หนึ่งเซียนยากเสาะหา (Lady Cultivator) - ตอนที่ 458 หุบเขาไฟแท้
ตอนที่ 458 – หุบเขาไฟแท้
เดินผ่านตีนเขาที่ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มปกคลุมแล้ว โม่เทียนเกอปาดเหงื่อ
ถ้าไม่ได้มีคำเตือนของฝูเหยาจื่อ พวกเขาสองคนต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปหนึ่งรอบจึงจะสามารถออกมาได้อย่างราบรื่น ฝึกตนมาถึงขั้นนี้ ความตื่นตัวของผู้ฝึกตนได้สลักลึกลงในกระดูกของพวกเขาแล้ว พอมีความเปลี่ยนแปลงก็จะกระทำการทันที ทว่าที่นี่ ปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณนี้จะก่อให้เกิดผลลัพธ์อันร้ายแรงพอดี
“ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มนี้ เทียบกับปีนั้นแล้วอ่อนกว่าหน่อย” บนกระบี่ฝูเซิงมีเสียงของฝูเหยาจื่อดังขึ้น เขาขบคิด “เป็นไปได้ไหมว่าปราณมาณนี้จะสลายตัวไปช้า ๆ ตามกาลเวลา”
โม่เทียนเกอไม่ทราบว่าแสนปีก่อนเป็นสภาพการณ์อย่างไร ไม่ได้ตอบคำ
ผ่านโขดหินใต้หน้าผา เบื้องหน้าพวกเขาเป็นหุบเขาอันคับแคบ หุบเขานี้ลึกยิ่งแคบยิ่ง ราวกับเป็นรอยแยกที่ยักษ์ฟาดกระบี่ลงมาหลงเหลือเอาไว้ มองออกไปจากฝั่งนี้ ในหุบเขามืดสนิท จิตหยั่งรู้แทรกเข้าไปข้างใน ถึงกับยากจะเข้าไปสักชุ่น
โม่เทียนเกอกับฉินซีล้วนรู้สึกพิสดาร เดินไปดูใกล้ ๆ กลับค้นพบว่าในหุบเขาต้นหญ้าไม่งอกเงย มีเพลิงปฐพีเผาไหม้ ก้อนหินในหุบเขาไหม้จนดำ
“นี่คือ……ไฟแท้จื้อหยาง!” ฉินซีจับจ้องสถานการณ์เบื้องหน้า จู่ ๆ สูดลมหายใจ
“อะไรหรือ” โม่เทียนเกอไม่เข้าใจ
ฉินซีขมวดคิ้วเอ่ยว่า “สามไฟแท้ยิ่งใหญ่ที่เรียกกันของไฟนอก ไฟแท้ไท่หยาง, ไฟแท้สุดดินกับไฟแท้สมาบัติ ไฟแท้จื่อหยางเป็นชนิดที่ระดับสูงสุดในไฟแท้สุดดิน” เขามองไปทางโม่เทียนเกอ สีหน้าเคร่งขรึม “เท่าที่ข้าทราบ เขาเทียนหั่ว (เขาอัคคีสวรรค์) ของโรงเรียนตานติ่งก็มีเพียงไฟดินเปลวเดียวที่ไปถึงระดับนี้ ไฟแท้สุดดินอันบริสุทธิ์ประเภทนี้ ตอนที่หลอมอุปกรณ์ยังจะคมกล้าว่าไฟจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่เสียอีก”
“อย่างนี้……” พูดมาขนาดนี้ ผ่านไปจากในหุบเขานี้ไยมิใช่เทียบเท่ากับการเอาตนเองไปย่างบนไฟจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่? โม่เทียนเกอรู้ตัวว่ายังไม่มีความสามารถเช่นนี้
“ซือฟุ?” จิตสัมผัสของนางถามฝูเหยาจื่อ “จะต้องผ่านไปจากที่นี่หรือ หาทางอื่นไม่ได้หรือเจ้าคะ”
“หืม?” ฝูเหยาจื่อเอ่ย “เหนือหุบเขานี้ ปราณแห่งปีศาจแรกเริ่มยิ่งเข้มข้น เจ้าไม่ได้ค้นพบหรือ”
โม่เทียนเกอเงยหน้า เห็นเพียงสีดำอันหนาทึบด้านบน ในหุบเขานี้ปกคลุมไปด้วยไฟแท้จื่อหยาง ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดล้วนเป็นสีดำ จิตหยั่งรู้ของนางไม่ทัดเทียมอยู่บ้าง เมื่อครู่นี้จึงได้ละเลยไป
“เช่นนั้นพวกเราต้องผ่านไปอย่างไรเจ้าคะ หุบเขานี้ยาวขนาดนี้ อาวุธเวทคุ้มครองกายของศิษย์เกรงว่าจะทนไม่ไหว”
“ทนรับได้หรือไม่ ลองดูมิใช่รู้แล้วหรือ” ฝูเหยาจื่อพูดอย่างเบาสบาย
“……ซือฟุ!”
“ฮี่……” ฝูเหยาจื่อหัวเราะคำหนึ่ง เอ่ยว่า “หรือว่าเหวยซือรู้อยู่ว่าไม่สำเร็จแล้วยังจะเรียกให้เจ้าไป? วางใจเถอะ” พูดประโยคนี้จบก็ไม่ตอบวาจาอีก
โม่เทียนเกอจนใจ เอ่ยกับฉินซีว่า “ท่านมีเวทคุ้มครองกายไหม”
ฉินซีลังเลเล็กน้อย ปล่อยม่านพลังกระบี่คุ้มครองกายออกมา แล้วล้วงกระเป๋าเอกภพ หยิบเครื่องรางที่เปล่งแสงสีทองเรืองรองออกมาสองใบ ยื่นให้กับนาง “เครื่องรางนี้เป็นสิ่งที่ข้าได้มาตอนที่สำรวจภูเขามารในอดีต เป็นธาตุน้ำ จำกัดไฟแท้ในที่แห่งนี้ได้พอดี ลองดูได้”
โม่เทียนเกอถือเครื่องราง รู้สึกเพียงว่าพลังวิญญาณที่บรรจุอยู่ในเครื่องรางพลุ่งพล่านเดือดดาล จึงทราบว่าวัตถุนี้หายาก เกรงว่าอาวุธเวทชั้นยอดก็แลกไม่ได้สักใบ จึงถามว่า “ใช้นี่แล้วไม่น่าเสียดายหรือ”
ฉินซีเพียงเอ่ยว่า “เสียดายอะไร สิ่งของที่ล้ำค่าอีกสักเท่าไหร่ก็เป็นสิ่งที่เอาไว้ใช้รักษาชีวิต” พูดจบ แปะเครื่องราง บนร่างเปล่งแสงวิญญาณออกมา ปรากฏเป็นโล่ป้องกันรูปแบบม่านหมอกบางเบา
“หืม เด็กนี่ถึงกับมีของดีอย่างนี้!” ในกระบี่ฝูเซิง เสียงของฝูเหยาจื่อดังขึ้นมา
โม่เทียนเกอก็แปะเครื่องรางไว้บนร่างเลียนแบบเขา ถามเรื่อยเปื่อยว่า “ทำไมเจ้าคะ ซือฟุท่านรู้จักหรือ”
ฝูเหยาจื่อเงียบงันไปครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า “ถ้าเหวยซือจำไม่ผิด เครื่องรางนี้เป็นวัตถุโบราณกาล ซือเกอผู้นี้ของเจ้า ดูท่าก็ได้รับวาสนามาไม่น้อย” ไม่อย่างนั้น เครื่องรางเช่นนี้ ไหนเลยจะยินยอมใช้อย่างง่ายดาย? หากใช้ตอนที่ต่อสู้กับผู้ฝึกตนร่วมระดับจะสามารถครองโอกาสก่อน
ภูเขามารเดิมเป็นซากโบราณกาล ฉินซีไปสองครั้งแล้ว ล้วนล่าถอยได้อย่างปลอดภัย จะได้รับสมบัติอย่างนี้จากในนั้นก็ไม่แปลกประหลาด โม่เทียนเกอเพียงยิ้ม ๆ เก็บร่มปทุมา ปล่อยศาสตร์หนึ่งปราณต้นกำเนิด แล้วปล่อยผ้าเช็ดหน้าไหมขาวออกมา ก้าวเข้าหุบเขาพร้อมกับฉินซี
“ชี่” โล่ปราณคุ้มครองกายกับไฟแท้จื่อหยางในหุบเขาปะทะกัน ส่งเสียงออกมาเบา ๆ โล่ปปราณสั่นไหวครู่หนึ่ง ยังคงเสถียร หมอกบางสายหนึ่งลอยขึ้น ห้อมล้อมไฟแท้จื่อหยาง จากนั้นทำลายสิ้น
น้ำไฟขัดแย้ง เครื่องรางนี้ไม่ธรรมดาสามัญอย่างที่คิด แม้แต่ไฟแท้สุดดินอันบริสุทธิ์ที่สุดยังไม่อาจต้านทาน
“ไปเถอะ” ฉินซีกล่าว ยกแขน กระบี่กลายเป็นไร้สภาพ วนรอบทั้งสองคน
ทั้งสองคนกลายเป็นแสงหลบหนีเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขา
“หืม ทำไมเป็นอย่างนี้” หลบหนีออกมาระยะทางหนึ่ง โม่เทียนเกอตกตะลึง ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนแปลงเทพปประทานให้ ความแข็งแกร่งของนางยิ่งแกร่ง การป้องกันก็ยิ่งแกร่ง ด้วยระดับการฝึกตนก่อเกิดตานในปัจจุบันนี้ของนาง เผชิญหน้ากับไฟแท้จื่อหยางที่มีระดับเทียบเท่ากับไฟจิตวิญญาณ ถึงกับไม่เสียหายสักนิด นี่มันประหลาดเกินไปแล้ว
นางสมองหมุนติ้ว ถามว่า “ซือฟุ เป็นท่านหรือ”
บนกระบี่ฝูเซิง เสียงหึของฝูเหยาจื่อดังขึ้น “หากไม่มั่นใจ เหวยซือจะให้เจ้าเดินบนทางเส้นนี้ได้หรือไร”
โม่เทียนเกอยิ้มอย่างขัดเขิน ถามว่า “ซือฟุ สรุปว่าท่านทำอะไร”
ฝูเหยาจื่อตอบว่า “สิ่งของที่เหวยซือให้เจ้าซื้อหาก่อนหน้านี้ย่อมเป็นของมีประโยชน์ แต่ว่า สามารถมีประสิทธิภาพอย่างนี้ก็เพราะเครื่องรางที่ซือเกอคนนี้ของเจ้าหยิบออกมาไม่ธรรมดาสามัญ ถ้าไม่อย่างนั้น เจ้าอยากผ่านหุบเขานี้ต้องเสียกำลังไม่น้อย”
โม่เทียนเกอขบคิดครู่หนึ่งถึงได้เข้าใจ ตามข้อเรียกร้องของฝูเหยาจื่อ ก่อนหน้านี้นางเคยซื้อหาวัสดุจำนวนไม่น้อย หรือชำระอาวุธเวท หรือหลอมสร้างสิ่งของ ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวก็ใช้น้ำวิญญาณชนิดหนึ่งชำระ ที่แท้ก็เพื่อด่านนี้
ทั้งสองคนบินเรียดพื้น ไม่ทันไรก็มาถึงก้นของหุบเขา ขณะนี้เงยหน้ามองฟ้า เห็นเพียงเส้นสีขาวหม่นเส้นหนึ่ง รอบด้านสลัวเลือนราง มีเพียงแสงสีแดงของไฟแท้สุดดินที่ลุกไหม้
เสียง “ครืน” แผ่วเบา โม่เทียนเกอก้มหน้ามอง โล่ปราณม่านหมอกบนร่างนางสั่นไหวเล็กน้อย เหมือนกับจะมีท่าทางทนไม่ไหวอยู่บ้าง
ฉินซีขมวดคิ้ว โอบเอวของนาง โล่ปราณม่านหมอกของทั้งสองคนหลอมรวมเป็นหนึ่ง พลังวิญญาณของเขาแผ่ออกอย่างมั่นคง “ทนอีกหน่อย”
“อืม” โม่เทียนเกอสงบนิ่งมาก จี้พลังวิญญาณ ผ้าเช็ดหน้าไหมขาวกลายเป็นหมอก ปกป้องทั้งสองคนอย่างแน่นหนา นอกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวยังมีม่านพลังกระบี่อัคนีสามพลังหยางของฉินซี สกัดกั้นไฟแท้จื่อหยางเอาไว้ภายนอก
พร้อมกับที่เวลาเคลื่อนคล้อยไป โล่ปราณรอบตัวทั้งสองคนค่อย ๆ ไม่เสถียร หมอกวารีสัมผัสกับไฟแท้ ส่งเสียง “ครืน” ออกมา เดิมทีเป็นเพียงครั้งคราว แต่ค่อย ๆ ยิ่งมายิ่งถี่
ฉินซีมองไปข้างหน้า โบกแขนเสื้อ ม่านพลังกระบี่รอบกายจู่ ๆ เปล่งปราณกระบี่อันรุ่นแรง ฟาดฟันไฟแท้จื่อหยางที่อยู่รอบด้าน
“ฉัวะ! ฉัวะ!” เสียงดังไม่หยุดหย่อน ไฟแท้ที่ถูกปราณกระบี่ของเขาสัมผัสถูกสยบลงไปโดยถ้วนทั่ว
โม่เทียนเกอยกมือ บุปผาเซียนหญ้าวิญญาณจำนวนมากลอยออกมาจากพัดแห่งสวรรค์และโลกา พริบตาที่สัมผัสถูกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวก็กลายเป็นเส้นพลังวิญญาณขึ้นไปเพิ่มเติม ปราณหมอกที่เกิดจากผ้าเช็ดหน้าไหมขาวส่องแสงสีขาวเส้นหนึ่ง รุกหนักขึ้นมากในทันใด
ทั้งสองคนต่างคนต่างร่ายวิชาพลางบินไปข้างหน้า
“พวกเขายังไม่มาหรือ” อาจารย์เต๋าหยวนมู่สีหน้าสงบ ถามคนข้างกาย
ผู้ที่ตอบคือหลิงซื่ออวี่ “ไม่มีความเคลื่อนไหว” อันที่จริงด้วยจิตหยั่งรู้ของอาจารย์เต๋าหยวนมู่ก็ทราบคำตอบอยู่แล้ว ที่ถามอย่างนี้เพียงกำลังแสดงถึงความไม่พอใจของตนเอง
อาจารย์เต๋าหยวนมู่ไม่พูด เงยหน้ามองวังเซียนที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม เงียบงันไม่พูดจา
หลิงอวิ๋นเฮ่อลังเลแล้วเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว “หยวนมู่ซือป๋อ สหายเต๋าโม่ท่านนั้นมีจิตหยั่งรู้ของผู้อาวุโสฝูเหยาจื่ออยู่กับตัว เรื่องนี้จะปิดบังพวกเขาได้จริง ๆ หรือ”
สายตาของอาจารย์เต๋าหยวนมู่ตกอยู่ที่วังเซียนตั้งแต่ต้นจนจบ วังเซียนอันสูงตระหง่าน ก่อสร้างจากหินหยกขนาดยักษ์จำนวนมาก ระเบียงจั่วหลังคา แกะสลักเสลา โอ่อ่างดงาม หินหยกเหล่านี้ส่องพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์บางเบา ถึงกับเป็นศิลาวิญญาณขั้นสูงที่พบเห็นได้ยากในโลกภายนอก! อีกประการ สีขาวหิมะ ถึงกับเป็นธาตุน้ำแข็งอันหาได้ยาก
“จิตหยั่งรู้ของฝูเหยาจื่อแล้วอย่างไร” อาจารย์เต๋าหยวนมู่เอ่ยเสียงเนิ่บช้า “นี่เป็นชะตาเซียนที่บรรพจารย์กุยเจินเต้าเสิ้งตั้งใจเหลือให้สำนักเรา ปีนั้นพวกเขาแยกย้ายกันเคลื่อนไหว คาดว่าฝูเหยาจื่อก็ไม่รู้”
“แต่ว่า……” หลิงอวิ๋นเฮ่อยังคงกล่าว “ศิษย์คิดว่า ในเมื่อผู้อาวุโสฝูเหยาจื่อได้รับการเรียกขานเป็นคนอันดับหนึ่งของอวิ๋นจง คิดว่าจะต้องมีส่วนที่เป็นเอกลักษณ์……”
“อวิ๋นเฮ่อ” อาจารย์เต๋าหยวนมู่เหลือบมองเขา กล่าวว่า “ความรอบคอบของเจ้าเป็นข้อได้เปรียบของเจ้า แต่ว่ารอบคอบเกินไปจะกลายเป็นจุดด้อย ฝูเหยาจื่อจะร้ายกาจอีกเท่าใด นี่ก็มิใช่ร่างจริงของเขา แสนปีมานี้ไร้ผู้คนที่สามารถวิจารณ์เทียบเคียงกับฝูเหยาจื่อได้จริงหรือ ข้าเห็นว่าไม่ใช่ เพียงแต่พวกเขาไม่มีโอกาสจะได้ประชันเท่านั้น”
“อีกอย่าง” อาจารย์เต๋าหยวนมู่ยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก เผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความทะนงตน ทอดมองวังเซียนอันสูงตระหง่าน “พวกเราเหยียบย่างบนเส้นทางเซียนจะต้องเสี่ยงอันตรายไม่อยุด มีเพียงคนที่มีกำลังขวัญกล้าหาญจึงสามารถเดินไปถึงท้ายสุด ชะตาเซียนที่บรรพจารย์เหลือเอาไว้คุ้มค่าที่พวกเราจะเสี่ยงอันตรายเช่นนี้อย่างแน่นอนที่สุด!”
หลิงอวิ๋นเฮ่อเงียบงันไร้วาจา
“อวิ๋นเฮ่อ เจ้าไม่ต้องคิดมาก” หลิงซื่ออวี่มองดูชนรุ่นหลังของตนเองสีหน้าเรียบเฉย “หยวนมู่ซือป๋อของเจ้าเตรียมการทุกอย่างไว้แล้ว ถึงพวกเราเหล่านี้จะตายอยู่ที่นี่กันหมด สำนักจิ่วเยี่ยนก็จะไม่ตกต่ำ พวกเราทิ้งผู้ฝึกตนระดับสูงไว้ในสำนัก เพียงพอให้สำนักจิ่วเยี่ยนยืนหยัดในอวิ๋นจง อย่าว่าแต่ ยังมีวัตถุดิบฟ้าสมบัติดินที่ซือซูซือป๋อหลายคนนั้นเอากลับไป และถ้าหากพวกเราทำสำเร็จ ในภายภาคหน้าสำนักจิ่วเยี่ยนจะไม่เป็นเพียงสำนักอันดับหนึ่งของอวิ๋นจง แต่ยิ่งจะเป็นสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้า!”
หลิงอวิ๋นเฮ่อขยับมุมปาก ในที่สุดกล่าวว่า “ขอรับ ศิษย์เข้าใจ”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง “สามวันแล้ว พวกเขาล้วนยังไม่มา ดูท่าจะไปแย่งชิงสมบัติวิญญาณพวกนั้น”
“นี่เป็นเรื่องดี” ผู้ฝึกตนคนหนึ่งข้างกายอาจารย์เต๋าหยวนมู่พูด เขาร่างสูงใหญ่ เส้นผมขาวดอกเลา บนหน้าใส่หน้ากากเหล็กสีดำ เป็นผู้ฝึกตนจิตวิญญาณใหม่ขั้นปลายเช่นกัน แต่ตลอดมานี้เพียงยืนอยู่ในกลุ่มเงียบ ๆ เขาเปิดปากขึ้นมาในขณะนี้ น้ำเสียงทุ้มลึก “นี่แปลว่าพวกเขายังคงเห็นวัตถุดิบฟ้าสมบัติดินนอกวังเซียนสำคัญ ทว่าไม่ทราบว่าในวังเซียนสรุปแล้วมีชะตาเซียนเช่นไร”
อาจารย์เต๋าหยวนมู่ยิ้มบาง ๆ ผงกศีรษะ “อาจารย์เต๋าเถี่ยเมี่ยนพูดไม่ผิด พวกเขามายิ่งช้า ยิ่งแปลว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องราว เอาล่ะ ฉวยเวลานี้ พวกเขามาเตรียมการกันอีก ถึงพวกเราจะไม่สามารถประสบความสำเร็จก็ไม่สามารถให้คนอื่นออกไปได้เป็นอันขาด!”
พูดถึงประโยคสุดท้าย เขาเก็บรอยยิ้ม สายตาเผยเจตนาฆ่าฟันอันล้ำลึกออกมา!
……………….
เถี่ยเมี่ยนแปลว่าหน้าเหล็ก
จะผจญภัยแบบดี ๆ ไม่มีคนหักหลังกันเองสักครั้งไม่ได้เลยใช่ไหม
ตอนที่ 459 – ต่างคนต่างจิตใจ