หมอผีแม่ลูกติด - บทที่ 275 พบท่านทวด
บทที่ 275 พบท่านทวด
เมื่อได้ยินคำมารดา ดวงตาของเทียนเอ๋อก็เป็นประกายขึ้นมาทันที ในเวลานี้เด็กน้อยรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง “เทียนเอ๋อจะไปที่จวนของท่านลุง!
ส่วนคนที่เพิ่งเข้ามาจากนอกกำแพงก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาเมื่อเขาได้ยินว่าหลินซีเหยียนจะออกไปข้างนอก
หลินซีเหยียนจึงฝากจิ่งชุนให้คอยดูแลเจียงหวายเย่กับหลีเจี้ยนเฉินแทน จากนั้นก็บอกให้ใครสักคนไปเตรียมรถม้ามา แล้วออกเดินทางโดยเร็ว
ระหว่างที่เดินทางไปได้ไม่นานนัก รถม้าก็หยุดชะงักลง
เมื่อหญิงสาวเปิดหน้าต่างรถม้าออก ก็เห็นว่าเป็นชิวฉุ่ย หลินซีเหยียนจึงใคร่สงสัยขึ้นมา “ให้นางขึ้นมา”
สารถีเมื่อได้รับคำสั่งดังนั้นแล้วจึงลงไปเอาเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ มาวาง เพื่อให้ชิวฉุ่ยขึ้นไปบนรถม้าได้ แล้วจากนั้นก็เดินทางต่อ
ทันทีที่ชิวฉุ่ยขึ้นมาบนรถม้า นางก็คุกเข่าลงไปกับพื้นในพลัน
หลินซีเหยียนเมื่อเห็นท่าทางดังนั้น จึงถามด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง “เจ้าถูกจับได้แล้วงั้นหรือ?”
ชิวฉุ่ยส่ายหัว “คุณหนูเจ้าคะ วันนี้ฮูหยินอวี้เริ่มรู้สึกว่ามือสังหารที่นางจ้างไปทำงานได้ช้ามากเจ้าค่ะ นางจึงใช้ให้ชิวฉุ่ยมาเร่งงานพวกเขาเจ้าค่ะ”
หลินซีเหยียนผงกหัว “เจ้าถึงได้มาหาข้าสินะ?”
“ได้โปรดช่วยชิวฉุ่ยด้วยเจ้าค่ะคุณหนู ถ้าเกิดเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ช้าหรือเร็วฮูหยินจะต้องระแคะระคายว่าชิวฉุ่ยทำงานผิดพลาด ชิวฉุ่ยต้องตายแน่เลยเจ้าค่ะ”
หญิงรับใช้ผู้นี้รู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อได้คิดถึงความโหดร้ายของฮูหยินอวี้แล้ว ไม่มีคืนใดเลยที่จำให้นางนอนหลับสนิทได้ลง เพียงผ่านไปได้ไม่กี่วัน นางก็ซีดเซียวลงไปถึงขนาดนี้แล้ว
หลินซีเหยียนพินิจมองคนตรงหน้าครู่หนึ่ง ไม่นานนักก็พูดขึ้นมา “เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าถูกจับได้แน่”
กระนั้นหลินซีเหยียนก็ยังไม่ได้บอกสิ่งที่นางจะทำต่อไปให้ชิวฉุ่ยรู้ เพียงแต่บอกให้สารถีหยุดรถแล้วให้ชิวฉุ่ยลงจากรถม้าตรงสถานที่แห่งหนึ่ง
แม้ว่าชิวฉุ่ยจะไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนี้ของอีกฝ่ายหมายถึงสิ่งใด แต่นางก็เดินทางกลับไปที่จวนมหาเสนาบดีแต่โดยดี
หลินซีเหยียนเดินทางต่อไปอีกไม่นานนักก็มาถึงจวนแม่ทัพเจิ้นกว๋อ เมื่อลงจากรถม้ามาพร้อมกับลูกชายแล้ว ก็จัดแจงบอกคนเฝ้าประตูให้เข้าไปรายงาน ซึ่งไม่ในไม่ช้าเยี่ยจุนเจี๋ยก็ออกมาต้อนรับ
เยี่ยจุนเจี๋ยที่เร่งรุดออกมาหาอย่างรีบร้อน ยังไม่ทันจะได้เอ่ยทักอะไรหลินซีเหยียนก็ต้องผงะ เมื่อสายตาไปปะทะเข้ากับเด็กน้อยหน้าตาน่ารักคนหนึ่งซึ่งอยู่ข้าง ๆ กัน
ทว่าสายตาก็ดึงกลับไปมองหลินซีเหยียนอย่างรวดเร็ว “วันนี้น้องซีเหยียนมีธุระด่วนอะไรอย่างนั้นหรือ?” เยี่ยจุนเจี๋ยเอ่ยปากถาม “หรือว่ามหาเสนาบดีหลินจะไม่ยอมให้เจ้ามา?”
“ท่านพี่ก็คิดมากเกินไป ก็แค่วันนี้ท่านโชคไม่ดีมาผิดเวลาไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง” หลินซีเหยียนขยิบตาให้ก่อนจะถามกลับไป “แล้วท่านแม่ทัพเป็นอย่างไรบ้าง?”
เยี่ยจุนเจี๋ยผงกหัว “ท่านปู่ยังแข็งแรงดี วันนี้เขาให้ข้าไปหาเจ้าก็เพราะว่าเขาคิดถึงน่ะ”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็พาเทียนเอ๋อมาได้จังหวะพอดี” หลินซีเหยียนหลุบตาลงไปมองเจ้าตัวน้อยข้าง ๆ แล้วยิ้ม จากนั้นจึงก้มตัวลงแล้วบอกเทียนเอ๋อ “นี่คือท่านลุงของเจ้า เขาเป็นแม่ทัพใหญ่ด้วยนะ”
“ว้าว” ดวงตาของเทียนเอ๋อเปล่งประกายวิบวับเหมือนกับดวงดาว และมีกระแสแห่งความปรารถนาบางอย่างแฝงอยู่ด้วย “ท่านลุงขอรับ เทียนเอ๋อก็จะเป็นยอดคนเหมือนอย่างท่านให้ได้ในอนาคตเลยขอรับ”
เพราะเทียนเอ๋อน่ารักเช่นนี้เอง เยี่ยจุนเจี๋ยจึงหลงรักเจ้าตัวน้อยทันที มือดึงอีกฝ่ายมากอดอย่างเอ็นดู
“ท่านลุงของเจ้าไม่ได้พกของมีค่าอะไรติดตัวมาด้วย เอาไว้วันหลังข้าจะหาของมาให้เจ้านะ”
เทียนเอ๋อผงกหัวอย่างเชื่อฟัง ซึ่งในระหว่างทางเทียนเอ๋อก็ไม่ได้ดื้อเลยแม้แต่น้อย ซึ่งทำให้หลินซีเหยียนรู้สึกได้ถึงความผิดปกตินี้
หรือว่าเขาจะกลัวอยู่?
เมื่อทักทายกันพอเป็นพิธีแล้ว เยี่ยจุนเจี๋ยก็นำหลินซีเหยียนเดินทางมาที่ห้องของแม่ทัพเจิ้นกว๋อ ไม่กี่อึดใจ ก็พบแม่ทัพเฒ่ากับฮูหยินเฒ่านั่งรออยู่
เมื่อสองผู้เฒ่าเห็นเทียนเอ๋อที่อยู่ข้าง ๆ หลินซีเหยียน ทั้งคู่ก็ลุกขึ้นแล้วเดินมาหาเจ้าตัวน้อยด้วยท่าทีแปลกใจระคนตกใจนิด ๆ “นี่คือลูกของเจ้าหรือ?”
เพียงหลินซีเหยียนได้ยินคำถามนั้น จิตใจที่เคยพะว้าพะวังกังวลอยู่นานสองนานก็มลายหายไปในพริบตา จากนั้นจึงพยักหน้าให้ช้า ๆ และเมื่อหันไปเห็นสีหน้าของเทียนเอ๋อที่กำลังงุนงง ท่ามกลางสายตาที่รักใคร่เอ็นดูของแม่ทัพเฒ่ากับฮูหยินเฒ่าแล้ว นางก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
“เจ้าชื่อว่าอะไรรึ?” แม่ทัพเฒ่าอุ้มเทียนเอ๋อขึ้นมาพลางถาม
“ข้าชื่อว่าหลินเทียนซื่อขอรับ ท่านจะเรียกข้าว่าเทียนเอ๋อก็ได้”
สองผู้เฒ่าดูจะชอบอกชอบใจเจ้าหนูคนนี้มากทีเดียว ทั้งสามคุยเล่นกันอยู่สักพักจนดูเหมือนจะสนิทกันแล้ว ชั่วขณะหนึ่งแม่ทัพเฒ่าก็นึกถึงเรื่องของการทักทายกันอย่างเป็นทางการได้ จากนั้นเขาก็หันไปพูดกับเจ้าเหลนตัวน้อยที่ขาวและเจ้าเนื้อว่า “ดูสิเทียนเอ๋อ เจ้าชอบอะไรในห้องนี้?”
เทียนเอ๋อสอดส่ายสายตาไปมองหาสิ่งของตามที่แม่ทัพเจิ้นกว๋อบอกอย่างซื่อ ๆ ในไม่ช้า สายตาของเขาก็หยุดลงที่กระบี่เล่มหนึ่งซึ่งแขวนอยู่บนกรอบไม้
เมื่อแม่ทัพเฒ่ามองไปตามสายตาของเทียนเอ๋อแล้วก็หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ เสียงหัวเราะของเขานั้นทรงพลังพอที่จะเขย่าหลังคาได้เลยทีเดียว จากนั้นคนเฒ่าก็มองไปที่เทียนเอ๋อแล้วผงกหัว
“ดูที่กระดูกของเจ้าเด็กคนนี้สิ ช่างเหมาะสมแก่การฝึกยุทธ์ยิ่งนัก สมแล้วที่มีสายเลือดของตระกูลเยี่ยอยู่ในตัว เจ้าจะต้องประสบความสำเร็จในอนาคตเป็นแน่”
ว่าเสร็จก็วางเทียนเอ๋อลงกับพื้น แล้วเดินไปหยิบกระบี่ที่แขวนอยู่ที่กรอบไม้แล้วส่งให้เทียนเอ๋ออย่างทะนุถนอม
“ท่านปู่ขอรับ!”
เยี่ยจุนเจี๋ยเอ่ยปากจะทักท้วงขึ้น แต่เขาก็ต้องผงะไปเมื่อเจอกับสายตาของผู้เป็นปู่ สายตาคนหนุ่มมองไปที่กระบี่เล่มนั้นอย่างช่วยไม่ได้ขณะครุ่นคิด ‘มันเป็นกระบี่ที่ร่วมต่อสู้กับท่านปู่มาตลอดครึ่งชีวิตของเขา ปกติแล้วเขาไม่เคยให้ใครมาแตะต้องนอกจากตัวเองแท้ ๆ แต่วันนี้เขากลับใจกว้างยกให้คนอื่นง่าย ๆ’
ถึงเทียนเอ๋อจะไม่รู้ถึงความสำคัญของกระบี่เล่มนี้ แต่หลินซีเหยียนนั้นเข้าใจเป็นอย่างดี นางจึงได้ยื่นมือออกไปห้าม “กระบี่เล่มนี้น่าจะราคาแพงมาก ท่านปู่ควรจะมอบอย่างอื่นให้เทียนเอ๋อนะเจ้าคะ!”
เทียนเอ๋อนั้นมีความมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมารดาตนอยู่แล้ว จึงย่อมเชื่อคนเป็นแม่ “ท่านแม่พูดถูกแล้วขอรับ ท่านทวดให้อย่างอื่นกับข้าก็ได้ขอรับ”
แม่ทัพเฒ่ายิ้มกริ่มก่อนจะลูบหัวของเด็กน้อย “เทียนเอ๋อเป็นเด็กดีจริง ๆ แต่ตาแก่คนนี้น่ะชอบเทียนเอ๋อมาก ฉะนั้นเทียนเอ๋อไม่ต้องไปฟังพวกเขา รับไปเถอะ”
เทียนเอ๋อจึงเปลี่ยนเป็นพยักหน้ารับ แล้วกล่าวอย่างจริงจัง “ท่านตาทวดไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ เทียนเอ๋อจะใช้กระบี่เล่มนี้แล้วกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งเพื่อปกป้องท่านแม่ขอรับ”
“ช่างเป็นเด็กที่เอาใจใส่ดีจริง ๆ” ฮูหยินเฒ่าพลันกล่าวอย่างชื่นใจ มือยกขึ้นลูบหัวของเทียนเอ๋อ
หลังจากนั้นหลินซีเหยียนก็มอบยารักษาสุขภาพบางอย่างให้ แล้วบอกว่านี่เป็นยาที่หลินอวิ๋นเซวียนจะมอบให้พวกเขาอยู่แล้ว ทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ ด้วยเหตุนี้ผู้เฒ่าจึงได้มีสายตารู้สึกสนใจขึ้นมาที่ทำให้นางต้องรู้สึกช่วยไม่ได้
แต่แม่ทัพเฒ่านั้นรู้สึกอายเกินไปที่จะถามเรื่องนี้ เขาจึงได้มองไปที่ฮูหยินเฒ่าด้วยสายตา
หลินซีเหยียนนั้นมองเห็นถึงสายตาของเขา แต่นางก็ทำเป็นไม่สนใจ
ฮูหยินเฒ่าจึงทำตามที่แม่ทัพเฒ่าบอก นางลงไปนั่งข้าง ๆ หลินซีเหยียนแล้วจับมืออีกฝ่าย “ซีเหยียน เจ้าเองก็ยังสาวยังแส้ เจ้ามีคู่ที่เหมาะสมแล้วหรือยัง?”
หลินซีเหยียนยิ้มแห้ง ๆ ออกมา “ข้าน่ะอยู่กับเทียนเอ๋อก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ ข้ายังไม่อยากจะคิดเรื่องอื่นหรอกเจ้าค่ะ”
แล้วแม่ทัพเฒ่าก็ยักคิ้วให้กับฮูหยินเฒ่า
ฮูหยินเฒ่าที่รู้ตัวว่าสุดท้ายแล้วนางก็ต้องเป็นผู้ที่พูดเรื่องนี้ก็เอ่ยกับหลินซีเหยียน “ข้าเองก็คิดว่าอวิ๋นเซวียนน่ะก็เป็นเด็กดี ทำไมเจ้าไม่ลองคิดเรื่องนี้ดูบ้างล่ะ?”
เมื่อหญิงสาวได้ยินดังนั้นคิ้วก็กระตุกขึ้นมาทันที
อวิ๋นเซวียน? จะให้แต่งงานกับตัวเองงั้นหรือ? ไม่ได้การแล้ว ต้องรีบเลี่ยงเดี๋ยวนี้!
ในขณะที่หลินซีเหยียนจะปฏิเสธอยู่นั้นเอง ฮูหยินเฒ่าก็พูดขึ้นมา “เจ้าไม่ต้องรีบปฏิเสธก็ได้ เดี๋ยวข้าจะให้จุนเจี๋ยไปบอกให้อวิ๋นเซวียนไปพบกับเจ้าดูก่อน”
“ไม่จำเป็นหรอกเจ้าค่ะ ข้ากับหลินอวิ๋นเซวียนเป็นแค่เพื่อนสนิทและผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าเท่านั้นเจ้าค่ะ” หลินซีเหยียนกล่าวปฏิเสธอย่างกระอักกระอ่วน
บทสนทนาภายในจวนดำเนินต่อไปได้อีกสักพัก ฮูหยินเฒ่าก็พาเทียนเอ๋อออกไปเดินเล่นข้างนอก ทำให้ภายในจวนบัดนี้เหลือเพียงเจิ้นกว๋อ เยี่ยจุนเจี๋ย และหลินซีเหยียน
อึดใจต่อมาสีหน้าแม่ทัพเฒ่าก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังเคร่งขรึม จากนั้นก็กล่าวกับหลานสาว “ซีเหยียน ตอนนี้เจ้ายังติดต่อกับองค์ชายเย่อยู่หรือไม่?”
“ท่านปู่ถามทำไมหรือเจ้าคะ?” หลินซีเหยียนไม่คิดโกหกเขาแต่อย่างใด นางผงกหัวขณะตอบ “ในเวลานี้เขาเป็นผู้ป่วยของข้าอยู่เจ้าค่ะ”
“แล้วเจ้าชอบองค์ชายเย่หรือไม่?”