สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 391 ในงานเลี้ยงส่ง
ตอนที่ 391 ในงานเลี้ยงส่ง
……….
ในใจเฮ่อชิงเซียวกระตุกวาบ แต่สีหน้ายังคงมิแปรเปลี่ยน “อืม กลับมาแล้ว”
ซินโย่วเหลือบมองไปทางฮ่องเต้ซิงหยวนตี้
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงตบสมุดบัญชี “เรียกตัวขุนนางทุกท่านเข้าเฝ้า ต้องการหารือเรื่องหนึ่ง ทางใต้หลายพื้นที่ทดลองนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ ธัญญาหารฤดูร้อนเก็บเกี่ยวเรียบร้อยแล้ว ได้ภาษีมาแล้ว”
ตอนบรรดาขุนนางเห็นเฮ่อชิงเซียวก็พากันคาดเดาไว้แล้ว พอได้ยินฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสขึ้นก็มิได้รู้สึกแปลกใจ แน่นอนคำแสดงความยินดีจอมปลอมย่อมต้องมี
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มองปราดเดียวก็เห็นความเย็นชาของคนเหล่านี้
คิดแล้วก็เข้าใจได้ เงินภาษีที่เก็บมาได้มากมายเช่นนี้ ไม่ใช่ได้มาจากตระกูลคหบดีตระกูลใหญ่หรือ ในจำนวนนี้ย่อมมีวงศ์ตระกูลของพวกเขา
แต่ทว่าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มิคิดใส่พระทัยอารมณ์ความคิดขุนนางใหญ่ หัวเราะเรียกเสนาบดีกรมคลัง “เสนาบดีอวี๋ เจ้าดูแลถุงเงินต้าซย่าเรา เจ้าดูก่อน”
เสนาบดีกรมคลังเองก็อยากรู้ว่าเก็บเงินภาษีได้เท่าไร ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสแล้วก็เอื้อมไปหยิบสมุดบัญชีมาเปิดออก ก่อนตาจะค้างเอ่ยว่า “สี่ล้านตำลึง!”
ทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นขุนนางใหญ่จากตำแหน่งต่างๆ มิได้เข้าใจในรายการบัญชีต่างๆ เหมือนเสนาบดีกรมคลัง แต่ก็พอรู้เรื่องตัวเลขอยู่บ้าง
“นี่ นี่เป็นเพียงแค่เงินภาษีจากภาษีฤดูร้อนไม่กี่พื้นที่หรือ คำนวณผิดหรือไม่” เสนาบดีกรมพิธีการหลุดถามออกมา
คนอื่นก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ ไม่กล้าเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
“ไม่นานเงินภาษีก็จะเข้าสู่คลังหลวง” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสพระสุรเสียงนิ่งเรียบ
คำพูดนี้ต้องการกล่าวว่า จำนวนไม่มีทางผิด นอกจากพวกเฮ่อชิงเซียวไม่ต้องการศีรษะแล้ว
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ชื่นชมอาการตกใจของบรรดาขุนนางเสร็จ ก็แย้มสรวลตรัสถามว่า “ขุนนางทุกท่านคิดว่านโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่เป็นอย่างไร”
เสนาบดีกรมคลังทนไม่ไหวรีบทูลว่า “ฝ่าบาท รอให้พื้นที่ทดลองทางเหนือสองสามแห่งเก็บภาษีได้ หากจำนวนเพิ่มทวีคูณเช่นกัน ก็แสดงให้เห็นว่านโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่เป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินและราษฎร ยังเป็นนโยบายบุกเบิกที่ดี น่าจะผลักดันทั่วแผ่นดิน!”
เพียงแค่ไม่กี่พื้นที่ทางใต้ เงินภาษีก็เพิ่มหลายเท่าตัว นี่เป็นเพียงภาษีฤดูร้อน หากตามธรรมเนียมเดิม จำนวนภาษีฤดูใบไม้ร่วงมากกว่าภาษีฤดูร้อนมาก แม้พื้นที่ไม่อุดมสมบูรณ์เท่าพื้นที่ทางใต้เหล่านี้ อาจเพิ่มได้ไม่เท่าไร แต่สุดท้ายภาษีย่อมต้องเป็นจำนวนมากจนน่าตื่นตะลึงอย่างแน่นอน
ถึงตอนนั้น เขาเป็นเสนาบดีกรมคลังก็จะไม่ต้องผมร่วงเพราะกลัดกลุ้มที่ไม่มีเงินใช้ แต่กลัดกลุ้มว่าจะใช้อย่างไร
ช่างเป็นความกลัดกลุ้มที่เปี่ยมโชควาสนา!
เสนาบดีกรมคลังคิดถึงวันหน้าอย่างครึ้มใจ ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะคิกคักเบาๆ ขึ้นมา
ขุนนางใหญ่คนอื่นๆ “…” เหล่าอวี๋เสียสติไปแล้ว
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่เพียงแต่ไม่ตำหนิเสนาบดีกรมคลังเสียมารยาท แต่กลับรู้สึกชื่นชม
หากคนพวกนี้มีความคิดเห็นแก่ตัวน้อยลงสักหน่อยเหมือนเสนาบดีอวี๋ ไยต้องกลัดกลุ้มการผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็รอให้ภาษีทางเหนือเก็บมาได้ก่อน ค่อยมาหารือรายละเอียดกัน แต่ทางใต้เพิ่มอีกสองสามเมืองได้แล้ว เริ่มจากการวัดขนาดพื้นที่ก่อน…” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้จัดลำดับงานเกี่ยวกับนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่อย่างเป็นขั้นตอน
ซินโย่วนิ่งฟังเงียบๆ ลอบมองไปทางเฮ่อชิงเซียว
เห็นชัดว่าเขาเร่งเดินทางมาหลายวันไม่ได้พักผ่อนให้ดี สีหน้าเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า เสื้อผ้ายังมีคราบเปื้อนฝุ่นหลายจุด แต่แววตากลับกระจ่างใสดังดวงดาวพร่างพราย ทำให้คนมองข้ามเรื่องอื่นไปหมดสิ้น
เฮ่อชิงเซียวรับรู้ได้ถึงสายตาของซินโย่ว
เรื่องของนาง เขามักจะรู้สึกไวเป็นพิเศษ
แต่ทว่าไม่อาจส่งสายตาไปสบกับนางได้ ได้แต่หลุบสายตาลง บังคับอาการหัวใจเต้นแรงและความในใจที่ล้นทะลัก
ซินโย่วถอนสายตากลับเงียบๆ ได้ยินฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสว่า “พรุ่งนี้อ๋องเป่ารื่อก็จะนำน้ำตาลทรายขาวรอบนี้กลับซีหลิง งานเลี้ยงส่งวันนี้ ฉางเล่อโหวก็เข้าร่วมด้วย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรไปทางซินโย่ว “เจรจาแลกเปลี่ยนราบรื่นได้ครั้งนี้ จดบันทึกความดีความชอบซินไต้จ้าวไว้ หลายวันนี้เหน็ดเหนื่อยเจ้าแล้ว พักผ่อนให้ดีๆ”
แม้เขาไม่คัดค้านเขยส่งมาถึงประตูบ้านเช่นอ๋องเป่ารื่อผู้นี้ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่อาจให้อาโย่วออกหน้าได้ ผู้คนจะได้ไม่เข้าใจว่าฮ่องเต้เช่นเขารีบร้อนแต่งองค์หญิง
จากนั้นบรรดาขุนนางก็ทูลลารวมทั้งซินโย่ว เหลือเพียงเฮ่อชิงเซียวอยู่สนทนากับฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เพียงลำพังต่อ
ซินโย่วไม่ได้กลับสำนักฮั่นหลินย่วน แต่กลับจวนซินไปเปลี่ยนชุดกระโปรง แล้วค่อยไปร้านหนังสือชิงซง
“วันนี้ท่านเจ้าของร้านสีหน้าสดใสจริงขอรับ” พอหลิวโจวเห็นซินโย่วก็เอ่ยชม
ซินโย่วสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ตอบรับคำหนึ่ง “อืม” ก่อนเดินไปทางชั้นหนังสือ
เสี่ยวเหลียนที่ติดตามซินโย่วมาแอบลอบยิ้ม
เจ้าคนโง่หลิวโจวมองไม่ออกว่าวันนี้คุณหนูผัดแป้งชาดหรือ
“พี่เสี่ยวเหลียน วันนี้อารมณ์ดีไม่เลว”
“แน่นอน โรงผลิตน้ำตาลเสร็จงานแล้ว คุณหนูก็จะได้พักผ่อนให้สบายแล้ว”
ที่สำคัญที่สุดก็คือในที่สุดใต้เท้าเฮ่อก็กลับมาแล้ว
นางเห็นคุณหนูลูบวานรหยกที่ใต้เท้าเฮ่อมอบให้ยามไม่รู้ตัว ก็ร้อนใจแทนคุณหนูกับใต้เท้าเฮ่อ
เห็นชัดว่าเป็นคู่เหมาะสมดังฟ้าประทาน เหตุใดจำต้องเก็บเอาไว้ในใจ คุณหนูเป็นเช่นนี้ ใต้เท้าเฮ่อเองก็เช่นกัน
“พี่เสี่ยวเหลียน มีเรื่องถามพี่หน่อย”
“เจ้าถามมาเถิด”
หลิวโจวดึงเสี่ยวเหลียนไปอีกทาง กระซิบว่า “คุณหนูแท้จริงคิดอย่างไรกับอ๋องเป่ารื่อ”
“ไปห่างๆ เลยไป คุณหนูจะไปชอบอ๋องเป่ารื่อได้อย่างไร”
“เช่นนั้นก็ดี”
เสี่ยวเหลียนขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นผู้ชายแท้ๆ มาสนใจเรื่องพวกนี้ทำไม”
“ถามดู ก็แค่ถามไปอย่างนั้น”
ยังดีที่เขาไม่ได้เดิมพันผิดข้าง
พระอาทิตย์คล้อยไปทางตะวันตก กลับจวนไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดขุนนางสีแดงแล้ว เฮ่อชิงเซียวก็มาร่วมงานเลี้ยงตามเวลา
อ๋องเป่ารื่อมาถึงก็กวาดตามอง พลันรู้สึกผิดหวัง
“ใต้เท้าอวี๋ เหตุใดไม่เห็นคุณหนูซิน”
อยู่เมืองหลวงมาหลายวันนี้ ในบรรดาขุนนางต้าซย่า นอกจากขุนนางกรมพิธีการและสำนักหงหลูแล้ว ผู้ที่อ๋องเป่ารื่อคุ้นเคยที่สุดก็คือเสนาบดีอวี๋
เขาเป็นคนเสียงดังไม่น้อย ท่าทางเปิดเผยองอาจ ทำให้สายตาหลายคู่จับจ้องมองมา
เฮ่อชิงเซียวนับว่าได้รู้จักอ๋องเป่ารื่อแล้ว
ในจดหมายบรรยายภาพว่าเป็นอ๋องต่างแดนที่ค่อนข้างบุ่มบ่าม แต่กลับรูปงามโดดเด่นเหนือสามัญ เพราะยังหนุ่มและรูปงาม และยังมีความเด็ดเดี่ยวมั่นใจ ทำให้กิริยาท่าทางนอกระเบียบไปบ้าง แต่ก็เป็นกลิ่นอายที่ดึงดูดสายตาผู้คนให้หลงใหล
เป็นความมีชีวิตชีวาในแบบที่ชายต้าซย่าส่วนใหญ่ไม่มี
อารมณ์เฝื่อนขมผุดขึ้นมาในใจ เวียนวนไม่จางหายอัดแน่นในหัวใจ ได้แต่กระแทกเปะปะไปมาในมุมหนึ่งที่ถูกปิดกั้นเอาไว้
เฮ่อชิงเซียวพลันรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่า หลังอาโย่วผ่านประสบการณ์ความเจ็บปวดเรื่องการจากไปของมารดา ความจริงอาจเหมาะกับคนเช่นนี้
งานเลี้ยงยังไม่เริ่ม เขาก็ยกจอกสุราขึ้นดื่มจนหมด
เสนาบดีกรมคลังถูกอ๋องเป่ารื่อลากไว้ ได้แต่ตอบว่า “ระยะนี้คุณหนูซินยุ่งกับโรงผลิตน้ำตาล เหนื่อยมาก”
“เช่นนี้หรือ” อ๋องเป่ารื่อถอนหายใจ แต่ยังไม่ยอม “พรุ่งนี้ข้าจะกลับซีหลิงแล้ว คุณหนูซินจะมาส่งข้าเหมือนใต้เท้าอวี๋หรือไม่”
มุมปากเสนาบดีกรมคลังกระตุกทีหนึ่ง
อันใดเรียกว่าเหมือนเขา ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสว่าให้เขาไปส่งนะ
“ข้าไม่รู้กระจ่างนัก”
อ๋องเป่ารื่อเสียใจยกจอกสุราขึ้น สายตากวาดมองไปพลันชะงักงัน พบใบหน้าไม่คุ้นเคย
เดิมเขาคิดว่าขุนนางต้าซย่าหน้าตาเหมือนๆ กัน ที่รูปงามที่สุดก็คือฮ่องเต้ต้าซย่า ตอนนี้พลันพบชายหนุ่มที่รูปงามโดดเด่นยิ่งกว่าผู้หนึ่ง
“ใต้เท้าอวี๋ ขุนนางหนุ่มสวมชุดสีแดงท่านนั้นคือผู้ใด”
เสนาบดีกรมคลังมองดูขุนนางในชุดสีแดงสดทีหนึ่งเงียบๆ ในใจคิดว่าในสายตาอ๋องเป่ารื่อมองเพียงคนหน้าตาดีหรือไม่ เห็นชัดว่าบรรดาขุนนางใหญ่ในที่นี้ล้วนอยู่ในชุดแดงเหมือนกันหมด…
“ท่านนั้นคือฉางเล่อโหว เป่ยเจิ้นฝูสื่อกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน เพิ่งกลับจากปฏิบัติงานนอกเมืองหลวง”
“ท่านโหวหนุ่มเพียงนี้หรือ”
อ๋องเป่ารื่อมองเฮ่อชิงเซียว พลันเกิดความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา คนที่คุณหนูซินชอบคงมิใช่คนเช่นฉางเล่อโหวกระมัง
……….