สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 386 น้ำตาลทรายขาวระดับเทพ
ตอนที่ 386 น้ำตาลทรายขาวระดับเทพ
……….
ฮ่องเต้ย่อมไม่อาจเสวยของที่นำมาจากภายนอก แต่ทว่าซินโย่วเป็นคนเสนอ ไม่ทันรอให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แสดงท่าที ซุนเหยียนก็รีบเอ่ยว่า “บ่าวลองเองพ่ะย่ะค่ะ ให้บ่าวได้เปิดโลกทัศน์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ซุนเหยียนมองเกล็ดหิมะสีขาวในถ้วยตะไลอย่างไรก็ไม่กล้าคิดว่าคือน้ำตาลทรายขาว ที่กล่าวว่าอยากเปิดโลกทัศน์ก็ไม่นับว่าพูดไม่ตรงกับใจ แต่ทว่าสิ่งสำคัญยิ่งกว่าก็คือคิดทดสอบยาพิษให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก่อน
ซินโย่วย่อมไม่ห้าม
ซุนเหยียนยกนิ้วชี้จิ้มไปที่ริมกองเกล็ดหิมะในถ้วยตะไล แตะเล็กน้อยเข้าปาก
พอลิ้นสัมผัสกับเกล็ดสีขาว ความหวานเจือชื่นละมุน
รสชาติต่างจากน้ำตาลทรายขาวที่เคยกินมาอย่างสิ้นเชิง!
ต้าซย่าผลิตน้ำตาลทรายขาวได้ แต่กินแล้วรสหวานไม่พอ น้ำตาลทรายขาวต่างแดนรสชาติกับสีดีกว่าเล็กน้อย ทว่าคนทั่วไปกินไม่ไหวไม่ว่า แต่เทียบกับความหวานสดชื่นเมื่อครู่ไม่ได้ ส่วนน้ำตาลทรายแดง รสหวานเข้มมีรสขมปน ก็มิจำเป็นต้องเอ่ยถึง
นี่ถึงกับเป็นน้ำตาลจริงๆ!
ซุนเหยียนมองดูน้ำตาลขาวราวหิมะในถ้วยตะไล แววตาตื่นตระหนกผสมตื่นเต้น
ยากจะจินตนาการเสียจริง น้ำตาลคุณภาพระดับนี้ เขาได้ชิมเป็นคนแรก!
“แค็กๆ” ไม่ทันรอให้ซุนเหยียนเอ่ยอันใด ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็กระแอมไอทีหนึ่ง
ซุนเหยียนพลันมองกลับด้วยสีหน้าตื่นเต้น “ฝ่าบาท เป็นน้ำตาลจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ และยังเป็นน้ำตาลหวานละมุนหาใดเทียมพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ยินก็ยื่นพระหัตถ์ออกมาทันที
ซุนเหยียนรีบทูล “ฝ่าบาทรออีกสักครู่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เหลือบพระเนตรมองเขาทีหนึ่ง “อาโย่วไม่ใช่คนนอก ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
ซุนเหยียนถอยออกอย่างไม่ค่อยเต็มใจ ซินโย่วกลับส่งเสียงห้าม “ฝ่าบาทรออีกสักครู่ดีกว่าเพคะ ทำตามธรรมเนียมไม่มีอันใดไม่ดี”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เห็นนางไม่ถือสาก็พยักพระพักตร์
“ไยต้องยุ่งยากเพียงนี้” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยื่นพระหัตถ์ออกไปแตะน้ำตาลเข้าพระโอษฐ์
พอน้ำตาลเข้าพระโอษฐ์ แววพระเนตรฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ส่องประกาย
หลังจากได้สัมผัสความรู้สึกเช่นเดียวกับซุนเหยียนแล้ว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ตรัสถามว่า “เหตุใดน้ำตาลนี้หวานเพียงนี้”
คำถามนี้ซินโย่วตอบไม่ได้
ใช้วิธีการที่ท่านแม่สอนจึงได้น้ำตาลทรายขาวออกมาเช่นนี้ ท่านแม่ยังบอกว่า วิธีการนี้นางเรียนรู้มาจากตำราที่บ้านเกิดของนาง มิใช่นางคิดค้นเอง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้อดชิมอีกคำไม่ได้ “น้ำตาลทรายขาวนี้ต้นทุนเท่าไร”
ซินโย่วไม่กล้าถามกลับ “ฝ่าบาทคิดว่าน้ำตาลทรายขาวนี้กำหนดราคาเท่าไรดีเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้หวนรำลึกรสชาติน้ำตาลทรายขาว คิดแล้วก็ตรัสว่า “น้ำตาลทรายขาวคุณภาพระดับนี้ เราคิดว่าหนึ่งชั่งอย่างน้อยก็ต้องหนึ่งตำลึง”
ซุนเหยียนแอบทอดถอนใจ นี่ช่างเป็นตัวกินเงินทองเสียจริง
แต่ก็ได้แต่ทอดถอนใจ หากให้เขากำหนด เขากล้ากำหนดสูงยิ่งกว่านี้
น้ำตาลทรายขาวระดับเทพนี้ เดิมไม่ใช่ของที่ราษฎรจะได้ลิ้มรส บรรดาขุนนางและชนชั้นสูงยังยอมเสียเงินพันตำลึงทองเพื่อนางโลมสักคนได้ เรื่องอร่อยลิ้นเช่นนี้ย่อมไม่เสียดาย
“อาโย่ว น้ำตาลทรายขาวนี้ต้นทุนเท่าไร ทำอย่างไร” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ใส่พระทัยเรื่องนี้ที่สุด
ซินโย่วกวาดตามองโดยรอบทีหนึ่ง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้โบกพระหัตถ์ นอกจากซุนเหยียน ให้ทุกคนถอยออกไป
ซินโย่วจึงได้ทูลว่า “น้ำตาลทรายขาวนี้มาจากการสกัดสีของน้ำตาลทรายแดงออก น้ำตาลทรายแดงสี่ชั่งได้น้ำตาลทรายขาวนี้หนึ่งชั่ง และน้ำตาลที่เทียบกับน้ำตาลทรายขาวตอนนี้อีกสองชั่ง…”
ตอนนี้น้ำตาลทรายขาวในตลาด หากเทียบสี เรียกว่าน้ำตาลเหลืองจะเหมาะกว่า ห่างไกลจากคำว่า ‘ขาว’ มากนัก
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ลุกขึ้นยืนด้วยความตกพระทัย “น้ำตาลทรายแดงสี่ชั่งก็จะได้น้ำตาลทรายขาวเช่นนี้หนึ่งชั่ง?”
น้ำตาลทรายแดงหนึ่งชั่งไม่ถึงห้าสิบเหรียญทองแดง น้ำตาลทรายแดงสองร้อยเหรียญทองแดงได้น้ำตาลทรายขาวมาคิดราคาหนึ่งตำลึง กำไรมหาศาล นับประสาอันใดกับยังเหลือน้ำตาลทรายขาวแบบทั่วไปอีก ใช่ว่าเป็นการค้าที่ทำกำไรไร้ต้นทุนหรือนี่!
“นี่ วิธีการผลิตน้ำตาลนี่…” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เสด็จวนไปมาอย่างตื่นเต้น สายพระเนตรจับจ้องมองใบหน้าซินโย่วอย่างดีพระทัย
ซินโย่วตอบน้ำเสียงสงบนิ่ง “น้ำตาลทรายขาวเช่นนี้ออกสู่ตลาดครั้งแรกย่อมเป็นสินค้าหายาก แต่พอวันหน้าวิธีการผลิตน้ำตาลเป็นที่รู้กันทั่วไป พอเพิ่มการผลิต ราคาก็ตกลงแล้วเพคะ”
แววพระเนตรฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เยียบเย็น
เขายังคิดว่าจะใช้น้ำตาลทรายขาวไร้ต้นทุนมาแลกม้าศึก วิธีการผลิตน้ำตาลนี้จำต้องเก็บเป็นความลับให้สนิท!
“อาโย่ว มีผู้ใดรู้วิธีผลิตน้ำตาลอีกไหม”
“ท่านแม่เรียนรู้มาจากตำราเล่มหนึ่งที่บ้านเกิดและสอนหม่อมฉันเพคะ ตอนนี้น่าจะมีเพียงหม่อมฉันรู้คนเดียวเพคะ แต่ทว่าหากคิดผลิตน้ำตาลทรายขาว จำเป็นต้องสร้างโรงผลิตน้ำตาล รับคนงานผลิตน้ำตาล ไม่นานคนก็รู้วิธีการทำน้ำตาลเหล่านี้กันแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เป็นคนฉลาด ตั้งสติได้ทันที “วิธีการผลิตน้ำตาลนี้ไม่ยาก?”
ซินโย่วพยักหน้า “ถึงกับง่ายมากเพคะ วันหน้าค่อยๆ แพร่ออกไปเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงเพคะ”
สำหรับผลที่ว่าจะแพร่ออกไป ซินโย่วไม่ใส่ใจ ท่านแม่เคยบอกนางไว้นานแล้ว ของใหม่ปรากฏขึ้น ผู้ที่มักจะได้เสพก่อนมักเป็นชนชั้นสูงศักดิ์ แต่ทว่าย่อมมีสักวันที่คนส่วนใหญ่ก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วย นี่เป็นเรื่องดี
แม้ว่าตอนนี้น้ำตาลทรายขาวไม่ใช่ของที่ชาวบ้านทั่วไปจะกินกันได้ แต่ทว่าใช้น้ำตาลทรายขาวมาแลกม้าศึกให้แคว้นต้าซย่าได้ รักษาความสงบสุขให้แผ่นดินได้ ย่อมเป็นผลดีต่อราษฎร
ยอมเป็นสุนัขในยุคสงบสุข ก็มิยินดีเป็นคนในยุคจลาจล คำพูดนี้มิใช่คำพูดที่กล่าวกันเล่นๆ
ได้ยินซินโย่วเอ่ยถึงฮองเฮาซิน พระทัยฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็เฝื่อนขม ระงับพระอารมณ์ที่ผุดขึ้นมาตรัสถามว่า “เปลี่ยนน้ำตาลทรายแดงเป็นน้ำตาลทรายขาว ต้องใช้เวลาประมาณเท่าไร”
“เพราะทำเพียงเล็กน้อย หม่อมฉันใช้วิธีการลัด ไม่ถึงสองวัน แต่หากผลิตจำนวนมากเพื่อให้เพียงพอกับการแลกเปลี่ยน เช่นนี้ก็ต้องหนึ่งถึงสองเดือนเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ฟังก็รีบตรัสถามว่า “มีแค่ขวดนี้ขวดเดียวหรือ”
“น้ำตาลในขวดนี้นำมาให้ฝ่าบาทลองชิมดูเท่านั้นเพคะ ยังมีอีกกระปุก น่าจะราวสามเหลี่ยง[1]”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วก็เอ่ยชื่อขุนนางใหญ่สองสามคนขึ้นมา ให้ขันทีรีบไปตามเข้าวังมาหารือ
ขุนนางใหญ่สองสามคนกลับถึงที่ทำการก้นยังไม่ทันนั่งให้ร้อน ก็ต้องรีบเข้าวังมาอีก
ที่ทำการเหล่านี้มักใกล้กัน หลายคนพบกันระหว่างทาง ก็ยิ่งแปลกใจอยากรู้ว่าฮ่องเต้เรียกพวกเขาเข้าเฝ้าอีกครั้งด้วยเหตุใด
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
พอทุกคนมากันครบ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ส่งสัญญาณให้ซุนเหยียน
น้ำตาลในขวดกระเบื้องใบเล็กถูกแบ่งออกเป็นถ้วยตะไลขนาดเท่าถ้วยตะไลใส่น้ำส้มสายชูดำ
ซุนเหยียนยกถาดไปวางตรงหน้าทุกคนด้วยตนเอง แบ่งให้คนละหนึ่งถ้วยตะไล
ยามนี้สีหน้าบรรดาขุนนางซีดเผือด
โดยเฉพาะเสนาบดีกรมพิธีการ รู้ว่าระยะนี้ตนเองไม่ค่อยเป็นที่พอพระทัยของฮ่องเต้ ได้แต่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากสหายขุนนางด้วยกัน
ผู้ใดบอกเขาได้บ้างว่า สารหนูขาวเช่นนี้ไหม
เห็นปฏิกิริยาของบรรดาขุนนางใหญ่ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ทรงพระสรวลเบาๆ ตรัสว่า “ขุนนางทุกท่านคาดเดาอันใดกัน”
ทุกคนพากันสบตากันไปมา
แค็ก ๆ เรียกว่าสารหนูคงไม่เหมาะ
“น้ำตาล?” เสนาบดีกรมคลังหลุดคำคาดเดาออกมา
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตบพระหัตถ์ “ไม่เสียทีที่เป็น ‘ขุนคลัง’ ของเรา!”
เสนาบดีกรมคลัง “?”
คนอื่นๆ “…” เห็นชัดว่าเดามั่วแล้วถูกขึ้นมาดังแมวจับหนูตายได้!
จากนั้นทุกคนก็ไม่สนใจความอิจฉาที่ฮ่องเต้เอ่ยชมเสนาบดีกรมคลัง พากันจ้องมองเจ้าสิ่งที่เหมือนเกล็ดหิมะในถ้วยตะไล
นี่คือน้ำตาล? แม้เป็นน้ำตาลทรายขาวต่างแดนก็มิได้ขาวเช่นนี้ไหม
“ขุนนางทุกท่านลองชิมดู”
ฮ่องเต้รับสั่ง แม้เป็นสารหนูก็ต้องชิม บรรดาขุนนางตัดใจใช้นิ้วจิ้มไปชิมดู สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน
ฮ่องเต้ไม่ได้หลอกพวกเขา น้ำตาลจริงแท้!
“เหตุใดน้ำตาลนี่จึงหวานละมุนได้เช่นนี้” เสนาบดีกรมคลังถามคำถามที่เมื่อครู่ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ถามซินโย่วอย่างตื่นเต้น
ยามนี้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กลับคืนสู่ความสุขุมนิ่งดังเดิมแล้ว หรืออาจกล่าวได้ว่าไฟลุกโชนในพระทัยถูกเปลือกภายนอกหุ้มไว้ “น้ำตาลนี้ชื่อว่าน้ำตาลทรายขาว ซินไต้จ้าวเป็นคนทำ”
[1] มาตราชั่งน้ำหนักของจีน 1 ชั่ง (จิน) เท่ากับครึ่งกิโลกรัม หรือ 500 กรัม 1 เหลี่ยง เท่ากับ 50 กรัม