกรงว่าจะต้องมีผลตามมาแน่ๆ ในระหว่างที่ข้าไม่อยู่นี้ ท่านมหานักบวชจะต้องคอยระมัดระวังพวกกบฏที่ยังหลงเหลือไว้ให้ดี”
คำพูดเหล่านี้ได้แสดงถึงความตั้งมั่นของหลีเจี้ยนเฉิน ว่าเขาได้ตัดสินใจว่าจะไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว
ในฐานะมหานักบวชแล้วเขาก็มีหน้าที่ที่จะคอยช่วยเหลือฮ่องเต้ให้สมหวัง ดังนั้นมหานักบวชจึงไม่อาจที่จะห้ามเขาได้ เขาจึงได้ลงไปคุกเข่าแล้วจากนั้นก็ได้ทำพิธีด้วยเสียงเบา จากนั้นก็ได้ท่องบทสวดที่ยาวเหยียดออกมา แล้วพูดออกมาอย่างเสียงดัง “ขอให้ฮ่องเต้สมหวังในสิ่งที่ท่านต้องการ”
“ข้าขอยืมคำอวยพรของท่านมหานักบวชหน่อยก็แล้วกัน”
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ในรัฐเจียงก็ได้เริ่มสับสนวุ่นวายขึ้นมา เพราะอาการบาดเจ็บสาหัสขององค์ชายเย่ ทำให้มีเหล่าแม่ทัพอาวุโสบางคนในค่ายเริ่มเคลื่อนไหวไม่อยู่สุขขึ้นมา
เพราะความไร้ความสามารถของฮ่องเต้เจียง ทำให้พวกเขามีความคิดที่จะตั้งตนเป็นใหญ่เอง แต่ทว่าเชื้อพระวงศ์ของรัฐเจียงนั้นมีมานานกว่าหลายร้อยปีแล้ว พวกเขาจะสามารถเอาชนะโดยใช้คนเพียงน้อยนิดได้อย่างไร
ซึ่งในอดีตที่ผ่านมานั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยจริงๆ แต่ที่แย่คือตั้งแต่ที่ฮ่องเต้เจียงขึ้นครองราชย์มา 8 ปีนี้ ความเข้มงวดก็หย่อนยานมาก และขุนนางก็ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ของตัวเอง
ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนของขุนนางที่ฉ้อราษฎร์บังหลวงนั้นก็มีเป็นจำนวนมาก ทำให้ราชวงศ์ที่ดีต้องถูกกัดกินจนเหี้ยนโดยแมลงร้ายเหล่านี้
แล้วกองทัพกบฏก็เข้ายึดครองทั้งเมืองหลวงอย่างง่ายดายราวกับผ่ากระบอกไม้ไผ่ มีเพียงวังหลวงที่ยังไม่ได้ถูกยึด
ณ ท้องพระโรงที่ดูสง่างามและดูน่าเกรงขามเพียงแค่ปราดตามองนั้น แต่เหล่าขุนนางนั้นกลับล้วนพากันตื่นตระหนก ทำให้ฮ่องเต้เจียงนั้นหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิม “มีแต่พวกขยะจริงๆ ทำไมข้าถึงได้สนับสนุนพวกเจ้ากันนะ?”
ฮ่องเต้นั้นไม่นึกฝันว่าจะไม่มีใครเลยที่คิดจะอาสานำทัพไปปราบกบฏที่นำมาโดยเหล่ารองแม่ทัพ เดิมทีเขาคิดที่จะส่งมอบงานนี้ให้กับแม่ทัพเฒ่าเจิ้นกว๋อ แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายนั้นและแม้แต่ตัวแม่ทัพเองต่างก็อ้างว่าป่วยอยู่บ้านและไม่มีกำลังทหารในมือแล้ว
จะมีก็เพียงองค์ชายเย่ที่มีกำลังทหารในมือแต่ก็ยังอยู่ในสภาพเหมือนแขวนไว้บนเส้นด้าย หรือว่านี่จะเป็นผลกรรมจากการทำตัวเองกันนะ?
แล้วฮ่องเต้เจียงก็ได้ทรุดลงไปที่บัลลังก์มังกรเย็นๆด้วยสีหน้าที่ดูเหนื่อย
ณ วังรัตติกาล เพราะข่าวที่ว่าองค์ชายเย่นั้นมีอาการเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายนั้น บวกกับชื่อเสียงขององค์ชายเย่ก่อนหน้านี้ ทำให้กองทัพกบฏเหล่านี้ยังไม่กล้ารุกราน และยังคงอยู่ในความสงบอย่างมาก
ในเวลานี้เจียงหวายเย่ที่ไม่ชะตากรรม“เหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย”นั้น ก็กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ แต่ใบหน้าของเขานั้นยังคงซีดเผือด และใบหน้าก็เขาก็ปกคลุมด้วยความมืด
“เสี่ยวเหยียนเอ๋ออยู่ที่ไหน?”
เสียงที่แหบแห้งดังก้องไปทั่วห้องเงียบๆนั้น ช่วยเพิ่มความน่าหดหู่ในค่ำคืนที่มืดสนิทนี้
อันอี้ก็ได้ออกมาคุกเข่าลงตรงหน้าเจียงหวายเย่ด้วยเสียงสั่นเครือ “เมื่อ 8 วันก่อน องค์หญิงได้ออกจากเมืองแล้วมุ่งหน้าไปที่รัฐหลีเพื่อเตรียมจะไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เพื่อตามหาแมลงวิปลาสหมื่นปีขอรับ”
“อะไรนะ?” เมื่อได้ยินเช่นนี้เจียงหวายเย่ก็ได้รีบลุกขึ้นมาทันที แต่เพราะการเคลื่อนไหวที่รุนแรงของเขา ทำให้เขาเริ่มมีอาการไออย่างรุนแรง “ทำไม….ทำไมเจ้าถึงไม่หยุดนางไว้?”
“ทูลองค์ชาย ตอนที่ข้าน้อยทราบข่าวนี้ องค์หญิงก็ออกจากเมืองหลวงไปแล้วขอรับ”
สีหน้าของอันอี้ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด แค่ได้ยินเรื่องของคนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว อันอี้ก็รู้สึกได้ถึงอันตรายแล้ว แล้วนี่ยังจะฝ่าเข้าไปเพื่อไปเอาสิ่งของศักดิ์สิทธิ์มาจากพวกเขาอีก
เจียงหวายเย่จึงได้ลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนแรงทั้งๆชุดนอนแล้วกล่าว “ไปเตรียมม้า”
ถึงแม้ว่าอันอี้เองจะกังวลเรื่องของหลินซีเหยียน แต่เขานั้นกังวลเรื่องของร่างกายองค์ชายมากกว่า เขาจึงได้คุกเข่าลงกับพื้นแล้วโขกหัวของเขาแล้วกล่าว “แต่ร่างกายขององค์ชายอาจจะรับไม่ไหวก็ได้นะขอรับ”
“ไปเตรียมม้ามา!”
เสียงของเจียงหวายเย่ดังลั่นขึ้นมา เสียงที่แหบแห้งของเขาเต็มไปด้วยความต้องการ หลังจากที่เขาตะโกนจบ เขาก็เริ่มไปอย่างรุนแรงอีก แล้วเขาก็ได้มองไปที่ดวงจันทร์ที่อยู่นอกหน้าต่างแล้วพูดออกมาเบาๆ “เสี่ยวเหยียนเอ๋อ รอเปิ่นหวางก่อนนะ”
เมื่อไม่สามารถห้ามเจียงหวายเย่ได้ อันอี้จึงทำได้แค่ออกไปเตรียมม้า แล้วไม่นานนักรถม้าที่ดูธรรมดามากๆก็ได้ออกมาจากประตูหลังของพระราชวัง
แล้วตอนนั้นเองเจียงหวายเย่ก็ได้หรี่สายตาลงราวกับรับรู้ได้ถึงบรรยากาศที่ผิดปกติด้านนอก เมื่ออันอี้สังเกตได้ถึงสายตานั้น เขาจึงได้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงให้ฟัง แล้วจากนั้นก็ได้มองไปที่องค์ชาย “ท่านจะช่วยฮ่องเต้ไหมขอรับ?”
เจียงหวายเย่ก็ได้หัวเราะอย่างประชดประชันแล้วสะบัดมือของเขา “กองทัพกบฏพวกนั้นไม่เพียงพอจะสร้างปัญหาอะไรหรอก ปล่อยให้เขาปวดหัวไปสักหน่อยเถอะ”
แล้วรถม้าก็ได้มาถึงประตูเมือง แต่เพราะว่ามีกองทัพกบฏอยู่ในเมือง ทำให้ประตูเมืองปิดลงเป็นเวลานานแล้ว
เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนเข้าหรือออก เพียงแค่มองปราดเดียวรถม้าที่จู่ๆก็โผล่มาท่ามกลางถนนที่ไร้ผู้คนนี้ช่างน่าสงสัยยิ่งนัก
“ใครที่อนุญาตให้เจ้าออกไปในเวลานี้?”
ทหารที่ทำหน้าที่ป้องกันเมืองก็ได้กล่าวด้วยท่าทีที่อวดดีมาก พวกเขามองไปที่รถม้าอย่างคิดไม่ซื่อ แล้วจากนั้นก็ต้องผิดหวังเพราะรถม้าคันนี้ดูธรรมดามากเกินไปที่จะมีเจ้าของเป็นคนมีเงิน
ในขณะที่อันอี้กำลังเตรียมที่จะจัดการกับคนเหล่านี้อยู่นั้น ก็ได้มีชายชุดดำปรากฏตัวออกมาแล้วจับตัวหัวหน้าคนเฝ้าประตูเอาไว้แล้วกล่าวด้วยเสียงที่เย็นยะเยือก “เปิดประตู”
หัวหน้าคนเฝ้าประตูนั้นกลัวที่จะตายอย่างมากจึงได้รีบกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเครือ “ทำไมพวกเจ้ายังไม่รีบเปิดประตูอีก รีบๆเปิดเร็วเข้าเซ่”
เมื่อรถม้าแล่นออกนอกเมืองไป อันอี้ก็ได้ถอนหายใจออกมาในใจ วันนี้ช่างโชคดีเสียจริงๆ ที่มีคนช่วยเปิดประตูเมืองให้เช่นนี้
แต่ก่อนที่พวกเขาจะไปได้ไกล ก็พบว่าชายชุดดำนั้นไล่ตามมาด้วย แล้วก็ขึ้นมาบนรถม้าโดยที่ไม่พูดจาอะไรสักคำ แต่จะหยุดเขาไว้ก็ช้าเดินไปเสียแล้ว
แต่พอเจียงหวายเย่เห็นใบหน้าผู้มาเยือนชัดๆแล้ว เขาก็ได้สั่งให้ถอยออกไป
ชายในชุดดำนั้นก็คือหลินหนานเฟิงนั่นเอง เมื่อเห็นรูปโฉมของเจียงหวายเย่ในเวลานี้แล้ว หลินหนานเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะคิ้วขมวด “ซีเหยียนทำเพื่อเจ้าไม่ใช่เหรอ?”
เจียงหวายเย่ก็ได้ผงกหัว และสงสัยว่าเขากำลังยินดีหรือเป็นกังวลกันแน่
เขามองไปที่หลินหนานเฟิงแล้วยิ้ม “ท่านพี่ทราบด้วยเหรอว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋อกำลังไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์?”
หลินหนานเฟิงก็ได้ตอบ “มันเขียนไว้ในจดหมายที่เทียนเอ๋อเอาให้ข้า”
ประโยคนี้ทำให้เจียงหวายเย่รู้สึกขมขื่นนิดหน่อย เสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นเขียนจดหมายให้หลินหนานเฟิง แต่กลับไม่ได้เขียนให้เขาเลย จริงด้วยสิอาจจะเป็นเพราะเขากำลังหมดสติอยู่ก็ได้