หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 279 สองพี่น้องเจียง
บทที่ 279 สองพี่น้องเจียง
เจียงหวายเย่อดใจไปรอพบเสี่ยวเหยียนเอ๋อแทบไม่ไหวแล้ว เขาอยากได้ยินเสียงของอีกฝ่าย แล้วอยากจะบอกอีกฝ่ายเหลือเกินว่าเขาเป็นพ่อของเทียนเอ๋อ
ซึ่งแน่นอนว่าต้องไปเตือนหลีเจี้ยนเฉินด้วยว่าให้ฝ่ายนั้นเลิกมายุ่งกับเสี่ยวเหยียนเอ๋อได้แล้ว เพราะเสี่ยวเหยียนเอ๋อน่ะเป็นของเขาทั้งร่างกายและจิตใจ
ในขณะที่เข้ากำลังคิดอย่างมีความสุขและกำลังจะถึงโรงหมอหุยชุนอยู่นั้นเอง ก็เหมือนกับมีถังน้ำเย็นสาดใส่หัว
พิษในร่างบัดนี้ได้กำเริบขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่ห่างอีกแค่สิบจั้งก็จะได้พบเสี่ยวเหยียนเอ๋อแล้ว!
ในเวลานี้พิษได้กำเริบรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ มันลุกลามอย่างรวดเร็ว เจียงหวายเย่จึงไม่อาจทนความทรมานนี้ได้ไหวและสลบไป
เมื่อเขาฟื้นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่แปลกตา ชายหนุ่มจึงเลิกผ้าห่มออก จากนั้นจึงพบว่าเขาสวมแต่เสื้อผ้าชั้นในเท่านั้น
ดูเหมือนว่าข้างนอกเองก็น่าจะมีคนอยู่ และคาดว่าอีกฝ่ายก็น่าจะได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากในห้อง คนที่อยู่ข้างนอกจึงเปิดประตูเข้ามา นางเป็นผู้หญิงที่ยังดูเด็กอยู่มาก แต่ก็มีความเร่าร้อนอย่างหญิงสาว
ในขณะที่เจียงหวายเย่กำลังจ้องไปที่อีกฝ่าย อีกฝ่ายเองก็จ้องเจียงหวายเย่ตอบ
“คงเป็นแม่นางที่ช่วยเราเอาไว้ พอจะบอกชื่อของแม่นางได้หรือไม่?” เจียงหวายเย่ถามขึ้นพร้อมกับแย้มยิ้ม เมื่อทุกอากัปกิริยาผนวกกับใบหน้าอันประณีตของเขาแล้วนั้น มันก็ชวนให้จิตใจของเด็กสาวหวั่นไหวยิ่งนัก
นางรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย “ชื่อของข้าคือเจียงอี๋”
เจียงหวายเย่พลันหรี่ตาลง ก่อนจะยิ้มไปให้อีกฝ่ายอีกครั้ง
“ในเมื่อคุณชายฟื้นแล้ว ก็ดื่มยานี่เสีย” เด็กสาวพูดอย่างตรงไปตรงมา ราวกับไม่สนใจว่าเขาจะเป็นชายหรือหญิง พอมอบยาให้เจียงหวายเย่เสร็จก็ผละตัวจากไป
เจียงหวายเย่ขมวดคิ้วขณะที่มองไปยังยาในชามนั้น หลังจากนั้นจึงแอบเทยาลงในกระถางต้นไม้อย่างเงียบ ๆ
ถึงแม้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าอีกฝ่ายจะไม่ฆ่าเขาในภายหลัง เช่นนั้นแล้วเขาจะไม่ยอมดื่มอะไรก็ตามที่คนแปลกหน้าให้มาง่าย ๆ จากนั้นเมื่อมองไปรอบ ๆ เจียงหวายเย่ก็พบเสื้อผ้าของตนที่พับเอาไว้อยู่
จึงได้เดินไปหยิบมาแต่งตัวแล้วเดินออกไปจากห้อง
“คุณชายยังไม่หายดีเลย จะรีบออกไปได้อย่างไร?” และแล้วเด็กสาวที่ดูจะเป็นคนเถรตรงคนนั้นก็เข้ามาขวางทาง พร้อมมองมายังเจียงหวายเย่อย่างไม่เห็นด้วย
เจียงหวายเย่กล่าวด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “หากเราไม่รีบกลับไป เกรงว่าครอบครัวของเราจะเป็นห่วงได้น่ะ”
“คุณชายแต่งงานแล้วอย่างนั้นหรือ?” เจียงอี๋ยามนี้ดูตกใจนิดหนึ่ง พร้อมกับแสดงสีหน้าผิดหวังเล็กน้อยออกมา
เพื่อที่จะเป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมา เจียงหวายเย่จึงได้ตัดสินใจปล่อยให้นางเข้าใจผิดเช่นนั้นต่อไป ชายหนุ่มพยักหน้ารับและเอ่ยต่อ “เรามีครอบครัวแล้ว และลูกชายของเราก็อายุ 5 ขวบแล้วด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ความกระตือรือร้นของเจียงอี๋ที่มีต่อเจียงหวายเย่ก็ดูจะลดฮวบฮาบลงไป แต่ทุกครั้งที่นางมองไปที่ใบหน้าที่งดงามที่แม้แต่สวรรค์ยังพิโรธเช่นนี้แล้ว ก็ทำให้นางรู้สึกหลงใหลอย่างช่วยไม่ได้
เจียงหวายเย่กล่าวขอบคุณนางแล้วก็เดินออกจากห้องไป และเมื่อพบว่าเขาอยู่ในโรงเตี๊ยมที่อยู่ไม่ไกลจากโรงหมอหุยชุน จึงได้มองดูเวลา
ก็พบว่าวันวันหนึ่งได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาจึงหรี่ตาลงแล้วรีบเดินทางไปที่โรงหมอหุยชุน และด้วยความที่เจียงหวายเย่รีบร้อนมากนั้นเอง เขาจึงไม่อาจรู้สึกถึงสายตาอันร้อนแรงที่จับจ้องอยู่ข้างหลัง
เจียงอี๋ที่จับจ้องแผ่นหลังของเจียงหวายเย่อยู่ไม่วางตานั้น บัดนี้เต็มไปด้วยความมั่นใจยิ่งนัก “คอยดูนะ สักวันพวกเราจะได้พบกันอีกแน่”
ในขณะนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งดังเรียกขึ้น
“ท่านพี่อี๋ ทำไมท่านถึงยังมามัวเหม่ออยู่อีก? รีบ ๆ เก็บข้าวของแล้วไปกันได้แล้วนะ”
เจียงฮุ่ยเรียกพี่สาวตนด้วยเสียงเหนื่อยหอบด้วยเพิ่งขึ้นบันไดมา แต่แล้วนางก็พบว่าเจียงอี๋นั้นมีอาการเหม่อลอยรวมถึงหน้าหูคอยังแดงอีก ทำให้นางอดใจไม่แหย่อีกฝ่ายเล่นไม่ได้ “หรือว่าท่านพี่จะหลงรักคุณชายท่านนั้นแล้ว?”
พูดจบนางก็ได้เดินมาใกล้ แล้วมองลอดหน้าต่างดูคนเดินผ่านไปผ่านมา
เจียงอี๋จากที่หน้าแดงเพราะเขินอายก็กลายเป็นหน้าแดงเพราะโมโห “น้องฮุ่ยเจ้าพูดอะไรไร้สาระ พวกเราเหล่าผู้เลี้ยงวิปลาสไม่อนุญาตให้แต่งงานกับคนภายนอกหรอกนะ”
จากนั้นนางก็ปล่อยน้องสาวของนางเอาไว้แล้วจากโรงเตี๊ยมทั้งอย่างนั้น แล้วออกไปข้างนอก
ทางฝั่งเจียงหวายเย่ เขากำลังเดินไปที่โรงหมอหุยชุน และเพื่อที่จะเข้าไปข้างในโดยหลบหูหลบตาผู้คน เขาจึงเหาะข้ามกำแพงไป
เมื่อเข้ามาในสวนของโรงหมอหุยชุน เขาก็พบว่าหลินซีเหยียนไม่ได้อยู่ที่นี่ แม้แต่หลีเจี้ยนเฉินก็หายไปด้วย หากว่าหายไปแค่คนเดียวเขาคงจะไม่กระวนกระวายเช่นนี้หรอก แต่นี่มันหายไปสองคนเชียวนะ
“อันอี้”
เขาพูดออกมาเบา ๆ กับสวนที่ว่างเปล่านี้ เพียงพริบตาอันอี้ก็ปรากฏตัวออกมาจากความมืด จากนั้นก็คุกเข่าลงตรงหน้าด้วยท่าทางนอบน้อม “พ่ะย่ะค่ะ”
“ตอนที่เราป่วยเมื่อวานนี้ ทำไมเจ้าถึงไม่พาเรากลับไปที่วังรัตติกาล?”
เจียงหวายเย่ไม่พอใจเป็นอย่างมากกับการที่อันอี้ละเลยหน้าที่ของตัวเอง ถึงแม้ว่าเขาจะเคยสั่งอันอี้เอาไว้ว่าหากพิษของเขากำเริบขึ้นมา ก็ให้อันอี้พาตัวเขาไป และอย่าให้เสี่ยวเหยียนเอ๋อเห็นเขาเด็ดขาดทว่าอันอี้นอกจากจะปล่อยเขาเอาไว้ทั้งอย่างนั้นแล้ว ยังปล่อยให้คนแปลกหน้าพาตัวเขาไปด้วยอีก!
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หน้าของอันอี้ก็ซีดเผือดลง เขากล่าวต่อเจ้านายของตนด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความละอายใจ “เมื่อวานนี้กระหม่อมไม่มีเวลาพอที่จะพาท่านไป เพราะไม่นานแม่นางเจียงก็ปรากฏตัวออกมาพ่ะย่ะค่ะ และเพื่อที่จะไม่เป็นการเปิดเผยตัวตนขององค์ชาย กระหม่อมจึงเลือกที่จะไม่เผยตัวออกไปพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วพิษในตัวของเปิ่นหวางได้แม่นางคนนั้นเป็นคนควบคุมพิษให้อย่างนั้นรึ?” ดวงตาของเจียงหวายเย่ปรากฏแววครุ่นคิดออกมาก
ด้วยเพราะเขามั่นใจในเรื่องวิชาแพทย์ของเสี่ยวเหยียนเอ๋อมาก ถ้าหากเสี่ยวเหยียนเอ๋อไม่พบวิธีรักษา เขาก็เชื่อว่าไม่น่าจะมีใครอื่นในแผ่นดินนี้ที่จะรักษาเขาได้เช่นกัน
“อันอี้เองก็เข้าใจถึงความสำคัญของเรื่องนี้ จึงได้คอยจับตาดูแม่นางเจียงอยู่ตลอดพ่ะย่ะค่ะ” อันอี้ที่คุกเข่าอยู่ที่พื้นพลันนึกเหตุการณ์แปลก ๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อวานขึ้นมาได้ เขาจึงใคร่บอกสิ่งนี้กับเจ้านายของตนยิ่งนัก
และเมื่อเห็นสายตาที่ครุ่นคิดของเจียงหวายเย่แล้ว อันอี้จึงได้แต่ถอนหายใจแล้วกล่าวออกไป “แม่นางคนนั้นได้หยดเลือดของตัวเองลงไปในยาของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“เลือดของตัวเอง?” เจียงหวายเย่พลันรู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา นี่ผู้หญิงคนนั้นจะเอาเลือดของตัวเองให้เราดื่มหรือนี่? หลังจากที่ชายหนุ่มตั้งสติได้ เขาก็พูดพึมพำเบา ๆ “หรือว่าจะมีอะไรเป็นพิเศษในเลือดของผู้หญิงคนนั้น?”
อันอี้ส่ายหัวน้อย ๆ “กระหม่อมเองก็สงสัยแบบนั้นเช่นกัน จึงได้ให้คนสะกดรอยตามแม่นางเจียงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หาทางเอาเลือดของนางมาให้ได้แล้วเอากลับมาให้เราที”
เสียงของเจียงหวายเย่นั้นแฝงไปด้วยความจริงจัง ด้วยคิดว่าบางทีอาจจะมีความหวังซ่อนอยู่ในนั้นก็ได้ ความหวังที่จะหาทางที่จะรักษาเขาให้หาย ไม่อย่างนั้นเขาคงรู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้ไปตลอด
ซึ่งเขาเองก็รู้สึกว่าเสี่ยวเหยียนเอ๋อนั้นกำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่ตลอด
ส่วนหลินซีเหยียนที่หายไปในเวลานี้ ก็กำลังนอนอยู่บนหลังคาและแอบมองดูหนุ่มสาวคู่หนึ่งที่กำลังกะหนุงกะหนิงกันพร้อมกันกับหลีเจี้ยนเฉิน
สองคนนั้นกำลังพูดอะไรบางอย่างกัน จากนั้นก็ได้ถอดผ้าถอดผ่อนออกแล้วก็กอดกันกลม
หลีเจี้ยนเฉินที่แอบมองอยู่บนหลังคาด้วยกันนั้น ก็ไม่คิดว่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น เขาจึงหันหน้าหลบอย่างอาย ๆ แต่เมื่อหันมามองด้านนอกแล้ว เขาก็พบว่าท่านหมอหลินกลับกำลังมองภาพตรงหน้าอย่างตั้งใจ มิหนำซ้ำยังดูจะชอบอกชอบใจเสียด้วย
“…..”
เมื่อนึกถึงสิ่งที่คนที่อยู่ข้างใต้หลังคานี้กำลังทำอะไรกันแล้ว หลีเจี้ยนเฉินก็รีบเอามือมาปิดตาของหลินซีเหยียนด้วยความกลัวว่านางจะแปดเปื้อนกับภาพเช่นนี้
เมื่อถูกบังเช่นนี้หลินซีเหยียนก็รู้สึกไม่พอใจ ขณะที่นางจะกล่าวคำต่อว่าออกไปนั้นเอง นางก็ต้องชะงักหยุดเมื่อเห็นใบหน้าแดง ๆ ของหลีเจี้ยนเฉิน ที่แดงจนเลือดแทบจะทะลักออกมา
จากนั้นนางก็กระหยิ่มยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะกล่าวกับหลีเจี้ยนเฉินด้วยเสียงที่ดังพอแค่คนสองคนได้ยิน “นี่ฮ่องเต้หลีกำลังจะทนไม่ไหว แล้วอยากจะกระโดดเข้าเข้าไปร่วมวงกับพวกเขางั้นหรือ?”
หลีเจี้ยนเฉินส่ายหน้าอย่างหนักแน่น แล้วก็พูดถามออกมาเบา ๆ “นั่นคือคุณหนูสองของบ้านมหาเสนาบดีไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมนางถึงได้ทำตัวผิดจารีตเช่นนี้?”
พลันนั้นเองดวงตาของหลินซีเหยียนก็ปรากฏแววเย้ยหยันขึ้นมา “เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าได้ยินมาว่าหลินหัวเยว่น่ะได้สวมเขาให้กับสามีของนาง หลังจากที่แอบดูแล้วเกรงว่านางอาจจะทำเช่นนี้เพื่อเป็นการเอาคืนข้าก็ได้”