สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 385 เกล็ดหิมะ
ตอนที่ 385 เกล็ดหิมะ
……….
แต่ไรมายามอยู่ต่อหน้าบรรดาขุนนางฮ่องเต้ซิงหยวนตี้จะดำรงท่าทีน่าเกรงขาม มิค่อยได้เห็นภาพนิ่งอึ้งไปเช่นนี้
‘อยู่ต่อที่นี่’ หมายความว่าอย่างไร
คิดถึงว่าวันๆ เขาเอาแต่ลอยหน้าลอยตาต่อหน้าอาโย่ว กล่อมจนนางมีใจปฏิพัทธ์ บีบให้เขาจำต้องรับปากหรือ หรือว่า…แต่งเข้าตระกูลฝ่ายหญิง?
หากเป็นประการแรก เขาไม่มีทางเปิดโอกาสให้เขาได้พูด หากเป็นประการหลัง…เป็นถึงอ๋องซีหลิงจะมาแต่งเข้าตระกูลฝ่ายหญิง?
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คิดว่าเป็นเรื่องเหลวไหลสิ้นดี นอกจากความเหลวไหลแล้วก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้น หากเป็นเช่นนี้ ขอเพียงอาโย่วชอบเขาไม่ใช่ว่าไม่อาจพิจารณา
เห็นฮ่องเต้ตนเงียบงันไปนานเกินไป เสนาบดีกรมพิธีการก็กระแอมไอขึ้นทีหนึ่ง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตั้งพระสติได้ พระเนตรจ้องมองอ๋องเป่ารื่ออย่างพระเนตรสับสน “ราชทูตชอบที่นี่ เช่นนั้นก็พักต่อให้นานอีกสักระยะ”
อ๋องเป่ารื่อได้ยินคำตอบไม่กระจ่างชัดก็รู้สึกผิดหวังอยู่ไม่น้อย
เขายินดีใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แล้ว แม้ที่ซีหลิงจะไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ แต่ทว่าตามประเพณีแคว้นต้าซย่าแล้ว เรียกว่าการแต่งเขยเข้าตระกูล ฮ่องเต้ต้าซย่าถึงกับไม่ยอมรับปากอีก
แต่ก็มิได้คัดค้านเปิดเผย ดีกว่าเมื่อวานมาก
พอคิดเช่นนี้ อ๋องเป่ารื่อก็ขอบพระทัยอย่างดีใจ ในใจคิดว่าอย่างไรก็ยังอยู่ต่อได้ โอกาสยังมีอีกมาก
รออ๋องเป่ารื่อและราชทูตซีหลิงออกไปแล้ว ในท้องพระโรงพลันเกิดปรากฏการณ์ชะงักงันไปชั่วขณะ
บรรดาขุนนางใหญ่แอบส่งสายตากันไปมา ผู้ใดล้วนไม่กล้าส่งเสียง
ในบรรดาขุนนาง หัวหน้าเซี่ยเป็นคนที่ตกใจที่สุด
ที่แท้อ๋องเป่ารื่อไม่ได้คิดมาหาเรื่องซินไต้จ้าว แต่เป็น ‘หนุ่มน้อยมีใจชื่นชมปฏิพัทธ์ บัณฑิตหมายปองหญิงงาม’
คิดไปคิดมา หัวหน้าเซี่ยก็แอบคิดว่าไม่อาจบรรยายด้วยสองวรรคนี้ได้ ควรเปลี่ยนเป็นว่า ‘หลงใหลความงามคิดหมายปอง’ จะเหมาะสมกว่า
“หารืองานกันต่อ” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ขยี้พระขนงคลายความหนักพระทัย รับสั่งให้ขันทีตามซินโย่วเข้าวัง
ซินโย่วมาถึง ก็หารือราชกิจใกล้จบแล้ว
บรรดาขุนนางหันขวับไปมองนาง พากันคิดเรื่องเดียวกันอย่างมิได้นัดหมาย ซินโย่วจะรู้เรื่องอ๋องเป่ารื่อ ไม่ยอมกลับไปไหม
ยามนี้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสขึ้นว่า “ขุนนางทุกท่านออกไปได้แล้ว”
บรรดาขุนนาง “…” ปกติพวกเขาหารือราชกิจก็ให้ซินโย่วอยู่ด้วยได้ ตอนนี้กลับขับไล่พวกเขาไป!
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้คร้านจะสนใจพวกขุนนางที่ทำท่ารีรอไปมา รอจนเหลือเพียงแค่ซินโย่ว ก็เรียกนางมาใกล้ๆ
“อาโย่ว นั่งสิ”
ซินโย่วนั่งลง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรสาวน้อยงดงามนั่งเรียบร้อยตรงหน้า พลันพบข้อดีของอ๋องเป่ารื่อข้อหนึ่ง เรื่องอื่นไม่ว่า แต่สายตาเฉียบคมไม่เลว
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไตร่ตรองครู่หนึ่งก็ตัดสินพระทัยตรัสตรงไปตรงมา “เมื่อวานอ๋องเป่ารื่อเข้าวังมาขอหมั้นหมายเจ้ากับเรา”
ซินโย่วนิ่งอึ้งไปทันที
นางคิดว่าอ๋องเป่ารื่อเข้าใจท่าทีนางและปล่อยวางเรื่องนี้แล้ว อย่างไรก็เป็นเพียงแต่ ‘หลงใหลความงามคิดหมายปอง’ ไหนเลยจะมีความรักผูกพันลึกซึ้งให้เอ่ยถึง
หืม คล้ายว่าตอนนางพบใต้เท้าเฮ่อครั้งแรก นางก็คิดว่ารูปงามจึงได้รู้สึกดี แต่ทว่าไม่ส่งผลต่อตอนเข้าใจผิดจึงคิดสังหารเขาในทันที
“อาโย่ว เหตุใดไม่ถามท่าทีเรา”
ซินโย่วเหลือบตาขึ้นทูลน้ำเสียงสงบนิ่ง “ฝ่าบาทน่าจะไม่ทรงรับปากเพคะ”
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่ามีความผูกพันในฐานะบิดากับนางไม่น้อย แต่เพียงแค่เรื่องที่นางเรียนรู้จากท่านแม่ หากผู้ปกครองแผ่นดินยินดีให้นางแต่งไปต่างแดน ก็นับว่าเสียสติแล้ว
ซินโย่วมีความมั่นใจเรื่องนี้ ดังนั้นก่อนหน้านี้พระสนมลี่ผินมาขอร้องนาง นางจึงกล้าพูดแทนองค์หญิงเสวียนโดยไม่กังวลว่าไฟจะลามมาถึงตนเอง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แย้มสรวล “เราปฏิเสธไปจริงๆ เมื่อครู่เชิญอ๋องเป่ารื่อเข้าวังก็เพื่อปฏิเสธการขออภิเษกเชื่อมไมตรีของราชาซีหลิง พรุ่งนี้ราชทูตซีหลิงก็จะเดินทางกลับแล้ว แต่ทว่าอ๋องเป่ารื่อจะอยู่ต่อ เราดูท่าทีของเขาแล้ว ยังคงไม่ปล่อยวางจากเจ้า”
เดิมผู้เป็นบิดาเอ่ยเรื่องเช่นนี้กับบุตรสาวมิอาจไม่รู้สึกขัดเขิน แต่ทว่าซินโย่วแสดงท่าทีเปิดเผยไร้พิรุธใด ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้จึงมิได้รู้สึกดังนั้น คล้ายว่าคุยเรื่องปกติทั่วไป
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสกระจ่างแล้ว ต้องการเตือนสติซินโย่วว่าอย่าได้ถูกอ๋องเป่ารื่อหลอกไปซีหลิง ทว่าส่วนที่ซินโย่วใส่ใจกลับไม่ใช่เรื่องของตนเอง “ฝ่าบาทปฏิเสธการสขออภิเษกเชื่อมไมตรีของราชาซีหลิง?
“อืม เราคิดแล้วว่าคงไม่มีเรื่องดีงามโดยไม่ต้องเสียอันใด”
หากซีหลิงคิดเข้าแย่งชิง พวกเขาก็คงไม่รอจนถึงตอนนี้ค่อยมาแย่ง แต่ใช้ของมาแลก สองฝ่ายกล่าวว่าต่างมีชัย ความจริงเท่ากับผู้ใดล้วนไม่ได้เปรียบ วันหน้าต้องการม้าศึกเร่งด่วนก็แลกได้ ตอนนี้ไม่ได้ต้องการมาก
แล้วไปเถอะ
ซินโย่วกลับเอ่ยว่า “วันนั้นฝ่าบาทให้ทุกคนคิดหาวิธี หม่อมฉันคิดหลายวิธี ก็พอมีวิธีอยู่บ้างเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แววพระเนตรส่องประกาย “ลองว่ามา”
“ชาวซีหลิงดุร้าย แคว้นต้าซย่ายังมีศัตรูเช่นเป่ยหนิง ใช้วิธีการให้ได้มาซึ่งม้าศึกอาจได้ไม่เท่าเสีย หม่อมฉันคิดว่า ไม่สู้ลองใช้ของแลกของดูเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยังคงตั้งพระทัยรับฟัง พอซินโย่วเอ่ยถึง ‘ของแลกของ’ ก็อดเผยสีหน้าผิดหวังไม่ได้
ผ้าไหมกับใบชาและงานฝีมือประณีต ของพวกนี้ซีหลิงชอบแลกเปลี่ยนกับต้าซย่า แต่ก็ดังที่เขาคิด ราคาเท่าเทียมแลกเปลี่ยนใช่ว่าไม่ได้ แต่ไม่น่าสนใจ
กล่าวตามตรงก็คือ เขาคิดเอาเปรียบ
คล้ายคาดเดาความคิดของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ ซินโย่วเอ่ยว่า “ทั่วไปใช้ของธรรมดาแลกเปลี่ยน ย่อมไม่คุ้มค่า แต่หากพวกเราใช้ของที่จะแลกต้นทุนต่ำกว่า แต่อีกฝ่ายยอมรับได้เล่าเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้นิ่งอึ้งไปก่อนรีบตรัสถามว่า “ของอันใดดีเพียงนี้”
หากเขารู้ เขาไม่แลกไปนานแล้วหรือ
ยามนี้พระทัยฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มีแต่ความอยากรู้และไม่เชื่อ
ในฐานะฮ่องเต้ที่หมั่นเพียรการบ้านการเมืองและรู้สภาพชีวิตชาวบ้าน ในพระทัยฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รู้ดีว่าแผ่นดินเพื่อนบ้านสนใจสินค้าใดของต้าซย่า
ซินโย่วเอ่ยออกมาคำหนึ่ง “น้ำตาล”
“น้ำตาล?” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สายพระเนตรเปลี่ยนจากอยากรู้เป็นผิดหวัง แย้มสรวลส่ายพระพักตร์ “สำหรับซีหลิงแล้ว น้ำตาลต้าซย่าเราเป็นของล้ำค่าหายากจริง แต่ทว่าจะแลกเปลี่ยนอย่างไรก็ล้วนมีอัตรากำหนดไว้…”
ยังคงเป็นคำเดิม ได้เปรียบไม่มากเท่าไร
“ฝ่าบาททรงทราบไหมว่าราคาน้ำตาลเป็นอย่างไร” ซินโย่วไม่ได้ร้อนใจกับการปฏิเสธของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ แต่ซักถามอย่างใจเย็น
นางเช่นนี้ทำให้คนรู้สึกได้ว่ายากจะปฏิบัติต่อนางดังสาวน้อยไม่รู้ความ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรมองมหาขันทีซุนเหยียน
น้ำตาลราคาเท่าไร เขาพอรู้ แต่ไม่ค่อยแม่นยำนัก
ซุนเหยียนดำรงตำแหน่งในวันนี้ได้ ย่อมไม่ธรรมดา เห็นชัดว่าปัญหานี้ไม่เกี่ยวกับงานของเขาแม้แต่น้อย แต่กลับตอบได้ทันที “น้ำตาลแบ่งออกเป็นหลายประเภท มีน้ำตาลทรายขาว แยกเป็นน้ำตาลจากต่างแดนนำข้ามน้ำข้ามทะเลมาและน้ำตาลในต้าซย่าเราเอา น้ำตาลต่างแดนราคาแพงมาก น้ำตาลเราเองคุณภาพด้อยกว่าเล็กน้อย หนึ่งชั่งราคาราวสองร้อยเหรียญทองแดง น้ำตาลทรายแดงหนึ่งชั่งราวห้าสิบเหรียญทองแดง ส่วนน้ำตาลข้าว[1]ก็ค่อนข้างถูก”
ยังไม่ต้องเอ่ยถึงราคาน้ำตาลข้าวที่ถูกกว่ามาก ม้าศึกซีหนิงตามหลักหากขายให้ต้าซย่าราคาพิเศษ ม้าศึกตัวหนึ่งก็สิบห้าตำลึง ต้องใช้น้ำตาลทรายขาวน้ำตาลทรายแดงไปแลกมากมายเพียงใด
หากใช้น้ำตาลทรายแดงปริมาณมากไปแลก ไยมิใช้ผ้าไหม?
แม้แต่ซุนเหยียนเองก็คิดว่าข้อเสนอซินโย่วใช้ไม่ได้
ซินโย่วก้มศีรษะ ควักกระปุกกระเบื้องใบเล็กใบหนึ่งออกจากถุงเงินที่แขวนอยู่ที่เอว
“รบกวนซุนกงกงนำถ้วยตะไลสะอาดมาใบหนึ่ง”
ซุนเหยียนรีบสั่งการให้ขันทีหนึ่งไปนำมา
ไม่นานขันทีก็นำถ้วยตะไลกระเบื้องกลับมา
ซินโย่วเปิดกระปุกกระเบื้อง เทเกล็ดสีขาวบริสุทธิ์ราวเกล็ดหิมะออกมา
“นี่คืออันใด” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรเกล็ดหิมะในถ้วยตะไลพลางตรัสถามอย่างอยากรู้
“คือน้ำตาลทรายขาว”
“เป็นไปไม่ได้!” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้จ้องมองสิ่งของลักษณะเหมือนเกล็ดหิมะ “น้ำตาลทรายขาวมิใช่สีนี้”
แม้เป็นน้ำตาลทรายขาวคุณภาพดีที่สุดที่นำข้ามทะเลมา ก็ยังมีสีน้ำตาลอ่อน ไหนเลยขาวบริสุทธิ์ราวหิมะเช่นนี้
“ฝ่าบาททรงลองชิมดูได้เพคะ”
[1] หมายถึงอี๋ถังหรือน้ำตาลข้าวมอลต์ มีสีน้ำตาลอ่อน