สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 387 เปิดขุมทรัพย์
ตอนที่ 387 เปิดขุมทรัพย์
……….
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสออกไปเช่นนี้ บรรดาขุนนางพากันหันขวับไปมองซินโย่ว
ถึงกับเป็นซินไต้จ้าวทำ!
ในใจเสนาบดีกรมพิธีการเริ่มคิดสับสน ซินโย่วเป็นคนคิดพิสดารออกมาอีกแล้ว!
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ชมปฏิกิริยาของบรรดาขุนนางเรียบร้อยแล้ว ก็มีสีพระพักตร์สบายอารมณ์ ยากปิดบังสีพระพักตร์โอ้อวด “ก่อนหน้านี้เราถามขุนนางทุกท่านว่ามีวิธีใดไม่ต้องอภิเษกองค์หญิงแล้วได้ม้าศึกซีหลิงมาใช่หรือไม่ ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดออกความคิดเห็น วันนี้ซินไต้จ้าวนำน้ำตาลทรายขาวนี้มาให้เรา เสนอให้นำน้ำตาลทรายขาวแลกม้าศึก”
เสนาบดีกรมคลังได้ยินก็อดถามไม่ได้ว่า “วิธีการทำน้ำตาลทรายขาวนี้ยุ่งยากหรือไม่ ผลผลิตและต้นทุนเท่าไร กระหม่อมขอบังอาจเตือนสักหน่อย ขอเพียงแลกเปลี่ยนด้วยราคาเท่ากัน ต้าซย่าเรามีของมากมายที่แลกเปลี่ยนได้ หากน้ำตาลทรายขาวนี้ต้นทุนสูงผลผลิตต่ำ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องนำของสิ่งนี้ไปแลก”
น้ำตาลทรายขาวระดับเทพ ต้าซย่าเราเองไม่เคยได้ชิม ให้ซีหลิงไปไม่เสียเปรียบหรือ
ขุนนางใหญ่อื่นๆ ได้ยินก็พากันพยักหน้า
คำพูดเสนาบดีกรมคลังนี้ไม่เลว วันนี้ได้ลองน้ำตาลทรายขาวนี้ไป น้ำตาลที่เคยกินมาเมื่อก่อนล้วนไร้รสชาติ นำไปแลกเปลี่ยนไม่คุ้มค่า
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ตรัสตอบคำถามเสนาบดีกรมคลัง แต่โยนลงไปอีกคำถามหนึ่ง “ขุนนางทุกท่านคิดว่าน้ำตาลทรายขาวนี้ขายชั่งละเท่าไรจึงจะเหมาะสม”
“กระหม่อมคิดว่าขายได้หนึ่งตำลึงพ่ะย่ะค่ะ!”
“หนึ่งตำลึง? น้ำตาลดีเช่นนี้ขายสองตำลึงก็มีคนซื้อ”
“จริง ของที่หาได้ยากระดับนี้ปรากฏขึ้นครั้งแรก สองตำลึงต่อชั่งก็มีคนแย่งกันซื้อ”
…
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ของบรรดาขุนนางก็พระอารมณ์ดีอย่างมาก
น้ำตาลทรายแดงสี่ชั่งได้น้ำตาลทรายขาวแบบนี้หนึ่งชั่ง และน้ำตาลที่คุณภาพคล้ายน้ำตาลทรายขาวในปัจจุบันนี้อีกสองชั่ง เรียกได้ว่าไร้ต้นทุน ทั้งยังคืนทุน!
ยามนี้เห็นแววพระเนตรร้อนแรงของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ซินโย่วจำต้องเตือนสติ “ฝ่าบาท ผลผลิตอ้อยของแคว้นเรามีจำนวนจำกัดนะเพคะ”
ตอนนี้ผลิตน้ำตาลทรายขาวยังไม่แพร่ออกไป แม้ว่าเป็นสินค้าไร้ต้นทุน แต่น้ำตาลทรายแดงก็ต้องได้มาจากอ้อย ผลผลิตน้ำตาลทรายแดงขึ้นกับปริมาณอ้อย ไม่ใช่ว่ามีไม่จำกัด
เช่นนี้ก็เหมือนก่อนหน้านี้ที่เสนอปัญหาจำนวนคนเพิ่มขึ้นเพราะนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ การเพิ่มประชากรย่อมเป็นผลดีอย่างมากต่อแผ่นดินหนึ่ง แต่ผลผลิตธัญพืชท้องนามีจำกัด ทันทีที่คนมากขึ้นเกินการเลี้ยงดูของพืชผลที่ได้ เช่นนั้นก็ย่อมเกิดทุพภิกขภัยแล้ว
วิธีแก้ปัญหา ไม่ลดจำนวนคน ก็ต้องเพิ่มผลผลิตพืชผลทางการเกษตร นี่คือสาเหตุที่นางเอ่ยถึงส่งคนออกเดินทางไปยังดินแดนโพ้นทะเลค้นหาพืชผลที่ให้ผลผลิตสูง คนผู้นี้จึงรับปากอย่างง่ายดาย
นโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่กับการเปิดเส้นทางทางทะเลจะตามหลังกันมา มีความสัมพันธ์แนบแน่นอย่างไม่อาจแยกจากกันได้ นางกล่อมเขาให้ผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ได้ การยกเลิกการปิดกั้นเส้นทางทางทะเลก็ย่อมตามมาเอง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สงบนิ่งลงแล้วก็ตรัสว่า “เช่นนั้นก็น้ำตาลทรายขาวสิบห้าชั่งแลกม้าซีหลิงหนึ่งตัว ไปเจรจาตามราคาจำกัดนี้”
เสนาบดีกรมคลังยังคงอดถามถึงต้นทุนของน้ำตาลทรายขาวไม่ได้
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กวาดพระเนตรมองทีหนึ่ง บรรดาขุนนางต่างเงี่ยหูรอฟัง ตรัสพระสุรเสียงเรียบเฉยว่า “ต้นทุนไม่นับว่าสูง หลักๆ ก็คือวิธีการผลิตน้ำตาลค่อนข้างยุ่งยาก สรุปก็คือใช้น้ำตาลทรายขาวแลกม้าศึกคุ้มค่ามาก สร้างโรงผลิตน้ำตาล ต้นทุนผลิตน้ำตาลทรายขาวให้เอาจากเงินส่วนตัวของเรา”
เงินส่วนพระองค์เป็นคลังทองคำของฮ่องเต้ ไม่รวมอยู่ในการดูแลของกรมคลัง ความลับเกี่ยวกับผลิตน้ำตาลทรายขาวย่อมเป็นความลับได้นานขึ้นอีกสักหน่อย
เสนาบดีกรมคลังได้ยินว่าไม่ต้องควักเงินจากคลังก็ดีใจมาก
“เช่นนี้ พรุ่งนี้ราชทูตซีหลิงกลับไปก็จะนำไปรายงานราชาซีหลิงได้ทันที”
“ดีที่สุดก็ให้พวกเขานำน้ำตาลทรายขาวจำนวนหนึ่งไปให้ราชาซีหลิงได้ลิ้มลอง จะได้เจรจาง่าย”
…
บรรดาขุนนางใหญ่พากันเสนอความเห็น ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แย้มสรวลพยักพระพักตร์ “เรากำลังคิดเช่นนี้พอดี”
สายพระเนตรสลับไปมาระหว่างเสนาบดีกรมคลังกับเสนาบดีกรมพิธีการ สุดท้ายไปหยุดที่ใบหน้าเสนาบดีกรมคลัง
“เสนาบดีอวี๋ วันนี้ท่านไปพบอ๋องเป่ารื่อในนามส่วนตัวก่อน ลองเจรจาดูว่าเขาสนใจน้ำตาลทรายขาวหรือไม่ และลองหยั่งเชิงท่าทีของราชาซีหลิงสักหน่อย”
งานความสัมพันธ์ต่างแคว้นเดิมเป็นงานของกรมพิธีการ แต่ทว่าฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่คิดว่าเสนาบดีกรมพิธีการที่ค่อนข้างหัวรั้นจะทำเรื่องนี้ได้ ให้เสนาอวี๋ไปทำดีกว่า พอเกี่ยวข้องกับเงินทองก็ราวกับฉีดเลือดไก่เข้าไปกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
เสนาบดีกรมคลังยินดีไปลองหยั่งเชิงอ๋องเป่ารื่อ แต่ทว่าก็ทำสีหน้าลำบากใจกล่าวว่า “กระหม่อมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องน้ำตาลทรายขาวนัก…”
ซินโย่วเอ่ยว่า “หม่อมฉันไปติดต่อกับอ๋องเป่ารื่อร่วมกับเสนาบดีอวี๋ได้เพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ปฏิเสธอย่างไม่ลังเลทันที “ไม่จำเป็น ต้นทุนกับวิธีการไม่จำเป็นต้องพูดกับพวกเขามาก หลักๆ ก็คือน้ำตาลทรายขาวแลกม้าศึกเท่าไร ขั้นต่ำสุดเราได้บอกไปแล้ว อีกเรื่องก็คือจำนวนน้ำตาลทรายขาวที่พวกเราผลิตได้ในสองเดือนนี้”
กล่าวถึงตรงนี้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรมองซินโย่ว
ในเมื่อซินโย่วนำน้ำตาลทรายขาวเข้าวัง ในใจก็คงมีแผนไว้แล้ว รีบทูลว่า “หากราบรื่นก็จะได้หนึ่งหมื่นชั่งเพคะ”
บรรดาขุนนางคิดแล้วก็รู้สึกผิดหวัง เช่นนั้นก็จะแลกม้าศึกได้ไม่มาก
ซินโย่วเห็นสีหน้าของทุกคน ก็กล่าวต่อว่า “น้ำตาลทรายขาวไม่เหมือนธัญญาหาร ซีหลิงกินครั้งเดียวไม่ได้มาก แต่ทว่าที่เหลือ พวกเราขายในต้าซย่าได้ เงินที่ได้มาก็นำมาซื้อม้าศึก นับว่าใช้เงินตามเป้าหมาย อีกอย่าง ซีหลิงมีความต้องการน้ำตาลทรายขาวแต่ละครั้งไม่มาก แต่ทว่าน้ำตาลอย่างไรก็ต้องกินหมดไป นี่คือการค้าที่ยาวนาน…”
จังหวะการพูดของสาวน้อย น้ำเสียงราวกับไข่มุกกระทบกระเบื้องใสกังวาน ยามพูดคุยไปเรื่อยๆ เช่นนี้ แม้แต่คนที่ไม่พอใจนางก็ยังรู้สึกว่ายอมรับฟังได้
พอนางกล่าวจบ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ทรงพระสรวลเสียงดังขึ้น “ตกลงตามนี้ ซินไต้จ้าวคิดได้รอบคอบมาก” กล่าวถึงตรงนี้ไม่ลืมกำชับ “เรื่องไปเจรจากับอ๋องเป่ารื่อ ให้เสนาบดีอวี๋ออกหน้าดีกว่า”
ซินโย่วรับคำ
เสนาบดีกรมคลังนำขวดกระเบื้องใบเล็กใส่น้ำตาลทรายขาวไปพบอ๋องเป่ารื่อ
พรุ่งนี้ราชทูตซีหลิงส่วนใหญ่ก็จะกลับไปแล้ว อ๋องเป่ารื่อไม่ได้ไปที่ใดอีก อยู่แต่ในที่พักเขียนจดหมายทูลราชาซีหลิง
รับภารกิจสำคัญเช่นราชทูตเอกได้ ความสัมพันธ์พี่น้องย่อมไม่เลวอย่างมาก อ๋องเป่ารื่อคิดว่าจำเป็นต้องบอกกล่าวสาเหตุที่ตนเองต้องการอยู่ต่อกับพี่ชาย พี่ชายจะได้ไม่โมโหเขา
ยามนี้บ่าวเข้ามารายงานว่าเสนาบดีกรมคลังต้าซย่ามาขอพบ
อ๋องเป่ารื่อคิดแล้ว สมองก็เริ่มมีภาพจำหนึ่งผุดขึ้นมา
อยู่ต้าซย่ามาหลายวัน เขาตั้งใจจดจำขุนนางระดับสูงเหล่านี้ไว้
“ราชทูต รบกวนแล้ว”
อ๋องเป่ารื่อรีบทูล “ข้าเป็นแขกมาเยือน เป็นข้าที่มารบกวนจึงจะถูก”
ทักทายกันเสร็จ เสนาบดีกรมคลังก็ทำท่ามีเลศนัยควักเอาขวดกระเบื้องใบเล็กขนาดเท่าหัวแม่มือออกมา
อ๋องเป่ารื่อนอกจากงุนงงแล้ว ก็ยังรู้สึกว่าแคว้นต้าซย่าต่างจากพวกเขาจริง ดูขวดกระเบื้องงานประณีตใบนี้สิ
“ฮ่องเต้ของเราเป็นบิดาที่เมตตา ตัดพระทัยส่งองค์หญิงออกเรือนไปไกลไม่ได้ แต่คิดว่าราชทูตเดินทางมาไกล จะกลับไปมือเปล่าก็รู้สึกไม่ค่อยดี” เสนาบดีกรมคลังชี้ไปที่ขวดกระเบื้องใบเล็ก “นี่คือน้ำตาลทรายขาว ระดับเทพที่มีเฉพาะในต้าซย่าเรา ชื่อว่าน้ำตาลทรายขาว ทว่าแต่ไรมาไม่เคยขายในหมู่ชาวบ้าน วันนี้อยากให้ราชทูตได้ลองชิมดู”
อ๋องเป่ารื่อมองขวดกระเบื้องใบเล็กแล้วกระตุกมุมปากเล็กน้อย ในใจคิดว่าขวดกระเบื้องใบเล็กมากใบนี้ร่วงลงพื้นก็หาไม่พบ ใส่น้ำตาลให้เขาชิมหรือ
ถุย ต้าซย่าช่าง ‘ใจกว้าง’ เกินไปแล้ว เป็นของมีค่าเพียงนี้จริงหรือ
“เช่นนั้นข้าขอชิมดูหน่อย” อ๋องเป่ารื่อรับขวดกระเบื้องใบเล็กไปเปิดออกเทใส่ฝ่ามือ
น้ำตาลดุจเกล็ดหิมะโปรยลงบนกลางฝ่ามือทำให้อ๋องเป่ารื่อตกใจมาก “นี่คือน้ำตาล?”
ซีหลิงพวกเขาจะเลือกซื้อน้ำตาลจากชายแดนต้าซย่า น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลข้าว พวกเขาเคยกินมาหมด แต่ไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน
ได้ยินว่าต้าซย่ามีผลผลิตพิเศษอีกหนึ่งอย่าง ก็คือสารหนู…
ความคิดอ๋องเป่ารื่อล่องลอยไปไกลครู่หนึ่ง ก่อนใช้นิ้วมือจิ้มน้ำตาลทรายขาวเข้าปาก