สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 390 กลับมาเดือนเจ็ด
ตอนที่ 390 กลับมาเดือนเจ็ด
……….
ในโกดังมีเพียงถังใหญ่ใบหนึ่งเปิดฝาเอาไว้ ในนั้นขาวโพลนไปหมด ดังได้เห็นหิมะในเดือนเจ็ดที่อากาศร้อนอบอ้าว
น้ำเสียงสาวน้อยอ่อนโยนสงบนิ่งดังเข้าโสตประสาทของทุกคน “น้ำตาลห้ามโดนแสงและความชื้น เรื่องนี้มิใช่เพียงแค่น้ำตาลทรายขาว แต่น้ำตาลทุกชนิดล้วนเป็นเช่นเดียวกัน…”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรถังน้ำตาลทรายขาวเรียงรายก็รู้สึกอารมณ์ปลอดโปร่งยิ่ง รับสั่งให้คนนำน้ำตาลมาให้บรรดาขุนนางได้ชิม
น้ำตาลทรายขาวใส่ในถ้วยตะไลกระเบื้องเคลือบสีขาวแลดูสะอาดตา บรรดาขุนนางพากันแย่งกันชิมรวดเร็ว
ได้ยินว่าสหายขุนนางไม่น้อยยินดีจ่ายเงินซื้อน้ำตาลทรายขาว แค็กๆ รวมทั้งมารดาแก่ชรากับภรรยาที่เร่งให้เขานำน้ำตาลทรายขาวกลับบ้านไปสักหน่อย ตอนนี้กินให้มากอีกหน่อยล้วนกำไร
“รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถาม แววพระเนตรรอคำตอบ
“ทูลฝ่าบาท เหมือนกับวันนั้นไม่มีผิดเพี้ยนพ่ะย่ะค่ะ” เสนาบดีกรมคลังทูลเสียงดัง
คนอื่นๆ พากันเหล่มองเขา
เสียงดังเช่นนี้ทำไมกัน
โดยเฉพาะเสนาบดีกรมพิธีการ มองดูเสนาบดีกรมคลังแล้วขัดหูขัดตาเป็นพิเศษ
ล้วนเป็นผู้เสียหายจากนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ทั้งนั้น เหล่าอวี๋ เจ้าคนทรยศ!
“ฝ่าบาท ลองเสวยดูพ่ะย่ะค่ะ” พอซุนเหยียนได้ชิมแล้ว ก็นำน้ำตาลทรายขาวมาถวายฮ่องเต้ซิงหยวนตี้
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เสวยด้วยตนเองแล้วก็ทรงพระสรวลเสียงดังตรัสว่า “ดีมาก นำไปแลกเปลี่ยนได้แล้ว!”
บรรดาขุนนางพากันแสดงความยินดี “ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ตอนขุนนางใหญ่กลับไปต่างได้น้ำตาลไปคนละหนึ่งชั่ง พระสนมที่มีสถานะในวังได้กันตั้งแต่สองเหลี่ยงไปถึงหนึ่งชั่งแตกต่างกัน องค์หญิงเจาหยางได้สองชั่ง ส่งไปที่ไทเฮาห้าชั่ง
หลังเหตุการณ์คืนวันส่งท้ายปี ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ไม่ได้สนพระทัยไทเฮามาระยะหนึ่งแล้ว จากนั้นไทเฮาก็อ้างว่าทรงประชวร ย่อมพอบรรเทาบรรยากาศลงได้บ้าง ก็ดังคำกล่าวโบราณ ระหว่างมารดาและบุตรไม่มีความแค้นข้ามคืน แม้ในพระทัยฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รู้ว่าพระอาการประชวรของไทเฮานี้อาจเสแสร้ง แต่ไม่อาจคิดเล็กคิดน้อยกับมารดาแก่ชราไม่จบไม่สิ้น
ตำหนักฉือหนิงกง
ไทเฮาเหลือบมองกระปุกกระเบื้องบรรจุน้ำตาลทีหนึ่ง ก่อนตรัสด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “นี่ก็คือน้ำตาลทรายขาวที่เด็กนั่นวุ่นวายทำมาหรือ”
บ่าวคนสนิทเกรงว่าไทเฮาจะมีเรื่องกับฮ่องเต้อีก รีบทูลว่า “ได้ยินว่าหลายคนคิดลองชิมน้ำตาลทรายขาว นำเงินไปซื้อก็ไม่ได้ แต่ฮ่องเต้ทรงคิดถึงไทเฮา ส่งมามากมายเพียงนี้”
สีพระพักตร์ไทเฮาผ่อนลงเล็กน้อย เชิดพระหนุขึ้นตรัสว่า “เปิดให้ข้าดูหน่อย”
ฝากระปุกเปิดออก ก็เผยให้เห็นน้ำตาลขาวราวเกล็ดหิมะ
ไทเฮาสีพระพักตร์ตกพระทัย “น้ำตาลขาวเพียงนี้?”
นางกำนัลหยิบถ้วยตะไลมาตักน้ำตาลทรายขาวให้ไทเฮาชิม
คนอายุมากต่อมรับรสถดถอย รสชาติต้องหนักกว่าเดิมสักหน่อย น้ำตาลหวานล้ำเข้าพระโอษฐ์ ไทเฮาก็เผยสีพระพักตร์พอพระทัย “ไปละลายน้ำ ทำน้ำหวานมาแก้วหนึ่ง”
ไม่นานน้ำหวานชงจากน้ำตาลทรายขาวก็ยกออกมา ชิมแล้วก็ตรัสชมว่า “น้ำหวานรสหวานละมุน อร่อยกว่าน้ำผึ้ง”
แต่พอคิดว่าซินโย่วเป็นคนทำ รอยยิ้มมุมพระโอษฐ์ไทเฮาก็หุบลง ตรัสน้ำเสียงเย็นชาว่า “เหมือนกับมารดานาง วุ่นวายเก่งจริง”
นางพลันนึกถึงเงินทองที่สะใภ้ได้มาจากของที่ทำออกมา จากนั้นบุตรชายนางก็ยิ่งรุ่งเรือง ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ…
ไทเฮาดึงความคิดกลับคืน ไม่อาจคิดต่อไป นางมีวันนี้ได้ก็เพราะอาศัยความสามารถของบุตรชาย รำคาญใจที่สุดยามมีคนเอ่ยความดีความชอบของสะใภ้
หญิงที่หนีภัยมายังร้ายกาจมาก ตอนแรกสุดนั้นหากไม่ใช่ตระกูลนางรับดูแล ยังไม่รู้ว่าจะร่อนเร่ไปที่ใด
องค์หญิงเจาหยางได้รับน้ำตาลทรายขาวก็คว้ามือบุตรชายมาบ่นยกใหญ่ “เจ้าวันๆ เอาแต่วุ่นวายเหลวไหล วันนั้นเกือบระเบิดใส่ตนเอง มิสู้เรียนรู้จากน้องสาวเจ้า ไม่ว่านิยายหรือน้ำตาลทรายขาว ล้วนเป็นของที่ให้คนเบิกบานใจ”
ข่งรุ่ยสีหน้าใสซื่อ “ข้าทำไม่เป็นนี่”
น้องสาวความรู้มาก หรือว่าโรงอาวุธดินปืนของเขานั้นลากน้องสาวมาร่วมด้วยดี…
องค์หญิงเจาหยางแค่มองก็รู้ว่าบุตรชายคิดอันใด ตบโต๊ะดังทันที “ห้ามลากน้องสาวเจ้ามาเหลวไหลด้วย! เจ้าวุ่นวายกับของพวกนั้น เกิดทำให้น้องสาวเจ้าบาดเจ็บจะทำอย่างไร”
ข่งรุ่ยได้แต่ล้มเลิกความคิด “ข้าทราบแล้วขอรับ”
“อีกอย่าง” องค์หญิงเจาหยางมองบุตรชายไม่ได้เรื่องทีหนึ่ง แค้นใจที่ไม่เอาไหน “ข้าได้ยินว่าอ๋องเป่ารื่อไปเวียนวนหน้าน้องสาวเจ้าทุกวัน เจ้าเรียนรู้จากเขาบ้างไม่ได้หรือ”
เดิมนางก็หวังว่าเด็กน้อยสองคนอยู่ร่วมกันนานวันก็จะเกิดความผูกพันกันเอง ต่อมาคาดเดาว่าอาโย่วมีใจต่อฉางเล่อโหว ในใจก็รู้สึกเสียดายแทนบุตรชาย
แต่พอนานวันเข้า นางก็ไม่เห็นว่าระหว่างอาโย่วกับฉางเล่อโหวจะมีอันใด ความหวังให้บุตรชายกับอาโย่วได้อยู่ร่วมกันก็บังเกิดขึ้นมาอีกครั้ง
ปรากฏอ๋องเป่ารื่อมาถึง ก็ทำให้นางรู้ว่าบุตรชายท่อนไม้ของนางด้อยกว่าคนอื่นเขามาก
หากปล่อยให้เจ้าหนุ่มต่างแคว้นแต่งอาโย่วไปได้ ก็คงเป็นเรื่องปวดใจสุดแสนสาหัส!
ข่งรุ่ยถูกมารดารังเกียจก็ลูบจมูกไปมาเอ่ยว่า “ข้าอยากขอให้น้องสาวมาให้คำปรึกษาสักหน่อย ท่านแม่ก็ไม่อนุญาต ข้านึกได้ว่าที่ทำการยังมีงานอีก…”
ข่งรุ่ยรีบหนีออกไปทันที ทิ้งให้องค์หญิงเจาหยางโมโหค้อนขวับใส่
เสียงฝีเท้าม้าดังมา พอเฮ่อชิงเซียวเข้าเมืองหลวงมาก็ได้เห็นข้างหน้าครึกครื้นเป็นพิเศษ แอบได้ยินคำว่า ‘คุณหนูซิน’ ดังแว่วมา ก็กระชากบังเหียน สั่งให้ลูกน้องไปสืบสักหน่อย
ไม่นานลูกน้องก็กลับมรายงาน “เรียนใต้เท้า มีการเปิดท้าพนันใหม่ พนันว่าอ๋องเป่ารื่อจะชนะใจคุณหนูซินได้เมื่อใด”
เฮ่อชิงเซียวกุมบังเหียนแน่น น้ำเสียงเรียบเฉย “เรื่องนี้เป็นที่สนใจของคนทั้งเมืองหลวงหรือ”
“อ๋องเป่ารื่อเป็นชาวซีหลิง ไม่ยอมกลับเพราะคุณหนูซิน คุณหนูซินยังมีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง…”
เฮ่อชิงเซียวมองดูฝูงชนเบียดเสียดกันทีหนึ่ง ก่อนหันไปอีกทางอย่างรวดเร็ว ตรงไปวังหลวง
“ฝ่าบาท ฉางเล่อโหวกลับมาถึงเมืองหลวง ขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ยินก็รีบให้คนนำเขาเข้ามา
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
“รีบลุกขึ้น” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรประเมินมองหนุ่มน้อยที่คุกเข่าข้างเดียวบนพื้นด้วยพระอารมณ์ยินดียิ่ง
แสดงว่าการทดลองเก็บภาษีตามนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ทางใต้ได้ผลแล้ว
เฮ่อชิงเซียวลุกขึ้น ควักสมุดบัญชีออกจากอกเสื้อเล่มหนึ่ง “ทางใต้เก็บภาษีผลผลิตฤดูร้อนหลายแห่งเรียบร้อยแล้ว ขอฝ่าบาททอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเหยียนเข้ามารับสมุดบัญชีไปส่งให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทันที
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรเห็นจำนวนภาษีที่ได้ ม่านตาก็หดเกร็ง “มากมายเพียงนี้?”
พื้นที่ทดลองหลายแห่งทางใต้ เดิมก็เป็นที่นาอุดมสมบูรณ์ เป็นพื้นที่สำคัญในการเก็บภาษีของทุกปี ภาษีธัญญาหารฤดูร้อนในหลายปีมานี้เก็บได้ราวหนึ่งล้านตำลึง คล้ายว่าเป็นหนึ่งในหกส่วนของทั้งแผ่นดินต้า ซย่า ตอนนี้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรจำนวนทั้งหมด ได้เกือบสี่ล้านตำลึง!
“รีบเรียกตัวพวกเสนาบดีกรมคลังเข้าวัง แล้วก็ซินไต้จ้าวด้วย!”
ตอนบรรดาขุนนางมากันครบ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ทรงตรวจดูอีกครั้ง เกรงว่าจะดีพระทัยเก้อ
“กระหม่อมมาทูลรายงานฝ่าบาทก่อน ส่วนพวกเจ้ากรมตรวจสอบเหอจะคุ้มกันเงินภาษีตามมา อีกสองสามคืนก็จะมาถึงพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี ดี ดี ชิงเซียวลำบากเจ้าแล้ว”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พระอารมณ์ดีอย่างมาก พลันพบว่าชายหนุ่มตรงหน้าหน้าตาดีจริง
ร่างสูงผึ่งผาย รูปงามเหนือสามัญ อืม เพียงแต่ด้อยกว่าตอนเขายังหนุ่มเล็กน้อย
จากนั้นบรรดาหัวหน้ากองกรมต่างๆ ก็ทยอยกันมาถึง พอเห็นเฮ่อชิงเซียวพากันตกใจ
ฉางเล่อโหวกลับมาแล้ว?
ยามนี้ก็ได้ยินเสียงรายงานดัง “ซินไต้จ้าวมา…”
ทุกคนต่างหันมองไปที่ประตูอย่างไม่รู้ตัว
เฮ่อชิงเซียวค่อยๆ มองไปทางสาวน้อยในชุดขุนนางสีเขียวม้วนมวยผมเรียบง่าย ชายหนุ่มพยายามระมัดระวังไม่ให้ความรู้สึกที่แอบซ่อนไว้เผยออกมา
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”
ถวายบังคมเสร็จ ซินโย่วลุกขึ้น ยิ้มกว้างให้เฮ่อชิงเซียว “ใต้เท้าเฮ่อกลับมาแล้ว”
……….