สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 392 น้ำตาลหวานของเขา
ตอนที่ 392 น้ำตาลหวานของเขา
……….
พอคาดเดาเช่นนี้ อ๋องเป่ารื่อก็ใส่ใจทุกการกระทำของเฮ่อชิงเซียว หลังงานเลี้ยงเริ่ม ก็เข้าไปขอดื่มสุรากับเฮ่อชิงเซียว
เฮ่อชิงเซียวย่อมมิปฏิเสธผู้ให้เกียรติ ดื่มไปหลายจอกติดกัน
สุราคือสุราชั้นยอด ไหลลื่นลงท้องราวกับเพลิงแผดเผา
เขาเห็นอ๋องเป่ารื่อดื่มได้อย่างสบายอารมณ์ ก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดอ๋องเป่ารื่อจึงได้กระตือรือร้นดื่มกับเขาเช่นนี้
เป็นเพราะ…อาโย่วหรือ
ในใจเฮ่อชิงเซียวคิดถึงที่ผ่านมาอย่างรวดเร็ว ไม่คิดว่าใจที่เขามีต่ออาโย่วจะถูกคนนอกค้นพบเข้าแล้ว
ท้ายงานเลี้ยง อ๋องเป่ารื่อพลันลุกขึ้นยืนตะโกนเรียกฝ่าบาท
พอตะโกนออกไปเช่นนี้ ในตำหนักพลันเงียบกริบ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดสายพระเนตรอ่อนโยนไปยังอ๋องเป่ารื่อ “ราชทูตมีเรื่องอันใดหรือ”
อ๋องเป่ารื่อถวายคำนับนอบน้อม “พรุ่งนี้กระหม่อมก็จะไปจากต้าซย่าแล้ว ระยะเวลาที่อยู่ที่ต้าซย่า ทุกวันมีความสุขมาก คิดว่าจะต้องจากไปก็ตัดใจไม่ได้ ก่อนจากไป กระหม่อมขอบังอาจทูลถามฝ่าบาท เรื่องที่ทูลฝ่าบาทวันนั้น ทรงพิจารณาเรียบร้อยแล้วหรือยังพ่ะย่ะค่ะ”
วันนั้นอ๋องเป่ารื่อกราบทูลเรื่องใดกับฮ่องเต้
บรรดาขุนนางได้ยินก็พากันตื่นเต้น เรื่องนี้พวกเขารู้ อ๋องเป่ารื่อไม่ใช่กล้าหาญขอเป็นราชบุตรเขยแต่งเข้าตระกูลของฮ่องเต้หรือ!
ฮ่องเต้จะทรงรับปากหรือไม่
บรรดาขุนนางล้วนมองไปยังฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ มีเพียงเฮ่อชิงเซียวแสดงท่าทีสบายๆ ดังมิใช่เรื่องของตนเอง
ขณะอ๋องเป่ารื่อกำลังถามฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ก็เหลือบตาไปสังเกตเฮ่อชิงเซียว เห็นสีหน้าเขานิ่งสงบ เริ่มสงสัยในการคาดเดาของตนเอง อาจเพราะเขาระแวงเกินไป ก็แค่มีคนหน้าตาดีเป็นพิเศษปรากฏตัวขึ้น ก็แค่คิดว่าเป็นศัตรูหัวใจของเขา
ก็ใช่ คุณหนูซินไม่ใช่สตรีที่มองคนเพียงรูปลักษณ์ภายนอก
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กุมจอกสุรา สีพระพักตร์เผยรอยแย้มสรวลเล็กน้อย “เรื่องที่ราชทูตเสนอมิใช่เรื่องเล็ก เรายังต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ ราชทูตกลับจะได้หารือกับพี่ชายท่าน รอให้ท่านมาครั้งหน้า ต้าซย่าเราค่อยให้คำตอบท่าน”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสเช่นนี้ก็มิใช่ปฏิเสธหมดสิ้น แต่คิดแน่ใจว่าอ๋องเป่ารื่อเต็มใจเป็นราชบุตรเขยแต่งเข้าจริง
จำต้องสงบเสงี่ยมอยู่ที่ต้าซย่า มิใช่ขอแต่งก่อนแล้วก็พาอาโย่วหนีกลับไป
หลายวันนี้พยายามจับผิด หลังจากมองหาข้อบกพร่องแล้ว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ค่อนข้างพอพระทัยอ๋องเป่ารื่อ
หน้าตาดี นิสัยดี ที่บ้านร่ำรวย จริงใจต่ออาโย่ว อาโย่วได้วัยออกเรือนแล้ว อย่างไรก็ต้องคัดเลือกราชบุตรเขย
จะว่าไปก็มีข้อบกพร่องอยู่ เทียบกับชาวต้าซย่าที่เก็บงำกิริยาท่าทางแล้ว ก็เปิดเผยเกินไป คล้ายว่าไร้ธรรมเนียมอยู่สักหน่อย แต่ทว่าอาโย่วก็มิใช่หญิงสาวที่ดำรงธรรมเนียมเคร่งครัด อยู่ร่วมกับคนเช่นอ๋องเป่ารื่อน่าจะรู้สึกผ่อนคลายและอิสระมากกว่า ข้อบกพร่องนี้ก็ไม่อาจเรียกว่าข้อบกพร่องแล้ว
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรอย่างเข้าพระทัยมาก แม้แต่ไทเฮาอาโย่วก็กล้าไม่ไว้หน้า หากลดตัวแต่งไปยังตระกูลที่ดำรงธรรมเนียมเข้มข้น พบเจอกับแม่สามีที่มากเรื่อง ไม่แน่ว่าอาจเตะแม่สามีกระเด็นไปก็เป็นได้
ถึงตอนนั้นเขาเป็นบิดาย่อมวางท่าทีไม่ถูก
“อีกไม่นานกระหม่อมจะกลับแล้ว กระหม่อมขอคารวะฝ่าบาท” อ๋องเป่ารื่อฟังออกว่าท่าทีฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยอมอ่อนลงแล้ว ก็คารวะสุราอย่างดีใจ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยกจอกสุรา จิบไปคำหนึ่ง
เฮ่อชิงเซียวทำงานรับใช้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มานาน ย่อมเข้าใจฮ่องเต้ ฮ่องเต้นับว่ายอมรับอ๋องเป่ารื่อแล้ว จากนี้ก็ต้องดูความจริงใจที่จะอยู่ต้าซย่าของอ๋องเป่ารื่อแล้ว
เขาหลุบตาลง ดื่มสุราเขาไปอึกหนึ่ง
งานเลี้ยงเลิก เจ้าบ้านและแขกเหรื่อดื่มกันเต็มที่ ค่ำคืนยังอีกยาวไกล
เฮ่อชิงเซียวเดินออกจากวังเงียบๆ
“ฉางเล่อโหว” เสียงกังวานดังขึ้นด้านหลัง
เฮ่อชิงเซียวชะงักฝีเท้า มองดูอ๋องเป่ารื่อเดินเข้ามาหาเขา
อ๋องเป่ารื่อดื่มสุราไปไม่น้อยชัด ๆ เหตุใดดูแล้วดวงตายังคงกระจ่างใส ไม่ได้มีสีหน้าเหมือนคนดื่มไปมากแม้แต่น้อย
“ราชทูตมีธุระ?”
อ๋องเป่ารื่อยิ้ม “ไม่มีธุระอันใด งานเลี้ยงวันนี้มีขุนนางแผ่นดินท่านมากมาย แต่มีเพียงท่านโหวอายุไล่เลี่ยกับข้า ข้าเห็นท่านโหวแล้วรู้สึกสนิทสนม”
“เป็นเกียรติของข้า” เฮ่อชิงเซียวตอบกลับสุภาพ
“ท่านโหวมักต้องเดินทางไปปฏิบัติงานนอกเมืองหรือ”
เฮ่อชิงเซียวพยักหน้า
“น่าเสียดายท่านโหวเพิ่งกลับมา ข้าก็จะไปแล้ว รอข้ากลับมา จะขอดื่มกับท่านโหวสักจอก”
“ตกลง”
อ๋องเป่ารื่อไม่รู้สึกถึงเจตนาเป็นศัตรูจากน้ำเสียงนิ่งเรียบของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย จึงได้วางใจลงได้อย่างแท้จริง
ไม่มีทางที่ชายใดจะมีท่าทีสงบนิ่งต่อหน้าศัตรูหัวใจได้เช่นนี้ หากเป็นที่ซีหลิง เผชิญหน้ากับศัตรูหัวใจ คงต้องทุ่มเทด้วยชีวิตสู้กันสักตั้งค่อยเจรจา
อ๋องเป่ารื่อขึ้นม้ากลับที่พัก
เฮ่อชิงเซียวเดินกลับ เขาเดินมาบนเส้นทางถนนร้านหนังสือชิงซงอย่างไม่รู้ตัว
ท้องฟ้ามีดวงดาวส่องประกายระยิบระยับ ดวงจันทร์กระจ่างและแสงสว่างจากร้านค้าสองข้างทาง บนถนนยังคงมีคนเดินไปมา
เฮ่อชิงเซียวยืนนิ่งมองโคมไฟหน้าร้านหนังสือชิงซงจากมุมไกลๆ
มีคนออกมาจากร้านหนังสือ คือคนที่เขาคะนึงหาอยู่ตลอดเวลา
พวกผู้จัดการร้านหูออกมาส่ง ไม่นานเงาร่างอรชรที่คุ้นเคยก็ตรงมาทางเขา ประตูใหญ่ร้านหนังสือปิดลง ได้เวลาปิดร้านแล้ว
หากมิใช่ว่าดื่มไปมาก เฮ่อชิงเซียวก็คงไม่ทำเช่นนี้ แต่ทว่าตอนนี้เขากำลังทำตามความต้องการในใจของตนเอง ไล่ตามนางไป
ซินโย่วเดินกลับจวนตระกูลซิน ข้างกายมีเสี่ยวเหลียนติดตาม เชียนเฟิงกับผิงอันเดินตามหลังมาเงียบๆ คล้ายว่าไม่มีตัวตน
“คุณหนู ไม่นั่งรถหรือ” เสี่ยวเหลียนลอบสังเกตสีหน้าซินโย่ว
คุณหนูมาร้านหนังสือชิงซงเพื่อมารอใต้เท้าเฮ่อกระมัง
น่าเสียดายใต้เท้าเฮ่อไม่ได้มา ไม่รู้หรือว่าคุณหนูผัดแป้งวันนี้งดงามเพียงใด
เชียนเฟิงกับผิงอันพลันเขยิบเข้าใกล้ซินโย่ว หันหลังให้นางมองไปรอบกายอย่างระมัดระวัง
ชายร่างสูงใหญ่เดินออกมาจากม่านรัตติกาล ฝีเท้าเบายิ่ง แต่ไม่ได้คิดซ่อนเร้นตนเอง
พอเห็นว่าเป็นเฮ่อชิงเซียว เชียนเฟิงกับผิงอันก็คลายความระวังตัวลง มองไปทางซินโย่ว
แววตาซินโย่วส่องประกายวาวแวบหนึ่ง ก่อนจะเม้มมุมปาก “ใต้เท้าเฮ่อ”
นางเดินเข้ามา ยิ้มถามว่า “งานเลี้ยงจบลงแล้วหรือ”
“จบลงแล้ว” เฮ่อชิงเซียวจ้องมองนาง
“ทางใต้เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ต้องไปอีกแล้วใช่หรือไม่” ทั้งสองเดินเคียงกัน ซินโย่วได้กลิ่นสุราอ่อนๆ จากร่างของอีกฝ่าย
กลิ่นอายสุราผสมกับกลิ่นอายเยียบเย็นจากกายของเขา ผสานเป็นกลิ่นอายพิเศษอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในค่ำคืนอากาศร้อนนี้ ทำให้จิตใจนางเต้นระส่ำ
นางยอมรับว่าการได้พบคนที่รอคอย ทำให้อารมณ์ดีเพียงใด
“น่าจะไม่ไปแล้ว ทางใต้นับว่าราบรื่นดี วันหน้าก็เข้าสู่สภาวะปกติแล้ว จะส่งคนไปดูแลงานต่อ” เฮ่อชิงเซียวตอบกลับคำถามซินโย่วด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง สุราฤทธิ์แรงในท้องดังเพลิงแผดเผา ทำให้รู้ดีว่าตนเองมิได้สงบนิ่งดังที่แสดงออก
แยกจากกันครึ่งค่อนปี คนที่คุมสติสัมปชัญญะได้นิ่งสงบเช่นเขา ก็ไม่อาจควบคุมตนเองไม่ให้วู่วามมาพบนางได้
“เช่นนั้นก็ดี ใต้เท้าเฮ่อจะได้พักผ่อนสักหน่อย” ซินโย่วเอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ แต่กลับคิดว่าคำพูดที่ออกมาแต่ละคำล้วนราวกับไฟแผดเผา
นางเหลือบตาขึ้นมอง
เฮ่อชิงเซียวก็มองมาพอดี
เขาดื่มไปมากอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าขาวมีสีแดงระเรื่อ แววตาลุ่มลึกยากคาดเดา ไม่เหมือนสายน้ำใสกระจ่างดังเช่นปกติ
“ใต้เท้าเฮ่อ ได้รับน้ำตาลทรายขาวแล้วหรือยัง”
“อืม”
“หวานหรือไม่”
เฮ่อชิงเซียวมองดูสาวน้อยยิ้มราวบุปผาแรกแย้มถามเขาว่าหวานหรือไม่ ความร้อนแรงจากสุรารสเฝื่อนขมที่ได้กลืนลงไปก่อนหน้า ทำให้ความพยายามเก็บกดความรักที่อัดแน่นนับวันคืนที่ผ่านมาไม่ได้ ในที่สุดก็กระแทกเขื่อนแห่งสติพังทลายหมดสิ้น
เขายื่นมือออกมากอดซินโย่วไว้เต็มแรง
คว้าน้ำตาลหวานล้ำที่ปรากฏขึ้นในชีวิตหมองหม่นอนธการของเขา