สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 388 รวยทรัพย์
ตอนที่ 388 รวยทรัพย์
……….
พอน้ำตาลเข้าปาก ม่านตาอ๋องเป่ารื่อก็ขยายกว้าง
“นี่คือน้ำตาล? หวานเพียงนี้?”
เสนาบดีกรมคลังเป็นผู้มีประสบการณ์มามากแล้ว เอ่ยด้วยท่าทางโอ้อวด “น้ำตาลย่อมต้องหวาน”
“ข้ารู้ว่าน้ำตาลหวาน แต่ไม่ควรหวานเพียงนี้!”
เหตุใดจึงได้หวานเพียงนี้
เสนาบดีกรมคลังยิ้มเล็กน้อย “ดังนั้นจึงเรียกว่าน้ำตาลทรายขาวระดับเทพเซียน แม้ในต้าซย่าเรา ชนชั้นสูงศักดิ์และขุนนางมากมายยังไม่เคยได้ลิ้มลอง ฮ่องเต้เราทรงรู้สึกไม่ค่อยดีที่ราชทูตแคว้นท่านกลับไปเช่นนี้ จึงได้นำของล้ำค่าระดับนี้ออกมา”
อ๋องเป่ารื่อไม่สนใจขานตอบ ชิมไปอีกคำหนึ่ง
ให้ความรู้สึกหวานละมุนจริงแท้ รสชาติสัมผัสไม่อาจลวงหลอกเขา
อ๋องเป่ารื่อเป็นชายหนุ่มที่ชินกับการกินเนื้อสัตว์ แม้ชอบรสหวาน แต่ก็ไม่ถึงกับเรียกว่าหลงใหล
แต่น้ำตาลทรายขาวเช่นนี้แตกต่างจากรสชาติน้ำตาลทั่วไป มันมีรสสัมผัสที่โดดเด่นมาก ชวนให้รู้สึกตกใจ นี่คือรสชาติดีงามของน้ำตาลทรายขาว และยิ่งเป็นการลิ้มลองของใหม่ จึงทำให้ความรู้สึกยิ่งทวีคูณขึ้น
“น้ำตาลนี้คงมิใช่นำข้ามทะเลมากระมัง” หลังหายตกใจ อ๋องเป่ารื่อก็เอ่ยถาม
ในฐานะชนชั้นสูงศักดิ์สูงสุดของซีหลิง อ๋องเป่ารื่อพอจะเข้าใจต้าซย่าอยู่บ้าง
ตอนนี้น้ำตาลคุณภาพดีที่สุดมิใช่มาจากต้าซย่า แต่เป็นน้ำตาลที่รอนแรมข้ามน้ำข้ามทะเลมา มีราคาสูงมากในต้าซย่า ซีหลิงยิ่งหาได้ยาก แน่นอนว่าเขาเคยกิน สีก็มิได้สวยเหมือนน้ำตาลทรายขาวนี้ รสชาติก็สู้ไม่ได้
เสนาบดีกรมคลังยืดอกเอ่ยว่า “น้ำตาลนี้เป็นเคล็ดลับเฉพาะของต้าซย่าเรา ไม่ใช่น้ำตาลต่างแดนนำข้ามทะเลมา”
เสนาบดีอวี๋ดูแลถุงเงินของต้าซย่า น้ำตาลทรายขาวนี้ปรากฏขึ้น สมองก็หมุนรวดเร็วทันที
เมื่อก่อนชาวนอกน่านน้ำทะเลนำน้ำตาลทรายขาวมาแลกของดีจากแคว้นต้าซย่ากลับไปไม่น้อย วันหน้าจะนำน้ำตาลทรายขาวอันนี้ขายกลับคืนไปบ้าง แลกของดีกลับมา
ส่วนซีหลิง แม้แต่น้ำตาลทรายแดงของต้าซย่าก็เห็นเป็นของดี จึงไม่เชื่อว่าน้ำตาลทรายขาวนี้จะทำให้พวกเขายอมสยบไม่ได้
ฮ่องเต้ตรัสว่าใช้น้ำตาลทรายขาวสิบห้าชั่งแลกม้าซีหลิงหนึ่งตัว เขาคิดว่าขาดทุนเกินไปแล้ว
“น้ำตาลนี้ขายหรือไม่” อ๋องเป่ารื่อถาม
ไม่ใช่อ๋องเป่ารื่อติดกับง่าย แต่เขารู้ถึงความล้ำค่าของน้ำตาลทรายขาวนี้ได้ในทันที
“ต้าซย่ากับซีหลิงเป็นบ้านพี่เมืองน้องกัน คุยเรื่องเงินก็จะทำลายมิตรภาพได้” เสนาบดีกรมคลังโบกมือไปมา
อ๋องเป่ารื่อยิ้มเล็กน้อย
ไม่คุยเรื่องเงิน หรือจะคุยเรื่องอภิเษก ฮ่องเต้ต้าซย่าทรงไม่ตกลงสักอย่าง!
“แค็กๆ น้ำตาลทรายขาวนี้เป็นของที่มีเฉพาะในต้าซย่าเรา อืม นำสินค้าพิเศษมีเฉพาะของแคว้นท่านมาแลกกันได้”
สินค้าพิเศษมีเฉพาะซีหลิง?
“ม้าศึก?” อ๋องเป่ารื่อถามหยั่งเชิง
เสนาบดีกรมคลังพลันรู้สึกว่าคนตรงหน้าถูกชะตารื่นตาขึ้นมาก “ม้าศึกแคว้นท่านไม่เลวจริง หากใช้ม้าศึกมาแลก เช่นนั้นก็เหมาะสมที่สุดแล้ว”
ในเมื่อซีหลิงมอบม้าศึกห้าพันตัวเป็นของหมั้นหมายได้ เห็นได้ว่ามีเหลือเฟือ
ดังคาดอ๋องเป่ารื่อครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ถามว่า “ไม่ทราบว่าแลกกันอย่างไร”
เสนาบดีกรมคลังชูห้านิ้ว เห็นสีหน้าตกใจของอ๋องเป่ารื่อ แอบเพิ่มอีกนิ้ว “น้ำตาลทรายขาวหกชั่งแลกม้าหนึ่งตัว ราชทูตคิดว่าเป็นอย่างไร”
ไม่อาจทำให้คนเขาตกใจจนหนีไปเสียก่อน
“ซี๊ด…แพงเกินไปแล้ว” แม้ว่าทำใจไว้แล้ว แต่อ๋องเป่ารื่อก็ยังยากจะรับได้
น้ำตาลทรายขาวระดับเทพเซียนนี้ล้ำค่าจริง แต่อย่างไรก็เพียงแค่บำเรอปากท้อง แต่ม้าศึกเป็นสิ่งแสดงแสนยานุภาพบนสนามรบแท้จริง
ต่อรองกันไปมา สุดท้ายกำหนดที่น้ำตาลทรายขาวสิบชั่งต่อม้าศึกหนึ่งตัว คำนวณจากราคาม้าศึกสิบห้าตำลึง น้ำตาลทรายขาวหนึ่งชั่งได้ถึงหนึ่งตำลึงครึ่ง
สองฝ่ายเจรจากันเสร็จ ต่างก็เผยรอยยิ้มพึงใจ
“เช่นนั้นรอให้ราชาของแคว้นท่านส่งพระราชสาส์นกลับมา พวกเราก็จะเตรียมของ”
อ๋องเป่ารื่อมองเสนาบดีกรมคลังอย่างงุนงงทีหนึ่ง “เมื่อครู่ใต้เท้าไม่ได้บอกว่า น้ำตาลทรายขาวขั้นตอนการทำยุ่งยาก สองเดือนมากสุดก็ได้ไม่กี่ชั่ง”
“ถูกต้อง”
“เช่นนั้นยังจะรอให้เสด็จพี่ข้าตอบจดหมายกลับมาทำไมกัน พวกท่านเริ่มเตรียมตัวได้แล้ว น้ำตาลนี้ขายให้ข้าก็พอ”
เสนาบดีกรมคลังแววตาค้างเติ่ง
เจ้าหมอนี่…ไม่สิ เจ้าหนุ่มรูปงามนี้ร่ำรวยเพียงนี้!
“แต่เรื่องน้ำตาลทรายขาวนี้ยังต้องทูลเสด็จพี่สักคำก่อน ข้าจะมอบหมายให้คนนำจดหมายกลับไปพรุ่งนี้”
จากนั้น ก็เชิญขุนนางสองฝ่ายลงนามในสนธิสัญญา
เสนาบดีกรมคลังนำสนธิสัญญาสดๆ ร้อนๆ รีบเข้าวัง
“ฝ่าบาท สำเร็จแล้ว!”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รับสนธิสัญญามาดูแล้วแววตาก็ส่องประกายวาว “น้ำตาลทรายขาวสิบชั่งแลกม้าศึกหนึ่งตัว?”
นี่ยังดีกว่าที่เขาคาดไว้ไม่น้อย!
ความจริงน้ำตาลทรายขาวเพิ่งปรากฏบนโลกนี้เป็นของหายาก หากขายปลีก ขายชั่งละสองตำลึงใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ ถึงกับอาจสูงมากกว่านี้ได้ ดังคำกล่าวที่ว่าของแปลกเป็นที่ต้องการ
แต่ทว่าต้องการแลกม้าศึก ก็ต้องใช้น้ำตาลทรายขาวจำนวนมาก และในความเป็นเครื่องปรุงแต่งรส น้ำตาลทรายขาวหลายหมื่นชั่งเพียงพอจะให้ชนชั้นสูงศักดิ์ซีหลิงได้กินอีกสักระยะหนึ่งเลยทีเดียว
“ลงนามสนธิสัญญาแล้ว” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรลงมายังทุกคนต่อ
การแลกเปลี่ยนของสองแผ่นดิน ไม่น่าจะนำวาจากลับไปโดยราชทูตเท่านั้น ยังต้องนำน้ำตาลทรายขาวกลับไปด้วย พอราชาซีหลิงได้ชิม รับรองว่าคุ้มค่า ก็จะส่งพระราชสาส์นกลับมาให้อ๋องเป่ารื่อจัดการต่อจากนี้
การทำเช่นนี้มิใช่ว่าทำไปอย่างไม่ให้ความสำคัญหรือ
ทอดพระเนตรดูลายมือชื่ออ๋องเป่ารื่อลงท้าย ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เงียบงัน
เสนาบดีกรมคลังเห็นความงุนงงของฮ่องเต้ ก็รีบทูล “น้ำตาลทรายขาวชุดแรกนี้ อ๋องเป่ารื่อซื้อส่วนตัว ส่วนต่อจากนี้ ก็จะเป็นความร่วมมือของสองแคว้นพ่ะย่ะค่ะ”
กล่าวถึงตรงนี้เสนาบดีกรมคลังจึงได้ลดเสียงลงด้วยสัญชาตญาณ “ฝ่าบาท อ๋องเป่ารื่อร่ำรวยมากพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เหลือบพระเนตรมองเสนาบดีกรมคลัง
ตาแก่นี่พลันเอ่ยเบาๆ เตือนเขาทำไมกัน คิดให้เขารับอ๋องเป่ารื่อรวยทรัพย์ผู้นี้เป็นเขยแต่งเข้าหรือ
เขาเป็นคนเช่นนี้หรือ
แน่นอนหากอาโย่วชอบ เขาก็ไม่คัดค้าน
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เรียกประชุมขุนนางใหญ่อีกครั้ง ประกาศเรื่องที่เสนาบดีกรมคลังเจรจาการค้ากับอ๋องเป่ารื่อสำเร็จ
บรรดาขุนนางต่างปวดใจที่เสนาบดีกรมคลังได้ความชอบไปง่ายดายเช่นนี้ และยังตกตะลึงกับเงินทองของอ๋องเป่ารื่อ
เหมือนเสนาบดีกรมคลัง บรรดาขุนนางอดคิดขึ้นมาไม่ได้ อ๋องเป่ารื่อยินดีอยู่เมืองหลวงต่อเป็นเขยแต่งเข้าของต้าซย่าก็ไม่เลว แม้แต่น้ำตาลทรายขาวก็ไม่ต้องเสีย!
“เจรจาความร่วมมือสำเร็จลงได้ ขุนนางอวี๋มีความชอบ”
เสนาบดีกรมคลังรีบทูล “กระหม่อมไม่ได้ทำอันใด น้ำตาลทรายขาวของเราสูงค่าหายากจริง ชาวซีหลิงรู้ค่า หากจะว่ามีความชอบ ก็เป็นความชอบของซินไต้จ้าวพ่ะย่ะค่ะ”
เขานับว่ามองออกแล้ว ซินไต้จ้าวก็คือกะละมังทองคำ ต้นไม้เขย่าเงินทองร่วงหล่น มีนางอยู่ เขาเป็นเสนาบดีกรมคลังย่อมไม่ต้องเคร่งเครียดมาก
“ซินไต้จ้าวมีความชอบจริง” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรซินโย่ว “ซินไต้จ้าวต้องการพระราชทานรางวัลใด”
บรรดาขุนนางแอบกลั้นลมหายใจ
ฮ่องเต้โปรดปรานซินโย่วจริง ถึงกับตรัสถามนางตรงๆ ว่าต้องการอันใด
ซินโย่วก้าวออกมา “ตอนนี้โรงผลิตน้ำตาลยังไม่สร้าง จำเป็นต้องส่งมอบน้ำตาลทรายขาวในอีกหนึ่งถึงสองเดือน หม่อมฉันไม่กล้าขอรับความดีความชอบในตอนนี้เพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กลับไม่คิดเช่นนี้ “แต่ไรมาเจ้าสุขุมมั่นคง ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงตอนนั้น ”
อยากชดเชยให้อาโย่วนานแล้ว แต่อาโย่วไม่ต้องการแม้แต่ราชทินนามองค์หญิงซย่ากั๋ว พอดีถือโอกาสนี้พระราชทานรางวัลให้นาง บรรดาขุนนางใหญ่เองก็ไม่อาจทัดทานได้
ซินโย่วปฏิเสธอีกครั้ง แต่เมื่อทัดท่านไม่ได้ คิดแล้วก็ทูลว่า “หม่อมฉันไม่มีเรื่องกินอยู่ให้ต้องกังวล มีจวนพักให้อยู่ คิดไม่ออกจริงๆ ว่าต้องการพระราชทานสิ่งใดเพคะ ขอแลกเป็นคำทูลขอข้อหนึ่งได้หรือไม่เพคะ”
“คำขอใด?”
……….