สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 389 คิดถึง
ตอนที่ 389 คิดถึง
……….
ทุกคนต่างส่งสายตามองไปยังซินโย่ว
เสนาบดีกรมพิธีการพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา
ไม่กลัวว่าฮ่องเต้จะพระราชทานที่นาดีจวนอลังการ เงินทองของมีค่า กลัวเพียงแค่คำของที่ไม่อาจคาดเดาได้
หากเด็กสาวผู้นี้ขอให้ฮ่องเต้จัดการเอาชีวิตพวกเขาที่คัดค้านการปฏิรูปจะทำอย่างไร
ซินโย่วไม่สนใจว่าผู้ใดคิดเช่นไร เหลือบขึ้นสบพระเนตรฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ด้วยแววตาไม่แสดงอาการใด “ตอนนี้ยังไม่มีเพคะ เพียงแต่คิดว่าวันหน้าอาจต้องการ ฝ่าบาททรงรับปากคำขอของหม่อมฉันเรื่องหนึ่งได้หรือไม่เพคะ”
ความหมายของคำพูดนี้ก็คือของรางวัลพระราชทานก็คือ ‘คำขอ’
เสนาบดีกรมพิธีการเผยสีหน้าปกติ
นังเด็กนี่ละโมบและเจ้าเล่ห์ดังคาด!
อันใดที่กล่าวว่าวันหน้าต้องการ ขอให้ฮ่องเต้รับปากคำขอของนาง? หากนางขอตำแหน่งฮ่องเต้เล่า หรือว่าฮ่องเต้จะต้องรับปาก
มองดูใบหน้าที่ราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกับฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ เสนาบดีกรมพิธีการได้แต่กลืนความรู้สึกวู่วามลง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้รับฟังคำพูดนี้แล้ว แววพระเนตรก็ลำบากพระทัย
ฮ่องเต้ตรัสแล้วไม่คืนคำ ตอนนี้เขารับปากไป หากวันหน้าคำขอเหลวไหลก็จะลำบากใจแล้ว
จากนั้นเขาก็เห็นมุมปากยิ้มเยาะของสาวน้อยเล็กน้อยคล้ายกำลังบอกว่า ดูสิ ไม่ว่าทำเพื่อราชวงศ์และเพื่อต้าซย่ามากมายเพียงใด ฮ่องเต้ยังคงให้ได้อย่างจำกัด
“ตกลง ขอเพียงไม่ผิดธรรมเนียมจารีต เรารับปากเจ้า”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
แม้เพิ่มเงื่อนไข ก็ยังดีกว่าไม่มีมาก ผู้ใดจะรู้ว่าวันใดจะได้นำมาใช้หรือไม่
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รับสั่งให้ซุนเหยียนนำคทาหรูอี้[1]มาพระราชทานให้ซินโย่ว “วันหน้าเจ้าต้องการขอเรื่องใด ก็ให้นำคทาหรูอี้นี้มามอบคืนเรา”
กวาดตามองสีหน้าประหลาดแตกต่างของบรรดาขุนนางใหญ่ทีหนึ่ง รู้สึกกังวลว่าคนเหล่านี้จะเอาแต่คิดไปถึงเรื่องไม่เป็นเรื่อง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสสุรเสียงนิ่งเรียบ “มีเพียงซินไต้จ้าวนำคทาหรูอี้มาจึงจะขอได้”
วันรุ่งขึ้นก็มีราชทูตซีหลิงกลุ่มหนึ่งเดินทางกลับ รองราชทูตนำน้ำตาลทรายขาวขวดเล็กกลับไป
อ๋องเป่ารื่ออยู่ต่อในฐานะราชทูตเอก เขารีบไปหาซินโย่ว แต่ก็ไม่ได้พบ
พอสอบถาม เสนาบดีกรมคลังก็บอกเขาว่า “ระยะนี้ซินไต้จ้าวไม่มีเวลามาสำนักฮั่นหลินย่วน นางรับหน้าที่ดูแลเรื่องการผลิตน้ำตาล”
อ๋องเป่ารื่อตกใจไม่น้อย “ซินไต้จ้าวรู้วิธีการทำน้ำตาล?”
เสนาบดีกรมคลังหัวเราะเบาๆ “ซินไต้จ้าวเราคุมคนเก่ง ฝ่าบาทไว้พระทัยนาง”
อ๋องเป่ารื่อจึงได้รู้สึกสมเหตุสมผล
“เช่นนั้นไปที่ไหนจึงจะได้พบซินไต้จ้าว?”
“โรงผลิตน้ำตาลนั้นแม้แต่ข้าเองก็เข้าไปไม่ได้ ราชทูตคิดพบซินไต้จ้าว เกรงว่าคนต้องให้ถึงวันหยุดพักของนางแล้ว”
“เช่นนี้หรือ” อ๋องเป่ารื่อถอนหายใจ ใจที่คิดแต่งงานกับซินโย่วก็ยิ่งหนักแน่น
เดิมเป็นเพียงรักแรกพบ คาดไม่ถึงว่าพอยิ่งรู้เรื่องนางก็ยิ่งคิดว่าคุณหนูซินไม่เพียงแค่รูปโฉมงาม แต่ยังมีความสามารถ พระชายาของเขาน่าจะเป็นสตรีเช่นนี้
ต่างจากอ๋องเป่ารื่อ บรรดาขุนนางและชนชั้นสูงเริ่มมีข่าวแพร่ออกไปกันอย่างลับๆ ว่า มีของชื่อว่าน้ำตาลทรายขาว เป็นน้ำตาลทรายขาวระดับเทพ ขาวราวเกล็ดหิมะ รสชาติหาใดเทียม เป็นน้ำตาลที่ซิน โย่วทำ
ปฏิกิริยาแรกของผู้คนก็คือไม่คิดเชื่อ ไม่เชื่อว่ามีน้ำตาลเช่นนี้ และไม่เชื่อว่าซินโย่วจะทำน้ำตาลเช่นนี้ได้
จนกระทั่งมีคนถูกอ๋องเป่ารื่อถามมากขึ้นเรื่อยๆ “พวกเจ้าเคยกินน้ำตาลทรายขาวไหม”
เห็นบรรดาขุนนางและชนชั้นสูงต้าซย่าถูกถามจนตอบไม่ถูก อ่องเป่ารื่อก็พึงพอใจ ใต้เท้าอวี้ไม่ได้หลอกเขาดังคาด น้ำตาลทรายขาวนี้แม้แต่ชนชั้นสูงศักดิ์ต้าซย่าก็ยังมิเคยได้ลิ้มลอง รอให้นำน้ำตาลทรายขาวกลับไปถึงซีหลิง เขาก็จะขายให้กับเจ้าโง่ที่ลุ่มหลงในสินค้าจากต้าซย่าพวกนั้น ม้าและวัวของเขาก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณ
บรรดาขุนนางและชนชั้นสูงถูกอ๋องเป่ารื่อถามก็รู้สึกโดนดูหมิ่น ของล้ำค่าต้าซย่า ชาวต้าซย่ายังไม่ได้ลิ้มลอง จะส่งให้ซีหลิงก่อนหรือ
พวกเขาเองก็ต้องการกินน้ำตาลทรายขาว!
“หนึ่งตำลึงครึ่งต่อหนึ่งชั่ง” เสนาบดีกรมคลังเอ่ยด้วยน้ำเสียงปกติยิ่ง
“เช่นนั้นก็ได้ อย่างไรก็ต้องชิมดูหน่อย!”
เสนาบดีกรมคลังโบกมือ “มีตลาด แต่ไม่อาจกำหนดราคา เพราะตอนนี้ไม่มีขาย”
“สองตำลึง!”
“สามตำลึง!”
…
ได้ยินว่าราคายิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ เสนาบดีกรมคลังก็ร่ำไห้ไปขอพบซินโย่ว
“ซินไต้จ้าว น้ำตาลทรายขาวพวกเราจะทำเสร็จเมื่อใด ทำเพิ่มมากอีกสักหน่อยได้หรือไม่ ท่านไม่รู้ คนมากมายยินดีจ่ายเงินห้าตำลึงเพื่อขอชิมน้ำตาลทรายขาวดูสักหนึ่งชั่ง…”
เสนาบดีกรมคลังพูดไปก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา “หรือว่าถึงตอนนั้นให้ซีหลิงน้อยลงส่วนหนึ่ง รอรอบถัดไปค่อยชดเชยให้”
ซินโย่วหัวเราะ
หลายวันนี้เสนาบดีกรมคลังมักแล่นมาหานาง ไปๆ มาๆ ก็สนิทสนมกัน ก็เป็นตาแก่ที่น่ารักบริสุทธิ์คนหนึ่ง คำว่าบริสุทธิ์นี้ย่อมหมายถึงมีใจเพื่อเติมเต็มคลังแผ่นดินอย่างไม่ยอมลดละ รักในเงินทองอย่างแท้จริง
“ท่านเสนาบดีไม่จำเป็นต้องหวั่นไหวเพราะพวกเขา พวกเขายินดีจ่ายห้าตำลึงเพื่อลิ้มลองของใหม่เท่านั้น อย่างมากซื้อแค่สามถึงห้าชั่งเท่านั้น แลกเปลี่ยนกับซีหลิงก่อนดีกว่า”
“คนหนึ่งซื่อสามถึงห้าชั่ง แต่ก็ได้เปรียบที่คนมากนะ!” เสนาบดีกรมคลังคิดถึงว่ามีเงินไม่เอา ในใจก็ยากทนรับไหว
“เช่นนั้นก็รอรอบสอง ความอยากถูกบ่มไว้นาน ไม่แน่ว่าถึงตอนนั้นจะขายได้มากยิ่งขึ้น”
เสนาบดีกรมคลังกำมือ “ซินไต้จ้าวมองการณ์ได้กระจ่างแท้!”
ตาแก่เดินมือไพล่หลังออกไปอย่างมุ่งมั่นฝันหวาน
ค่าใช้จ่ายของโรงผลิตน้ำตาลนี้แม้มาจากเงินส่วนพระองค์ แต่กลับตกลงแล้วว่าผลประโยชน์วันหน้าสี่ส่วนเข้าคลังสมบัติส่วนตัวของฮ่องเต้ หกส่วนเป็นของคลังแผ่นดิน
นี่เป็นเหตุที่เสนาบดีกรมคลังใส่ใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ
ซินโย่วง่วนกับการผลิตน้ำตาล เฮ่อชิงเซียวก็ได้รับจดหมายจากเมืองหลวง ยังได้รับถึงสองฉบับ
ฉบับแรก ทหารกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเขียนบรรยายอ๋องเป่ารื่อจากซีหลิงตามตื๊อคุณหนูซินอย่างละเอียดยิบ
เฮ่อชิงเซียวอ่านจดหมายจบ ได้แต่หัวเราะขำ ก่อนอ่านจดหมายฉบับที่สอง
ฉบับที่สองแปลกประหลาดอยู่สักหน่อย อ๋องเป่ารื่อถึงกับไม่ยอมกลับ ยินดีเป็นเขยแต่งเข้าและยังร่ำรวยมาก
เฮ่อชิงเซียวจ้องมองจดหมายเป็นนาน ในใจรู้สึกเฝื่อนขม อารมณ์ที่ไม่รู้ว่าคืออันใดอัดแน่นเต็มอก
กลางวันเขาเดินใจลอย ตกค่ำก็พลิกตัวไปมานอนไม่หลับ เดินไปที่ริมหน้าต่างมองดวงดาวสุกสกาวบนท้องฟ้า ฟังเสียงกบเสียงแมลงร้อง เหม่อลอยอยู่เป็นนาน
เขาเริ่มพอเข้าใจแล้วว่าความรู้สึกนี้คือริษยา
ความริษยาบนโลกนี้มีมากมาย เช่นว่า คนเช่นอ๋องเป่ารื่อ มีที่พึ่งพิง ไม่ต้องเกรงกลัวอันใด จะแสดงความชอบเรื่องใดก็ได้ แสดงอาการชอบผู้ใดก็ได้
พวกเขาไม่กลัวพ่ายแพ้ และยอมรับความพ่ายแพ้ได้
แต่เขากลับได้แต่เก็บกดไว้ในส่วนลึกสุดของหัวใจ ไม่กล้าเผยออกมาแม้แต่นิด
ส่วนซินโย่วจะหวั่นไหวกับอ๋องเป่ารื่อหรือไม่ เฮ่อชิงเซียวกลับมองทะลุว่านางไม่มีทาง
ความจริงนางและเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน
เรื่องใดหรือบุคคลใดที่มั่นใจแล้ว ก็จะไม่ถูกสิ่งภายนอกรบกวนจิตใจอีก
การเก็บเกี่ยวฤดูร้อนเริ่มต้นแล้ว ตอนกลับถึงเมืองหลวงก็คงเดือนเจ็ดแล้ว การแยกจากกันครั้งนี้นานเกินไปแล้ว เขาคิดถึงนางมาก
ตอนเดือนหก เฮ่อชิงเซียวก็ได้รับจดหมายจากซินโย่ว
จดหมายไม่ยาว เล่าเรื่องทั่วไปคร่าวๆ ยังมีขวดกระเบื้องใบเล็กมากับจดหมาย พอเปิดออก ก็เห็นกองเกล็ดหิมะด้านใน ก็คือน้ำตาลทรายขาวที่เอ่ยถึงในจดหมาย
เขาตั้งใจชิมรสชาติน้ำตาลทรายขาว
จานลายครามรองรับสีอำพัน เกล็ดน้ำตาลงดงาม[2] น้ำตาลทรายขาวนี้กับเกล็ดน้ำตาลในบทกวี รสชาติเหนือกว่าอีกหนึ่งขั้น
น้ำตาลทรายขาวที่อาโย่วทำ
วันหนึ่งในเดือนเจ็ด โรงผลิตน้ำตาลก็เฮลั่นดีใจ
เวลาหนึ่งเดือนกว่าในการสกัดสีออก ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว!
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ดีพระทัยมาก นำพาขุนนางหลายคนไปดูด้วยพระองค์เอง
โกดังน้ำตาลมีทหารเฝ้าคุมแน่นหนา กำแพงอีกฟากของโรงผลิตน้ำตาล ตรงกลางมีประตูที่ให้คนเดินผ่านไปได้ ยามนี้ใส่กุญแจไว้
ซินโย่วส่งสัญญาณ ประตูโกดังค่อยๆ เปิดออก
[1] หรูอี้แปลว่าสมประสงค์ คทาหรูอี้เป็นเครื่องยศชั้นสูงแสดงถึงความสูงศักดิ์ รูปลักษณ์ตรงส่วนหัวคทาเหมือนเห็ดหลินจือที่ ชาวจีนโบราณเชื่อว่ามีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ
[2] บทกวีวรรคหนึ่งของซูซื่อ กวีเอกราชวงศ์ซ่ง
……….