หนึ่งเซียนยากเสาะหา (Lady Cultivator) - ตอนที่ 463 ทั้งกลุ่ม
ตอนที่ 463 – ทั้งกลุ่ม
“สหายเต๋าทั้งสอง มาเร็วนัก” เมื่อเห็นพวกเขากลุ่มสี่่คนปรากฏตัว อาจารย์เต๋าหยวนมู่เผยแววประหลาดใจนิด ๆ ออกมา
“โชคดีเท่านั้น” อู๋หมิงเจินเจ่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม สายตากวาดผ่านคนในที่แห่งนี้ คิ้วขาวขยับ ถามว่า “สหายเต๋าหยวนมู่ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
สามฝ่ายที่นำหน้าเข้าวังเซียนก่อน สำนักจิ่วเยี่ยนหกคน สำนักศึกษาเยว่ซานสี่คน ศิษย์อาจารย์ประมุขมารกุ่ยฟางสองคน ปัจจุบันผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นกลางสองคนของสำนักจิ่วเยี่ยนคล้ายจะบาดเจ็บสาหัส นั่งขัดสมาธิปรับลมหายใจ สำนักศึกษาเยว่ซานยิ่งไม่เห็นผู้ฝึกตนขั้นต้นหนึ่งคน แม้แต่สีหน้าของประมุขมารกุ่ยฟางก็ดูแย่มาก โดยเฉพาะตอนเห็นพวกเขาสี่คนออกมาจากเส้นทางอย่างปลอดภัยไม่ได้รับบาดเจ็บสักคน
เมื่อได้ยินคำถาม สีหน้าของบัณฑิตอวี๋มืดครึ้มลงหลายส่วน สีหน้าของอาจารย์เต๋าหยวนมู่ก็ไม่ได้ผ่อนคลายนัก เขาเอ่ยว่า “ได้แต่โทษเหล่าฟูที่คาดการณ์อันตรายในเส้นทางต่ำ ประมาทเกินไป จึงทำให้ซือตี้สองคนได้รับบาดเจ็บ”
โม่เทียนเกอฟังแล้วสบตากับฉินซีแวบหนึ่ง แลกเปลี่ยนสายตากัน พายุหมุนในเส้นทางร้ายกาจจริง ๆ หากลดความระมัดระวังลง การได้รับบาดเจ็บก็ปกติมาก สำนักจิ่วเยี่ยนส่งผู้ฝึกตนขั้นปลายสองคนกับผู้ฝึกตนขั้นกลางสามคนออกมา ถึงกับได้รับบาดเจ็บสาหัสไปสองคนบนทางเข้าวังเซียน มิน่าเล่าสีหน้าอาจารย์เต๋าหยวนมู่ปั้นยากขนาดนี้
สำหรับสำนักศึกษาเยว่ซาน ผู้ฝึกตนขั้นต้นที่ไม่เห็นคนนั้นคาดว่าสิ้นใจในเส้นทางแล้ว ส่วนผู้ฝึกตนขั้นต้นอีกคนท่าทางเหมือนบาดเจ็บไม่เบา ครานี้บัณฑิตอวี๋คำนวณผิด สำนักศึกษาเยว่ซานเดิมก็เทียบสำนักจิ่วเยี่ยนไม่ได้ เพียงพาผู้ช่วยเป็นจิตวิญญาณใหม่ขั้นต้นสองคนออกมา ปัจจุบันนี้ตายหนึ่งบาดเจ็บหนึ่ง เท่ากับเสียหายทั้งหมด
อู๋หมิงเจินเจ่อได้ยินดังนี้แล้ว ก้มหน้าเอื้อนนามพุทธองค์ ถอนหายใจว่า “น่าเสียดาย น่าเสียดาย”
“คิดไม่ถึงว่าสหายเต๋าอู๋หมิงและสหายเต๋าฉินจะถึงกับร่วมมือกัน พวกท่านสองคนพาผู้เยาว์มาด้วยสองคนยังผ่านด่านโดยปลอดภัย ช่างโชคดีโดยแท้!” บัณฑิตอวี๋อ้าปากกล่าวขึ้นมา ฟังแล้วคล้ายกับยินดี แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่บ้าง
อู๋หมิงเจินเจ่อย่อมไม่โมโห เขายิ้มบาง ๆ เอ่ยว่า “วิชาเวทของวัดหัวเหยียนเราพลังด้อยไปบ้าง ทว่าดีที่วิชากายาพิสุทธิ์ยังไม่เลว”
“หึ!” บัณฑิตอวี๋รู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่อู๋หมิงเจินเจ่อพูดไม่ผิด เขาเดิมทีก็อารมณ์ไม่ดีจึงระบายความโกรธ ขณะนี้เพียงร้องหึเสียงเย็นหนึ่งคำ ไม่พูดอีก
อาจารย์เต๋าหยวนมู่กวาดมองฉินซีกับโม่เทียนเกอด้วยสายตาซับซ้อนอยู่บ้าง ถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายจะด้อยอยู่บ้าง แต่มีจิตหยั่งรู้ของฝูเหยาจื่ออยู่กับตัว เตรียมพร้อมแต่เนิ่น ๆ ผ่านมาได้อย่างปลอดภัยก็ไม่ประหลาด
“สหายเต๋าทุกท่าน” อาจารย์เต๋าหยวนมู่ปลุกสติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว กล่าวว่า “พวกเราเพียงมาล่วงหน้าหนึ่งก้าว ข้างหลังยังมีสหายเต๋าจำนวนมาก หากชักช้าต่อไปอีก จะไม่เป็นการดี”
บัณฑิตอวี๋สงบจิตใจอย่างรวดเร็ว พยักหน้าเอ่ยว่า “มิผิด ในเมื่อพวกเรากุมวัตถุศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือ ก็ต้องช่วงชิงโอกาสไว้”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อวี๋เซียนเซิงเห็นว่า ก้าวต่อไปพวกเราควรทำอย่างไร”
เมื่อได้ยินวาจานี้ สีหน้าของบัณฑิตอวี๋มืดครึ้มอยู่บ้าง สายตาของเขากวาดมองผู้ฝึกตนทั้งหลายที่บาดเจ็บสาหัส เอ่ยว่า “สหายเต๋าหยวนมู่จำเป็นต้องรู้แล้วยังถามหรือ”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่ถอนหายใจ กล่าวว่า “ได้แต่ขอให้ซือตี้ที่ได้รับบาดเจ็บทุกท่านรออยู่ที่นี่ เวลากระชั้นชิด หวังว่าซือตี้ทั้งหลายจะเข้าใจ”
สำนักจิ่วเยี่ยนสองคนบาดเจ็บสาหัส สำนักศึกษาเยว่ซานตายหนึ่งบาดเจ็บหนึ่ง อีกสามฝ่ายล้วนปลอดภัยไร้ปัญหา ข้อเสนอนี้ของอาจารย์เต๋าหยวนมู่ พวกเขาย่อมไม่ปฏิเสธ ส่วนผู้ฝึกตนสามคนนั้น ถึงจะไม่เต็มใจอยู่บ้าง แต่ก็ไร้ทางเลือกอื่นอีก พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกตนของสำนัก ล้วนเข้าใจว่าสถานการณ์ใหญ่สำคัญ ปัจจุบันนี้ตนเองเป็นเพียงตัวถ่วงของสำนัก ได้แต่ล่าถอย แต่ว่า ในวังเซียน คิดว่าวาสนาจะต้องไม่น้อย พวกเขาเสาะหาทางอื่น ไม่แน่ว่าจะไม่มีโอกาส
คิดถึงตรงนี้ ผู้ฝึกตนขั้นกลางคนหนึ่งของสำนักจิ่วเยี่ยนฝืนใจเอ่ยว่า “หยวนมู่ซือเกอพูดถูก เรื่องราวเกี่ยวพันใหญ่หลวง เราจะรอข่าวดีของทุกท่านอยู่ที่นี่นะ!”
ความเข้าใจของคนร่วมสำนักทำให้สีหน้าของอาจารย์เต๋าหยวนมู่ดูดีขึ้นมาบ้าง เอ่ยอย่างอบอุ่นทันทีว่า “ซือตี้ทุกท่านไม่ต้องหดหู่ไป เรื่องของชะตาเซียน ไม่อาจสรุปแน่ จะตกลงบนศีรษะของใครล้วนเป็นไปได้ ไม่ว่าจะอย่างไร สามวันให้หลัง พวกเราจะรวมตัวกันที่นี่ ออกจากวังเซียนด้วยกัน”
“ขอรับ หยวนมู่ซือเกอ”
ผู้ฝึกตนของสำนักศึกษาเยว่ซานนั้นก็พยักหน้าให้บัณฑิตอวี๋
ผู้ฝึกตนที่ถูกทิ้งทั้งสาม บนใบหน้าล้วนปรากฏแววหมองเศร้า ถึงจะบอกว่าคำปลอบของอาจารย์เต๋าหยวนมู่มิใช่ไร้เหตุผล แต่พวกเขาล้วนทราบว่าความเป็นไปได้เช่นนี้น้อยเกินไป
หลังจากตัดสินใจ คนทั้งกลุ่มจัดกลุ่มใหม่อย่างรวดเร็ว เพิ่งจะเข้าวังเซียนก็เสียผู้ฝึกตนสี่คน ปัจจุบันนี้เป็นสำนักจิ่วเยี่ยนสี่คน อีกสี่ฝ่ายเป็นฝ่ายละสองคน รวมทั้งสิ้นก็แค่สิบสองคนเท่านั้น ในนี้ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายห้าคน ผู้ฝึกตนขั้นกลางสองคน ผู้ฝึกตนก่อเกิดตานห้าคน
กลุ่มอย่างนี้ ในโลกมนุษย์ทั้งโลกล้วนเป็นความแข็งแกร่งที่น่ากลัวมาก ผู้ฝึกตนใหญ่จิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายในอวิ๋นจงรวมแล้วก็มีเพียงสิบเอ็ดคนเท่านั้น แต่ว่าหัวใจของทุกผู้คนล้วนหนักอึ้ง ตอนที่เพิ่งเข้าวังเซียนก็ถูกบีบให้ละทิ้งพวกพ้อง สำหรับพวกเขาซึ่งเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ ณ จุดสูงสุดของโลกมนุษย์ที่เรียกลมเรียกฝนมานับพันปี นี่เป็นความอัปยศจริง ๆ พวกเขาอดคิดไม่ได้ว่า ห้าปราชญ์ในปีนั้น ความแข็งแกร่งล้วนยังไม่ถึงจุดสูงสุด แต่ล้วนถอยออกจากในวังเซียนอย่างปลอดภัย พรสวรรค์ล้ำฟ้าของพวกเขาไม่ได้อยู่เพียงแค่ที่การฝึกตนเท่านั้น
“สหายน้อยโม่” อาจารย์เต๋าหยวนมู่มองไปทางโม่เทียนเกอ “เส้นทางนี้ เจ้าน่าจะรู้กระมัง”
โม่เทียนเกอพยักหน้า กล่าวว่า “ภูเขาวิญญาณลูกนี้เป็นประตูขึ้นเขาของสำนักฝึกเซียนใหญ่โบราณกาล วังเซียนนี้เป็นที่ตั้งสำนัก ผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อชี้แนะว่าชะตาเซียนมีสามแห่ง หนึ่งคือห้องหลอมยา สองคือศาลาเก็บคัมภีร์ สามคือห้องคลัง ในห้องหลอมยา ถึงจะมีโอสถเซียนของโบราณกาล แต่โอสถเซียนเหล่านี้อยู่มานานเกินไป ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้แล้ว หากพวกเราไปห้องหลอมยาก็คือไปเพิ่มพูนความรู้เรื่องอุปกรณ์หลอมยาของยุคโบราณกาลเท่านั้น แน่นอนว่า ในนั้นก็มีสมบัติวิญญาณประเภทเตาหลอมยาอยู่บ้าง แต่อันที่มีค่าล้วนถูกผู้อาวุโสห้าปราชญ์ในปีนั้นเอาไปหมดแล้ว”
“เช่นนั้นห้องเก็บคัมภีร์กับห้องคลังเล่า” บัณฑิตอวี๋ถาม
โม่เทียนเกอยกมุมปากขึ้น เอ่ยว่า “ในห้องเก็บคัมภีร์ ผู้อาวุโสห้าปราชญ์ไม่ได้ขยับแต่อย่างใด แต่ว่าในนั้นกำแพงอาคมหนาแน่น อันตรายก็สูงยิ่ง ผู้อาวุโสทุกท่านล้วนเป็นผู้ฝึกตนใหญ่จิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายแล้ว คิดว่าจะเสาะหาวิชาเวทซึ่งมีส่วนช่วยต่อตนเอง เกรงว่าจะมีระดับความยากสูงยิ่ง”
“จุดนี้สหายน้อยโม่ไม่ต้องกังวลมาก” อาจารย์เต๋าหยวนมู่สีหน้าเคร่งขรึม กล่าวช้า ๆ ว่า “พวกเราเหล่าผู้เฒ่าหยุดอยู่ที่ขอบเขตจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายอย่างน้อยที่สุดก็หลายร้อยปี หากไม่สามารถเลื่อนระดับ ถึงระดับการฝึกตนขณะนี้จะสูงกว่านี้ ถึงเวลาก็เป็นกระดูกขาวกองหนึ่ง อันตรายนี้คุ้มค่าหรือไม่ พวกเรามีการคำนวณอยู่ในใจ”
โม่เทียนเกอพยักหน้า กำลังจะพูดต่อไปอีก กลับได้ยินประมุขมารกุ่ยฟางที่เงียบงันมาโดยตลอดเอ่ยปากว่า “สหายน้อยโม่ ดูแผนผังของวังเซียนนี้ น่าจะเป็นสำนักผู้ฝึกเต๋ากระมัง เช่นนี้สำหรับข้าผู้ฝึกมารไยมิใช่ไร้ประโยชน์สักนิด?”
สำนักผู้ฝึกเต๋า สิ่งที่มีอยู่ย่อมเป็นคัมภีร์ลับทางเต๋า ส่วนขงจื้อกับพุทธสองมรรคากับเต๋ามีคำสอนเชื่อมโยงกัน ก็เลยฝึกได้ ถ้าเป็นผู้ฝึกมารกลับจะขัดแย้ง ไม่อาจใช้ได้เลย
โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสกุ่ยฟางเจ้าคะ จอมมารเทียนเย่าในปีนั้นสามารถได้รับวาสนาจากในนี้ ผู้อาวุโสก็ย่อมสามารถเจ้าค่ะ สำนักใหญ่ที่แท้จริงจะไม่เก็บรักษาไว้เพียงวิชาเวทฝึกตนของตนเอง แน่นอนว่า ถ้าผู้อาวุโสเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องเสียงอันตรายนี้ ผู้เยาว์ก็ไม่มีอะไรจะพูด”
การเข้าวังเซียนนี้เดิมก็เป็นความสมัครใจ ประมุขมารกุ่ยฟางหากล้มเลิก คนแบ่งส่วนน้อยลงหนึ่งคน คนอื่น ๆ จะดีใจมาก
ตามคาด ประมุขมารกุ่ยฟางเอ่ยว่า “เปิ่นจวินเพียงถามคำเดียวเท่านั้น สหายน้อยโม่จะต้องกระวนกระวายด้วยหรือไร”
โม่เทียนเกอยิ้ม ๆ กล่าวต่อว่า “ส่วนห้องคลัง นั่นย่อมเป็นส่วนสำคัญยิ่งกว่าสำคัญของสำนัก ผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อบอกว่า ผู้ฝึกตนที่ระดับการฝึกตนสูงที่สุดของสำนักนี้ไม่ได้อยู่เพียงแค่ระดับแปลงเทพโดยเด็ดขาด ดังนั้น กำแพงอาคมในห้องคลังก็อยู่เหนือระดับแปลงเทพไปไกล ด้วยระดับการฝึกตนของผู้อาวุโสทุกท่าน อย่างมากที่สุดทำลายกำแพงอาคมของระดับจิตวิญญาณใหม่ รับสมบัติที่สอดคล้องกันไป”
ถึงจะบอกว่าเป็นเพียงสมบัติที่สอดคล้องกับระดับจิตวิญญาณใหม่ แต่ว่า สมบัติของยุคโบราณกาล เทียบกับของทุกวันนี้ จะสามารถเทียบกันได้อย่างไร พอได้ยินวาจานี้ สายตาของทุกคนล้วนสว่างขึ้นมา
“สหายน้อยโม่” อาจารย์เต๋าหยวนมู่ถาม “หรือว่าห้าปราชญ์ในปีนั้นไม่ได้เอาสมบัติของระดับจิตวิญญาณใหม่ไปจนหมด?”
โม่เทียนเกอเอ่ยว่า “ปีนั้นห้าปราชญ์เข้าสู่วังเซียน ใช้ความพยายามมากมายจึงไปถึงห้องคลัง กำลังมีไม่พอ หยิบไปเพียงสมบัติบางส่วน จุดนี้สหายเต๋าทั้งหลายที่สืบทอดวัตถุศักดิ์สิทธิ์น่าจะทราบถึงจะถูก”
หลิงอวิ๋นเฮ่อพยักหน้าก่อนใคร “มิผิด”
วัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาสี่คนได้รับการยอมรับเป็นนาย จิตหยั่งรู้ที่ทิ้งเอาไว้ไม่แข็งแกร่ง ดังนั้นเพียงรู้ตำแหน่งของชะตาเซียนโดยคร่าว ๆ ไม่เหมือนโม่เทียนเกอ ฝูเหยาจื่อจนกระทั่งวันนี้จิตหยั่งรู้ยังไม่เสื่อมสลาย แม้แต่เส้นทางก็รู้อย่างชัดเจน หากการเดินทางนี้ไม่มีโม่เทียนเกอ พวกเขาเสาะหาห้องเก็บคัมภีร์หรือว่าห้องคลัง คาดว่าคงจะสูญเสียความแข็งแกร่งส่วนใหญ่ไป ถึงเวลาจะสามารถหยิบฉวยสมบัติได้กี่ชิ้นก็ยากจะบอก
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องราวไม่รอช้า พวกเราก็ออกเดินทางเถอะ” อาจารย์เต๋าหยวนมู่มองเส้นทางวังเซียนอันเปล่งประกายเรืองรองแล้วพูด
พวกเขาล่าช้ากันไปเท่านี้ ต้องมีคนเข้ามากันอีก แต่ไม่รู้ว่าจะมีผู้ฝึกตนเสียชีวิตในเส้นทางหรือไม่
ไม่มีใครอยากจะจะเสียเวลา คนทั้งกลุ่มจัดกลุ่มเสร็จก็เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
วังเซียนโออ่าหรูหรา อาคารสูงตระหง่าน ที่ใหญ่กว้างขวาง ที่เล็กงามประณีต ดูจากสถาปัตยกรรมเพียงอย่างเดียวก็รู้ได้ว่า สำนักที่เป็นเจ้าของวังเซียนนี้จะต้องมิใช่สำนักเล็ก ๆ
ในวังเซียน มีลานกว้าง, ซุ้มประตู, สวน, ถนนยาว, ตำหนัก พูดได้ว่า นี่แทบจะเป็นเมืองเล็กแห่งหนึ่ง อาคารที่ควรจะมีล้วนมีทั้งหมด โม่เทียนเกอประเมินว่า วังเซียนนี้แทบจะใหญ่เท่ากับยอดเขาหลักโรงเรียนเสวียนชิงทั้งสิบ คิดว่าผู้ฝึกตนสำนักนี้ในตอนนั้นจะต้องอยู่ในนี้กันหมด ไม่เหมือนกับโรงเรียนเสวียนชิงที่แบ่งไปพักยังยอดเขาต่าง ๆ
เข้ามาจากประตูเซียน สิ่งที่เข้ามาในสายตาคือลานกว้างขนาดมโหฬารที่บรรจุคนได้นับหมื่นคน ทั้งวังเซียนก่อสร้างจากศิลาวิญญาณระดับสูงธาตุน้ำแข็ง ลานกว้างทั้งหมดราวกับธารน้ำแข็งทุ่งหิมะ ขาวสล้างราวกับหิมะ พลังวิญญาณเปี่ยมล้น กลุ่มคนสิบสองคนเดินผ่านลานกว้าง สัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณเข้มข้มที่แทบจะสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่ารายล้อมรอบตัว
หลิงอวิ๋นเฮ่อเงยหน้ามองโดยรอบ โพล่งออกมาว่า “หรือว่าสำนักนี้เชี่ยวชาญวิชาเวทธาตุน้ำแข็ง? ศิลาวิญญาณระดับสูงธาตุน้ำแข็งมากขนาดนี้ หากเป็นผู้ฝึกตนที่มีรากวิญญาณน้ำแข็งฝึกตนอยู่ที่นี่……”
จุดนี้ ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เหล่านี้ไยจะคิดไม่ถึง? หลิงซื่ออวี่ถอนหายใจเอ่ยว่า “น่าเสียดายที่ในพวกเราไม่มีสักคนที่เป็นรากวิญญาณน้ำแข็ง”
ประมุขมารกุ่ยฟางยกมุมปาก เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็บยะเยียบว่า “ยายหนูเย่ซวงนั่นน่าจะดีใจ นางเป็นผู้ฝึกตนรากวิญญาณน้ำแข็งพอดี” ที่เขาพูดคือประมุขมารเย่ซวง เจ้าเมืองของเมืองเย่เซียว
“ฮา……” บัณฑิตอวี๋หัวเราะเบา ๆ คำหนึ่ง เอ่ยว่า “น่าเสียดายที่เส้นทางวังเซียนเพียงเปิดได้แค่สามวัน ไม่อย่างนั้นสหายเต๋าเย่ซวงฝึกตนอยู่ที่นี่คงดียิ่ง!”
ตอนที่ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ทั้งหลายคุยกัน โม่เทียนเกอกลับคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง ใช้จิตสัมผัสถามฝูเหยาจื่อว่า “ซือฟุ วังเซียนนี้ในเมื่อก่อสร้างจากศิลาวิญญาณธาตุน้ำแข็ง เพราะอะไรศาลเจ้าด้านล่าง สิ่งที่บูชากลับเป็นหงส์เพลิงเจ้าคะ”
มังกรเขียนแทนไม้ พยัคฆ์ขาวแทนทอง หงส์เพลิงแทนไฟ เต๋าดำแทนน้ำ ฉีหลินแทนดิน นี่เป็นวังเซียนที่มีธาตุน้ำแข็ง เพราะอะไรถึงเลือกสร้างศาลเจ้าหงส์เพลิงที่เป็นธาตุไฟเล่า
……………….
ตอนที่ 464 – ศพหลอมตามธรรมชาติ