สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 381 ตำหนิรุนแรง
ตอนที่ 381 ตำหนิรุนแรง
……….
ขันทีหมอบอยู่บนพื้น เอ่ยอย่างนอบน้อม “คุณหนูซิน บ่าวเป็นคนของพระสนมลี่ผิน ส่งมาขอร้องคุณหนู ตอนอยู่ในวังพระสนมไม่อาจมีโอกาสได้คุยกับคุณหนู ได้แต่ส่งบ่าวมาพบคุณหนู”
“พระสนมลี่ผินหมายถึงเรื่องทูตจากซีหลิงหรือ” ซินโย่วถามตรงประเด็นทันที
ขันทีคาดไม่ถึงว่าซินโย่วตรงไปตรงมาเช่นนี้ สีหน้าตกใจอยู่ไม่น้อย
ซินโย่วนิ่งรอขันทีเอ่ยต่อ
แม้นางไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงวันนั้น แต่ข่าวซีหลิงนำม้าศึกห้าพันตัวมาเป็นของอภิเษกองค์หญิงแคว้นต้าซย่าแพร่ไปทั่วนานแล้ว
ตอนนี้ดูท่าแล้ว พระสนมลี่ผินกับองค์หญิงเสวียนไม่เต็มใจ
“องค์หญิงเสวียนสุขภาพอ่อนแอ หากไปสถานที่ประเพณีดุดัน สิ่งแวดล้อมเลวร้ายเช่นซีหลิง สุขภาพจะต้องทนรับไม่ได้อย่างแน่นอน พระสนมมีองค์หญิงเสวียนเพียงพระองค์เดียว หากองค์หญิงเสวียนเกิดเหตุอันใด พระสนมก็ไม่อาจมีชีวิตต่อไปได้”
ขันทีโขกศีรษะอีกทีหนึ่ง “พระสนมไร้หนทาง ได้แต่มาขอร้องคุณหนูซิน หากคุณหนูเอ่ยแทนองค์หญิงเสวียนต่อหน้าพระพักตร์ได้ พระสนมกับองค์หญิงเสวียนจะขอจดจำพระคุณของคุณหนูไว้ชั่วชีวิต”
“เจิ้งกงกงลุกขึ้นพูดเถิด”
ขันทีลุกขึ้นยืนก่อนจะก้มศีรษะคำนับ
เงียบงันไปนาน ก่อนซินโย่วจะเอ่ยขึ้นว่า “พระสนมลี่ผินให้ค่าข้ามากเกินไปแล้ว เรื่องใหญ่เพียงนี้ เกรงว่าข้าคงไม่อาจกล่าวอันใดต่อเบื้องพระพักตร์ได้”
นางไม่ถือสาหากต้องช่วยองค์หญิงเสวียนพูดสักสองสามคำ แต่ทว่านางไม่คิดว่าคำพูดนางจะมีน้ำหนักในใจคนผู้นั้นเช่นนั้น
สองแผ่นดินเชื่อมไมตรี มิใช่เพียงแค่ผลประโยชน์ม้าศึกห้าพันตัว แต่ยังเป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงความสัพพันธ์สองแผ่นดิน ปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์สามแผ่นดิน
คนผู้นั้นคือบิดาและยังเป็นฮ่องเต้ สิ่งที่มีน้ำหนักแท้จริงเกรงว่ายังคงเป็นผลประโยชน์
ขันทีรีบทูล “ขอเพียงคุณหนูซินช่วยพูดแทนองค์หญิงเสวียนสักสองสามคำ ไม่ว่าผลเป็นเช่นไร พระสนมจะจดจำบุญคุณยิ่งใหญ่ของท่านไว้”
กล่าวถึงตรงนี้ น้ำเสียงขันทีก็สะอื้นไห้ “พระสนมคิดเพียงแค่พยายามอย่างเต็มที่ หากผลไม่เป็นดังหวัง ก็มิเสียใจ”
ซินโย่วหลุบตาลง ในสมองพลันมีภาพองค์หญิงเสวียนเรียบร้อยนิ่งสงบในงานเลี้ยงผุดขึ้นมา ทำให้นางคิดถึงโค่วชิงชิงในจวนรองเจ้ากรม
ชะตาชีวิตทำให้นางกับโค่วชิงชิงสลับตัวกัน พวกนางคนหนึ่งตาย คนหนึ่งรอด ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ องค์หญิงเสวียนแม้เป็นองค์หญิง แต่ยังคงไม่อาจบงการชะตากรรมของตนเองได้ ไม่ต่างอันใดกับโค่วชิงชิง
เช่นนั้นนางจะลองดูก็แล้วกัน
“ตกลง ข้ารับปาก”
ขันทีหันขวับไปมองซินโย่ว ไม่อยากเชื่อว่านางตกปากรับคำง่ายดายเพียงนี้
“ขอบคุณคุณหนูซิน ขอบคุณคุณหนูซิน!”
ขันทีกลับเข้าวัง กราบทูลพระสนมลี่ผินที่กำลังรอคอยอย่างร้อนใจว่า “พระสนม คุณหนูซินรับปากแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมลี่ผินน้ำตารื้นขึ้นมาทันที
พอองค์หญิงเสวียนได้ยินก็รู้สึกว้าวุ่นใจมาก “เสด็จแม่ เช่นนี้จะทำให้คุณหนูซินเดือดร้อนไปด้วยหรือไม่เพคะ”
พระสนมลี่ผินลูบศีรษะองค์หญิงเสวียนเบาๆ “เด็กโง่ คุณหนูซินในพระทัยเสด็จพ่อไม่เหมือนเจ้า เสด็จแม่ขอเห็นแก่ตัวเพื่อเจ้าสักครั้ง ไม่ว่าอย่างไร พวกเราจดจำความดีของคุณหนูซินเอาไว้ก็พอ”
วันต่อมา ซินโย่วก็เข้าวังในเวลาที่ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มักเรียกนางเข้าเฝ้า
ส่วนใหญ่เวลานี้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้จะจัดการราชกิจเสร็จและกำลังผ่อนคลาย เพียงแต่วันนี้ซินโย่วคาดผิด ตอนนางไปถึง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กำลังเรียกประชุมขุนนางหารือราชกิจ
กล่าวว่าราชกิจก็จะเคร่งเครียดเล็กน้อย ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เรียกบรรดาขุนนางใหญ่สองสามคนมา เพื่อสอบถามพวกเขาเกี่ยวกับความเห็นที่ราชาซีหลิงขออภิเษกองค์หญิงต้าซย่า
ได้ยินมหาขันทีซุนเหยียนบอกว่าซินโย่วมาขอเข้าเฝ้า ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรบรรดาขุนนางใหญ่ทีหนึ่ง
ขุนนางใหญ่หลายคนมองเขาเงียบๆ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พลันมีความคิดกบฏขึ้นมาในใจ อาโย่วไม่ควรรับฟัง?
แต่ไม่แน่ว่าอาโย่วอาจให้ความคิดเห็นที่เข้าทีกว่าพวกเขา
ขุนนางใหญ่หลายคนสบตากันไปมา ในใจก็ก่นด่าพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ดูเอาเถอะ ฮ่องเต้ให้ซินโย่วมาร่วมฟังดังคาด
ไม่นานซินโย่วเดินเข้ามาก็คุกเข่าถวายบังคม
“ลุกขึ้นได้” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แย้มสรวลอ่อนโยนให้ซินโย่ว “เมื่อครู่กำลังหารือเรื่องซีหลิง เจ้ามาฟังด้วย”
“เพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรไปยังบรรดาขุนนางใหญ่ แสดงท่าทีให้พวกเขาพูดต่อ
พอมีซินโย่วอยู่ด้วย ก็พลันไม่มีคนพูดจา สภาพการณ์วังเวงน่าประหลาด
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ขมวดพระขนง เอ่ยเรียกชื่อขึ้น “เสนาบดีซุน เราจำได้ว่าเมื่อครู่ท่านบอกว่าองค์หญิงพระองค์โตมีสถานะองค์หญิง ได้รับความเคารพจากราษฎร อภิเษกไปซีหลิง แลกม้าศึกห้าพันตัวให้แก่ต้าซย่าเราได้ ก็ได้ทำหน้าที่ขององค์หญิงแล้ว”
เสนาบดีกรมพิธีการหันไปมองซินโย่วด้วยสัญชาตญาณทีหนึ่ง
ระหว่างฮ่องเต้กับขุนนาง เพื่อผลประโยชน์ของแผ่นดิน พูดเรื่องพวกนี้ไม่เป็นอันใด แต่ทันทีที่มีซินโย่ว สถานะองค์หญิงแท้จริงมาร่วมด้วย ก็ไม่ค่อยกล้าพูดตามที่คิดมากนัก
เหตุใดฮ่องเต้จึงเอ่ยเรียกเพียงเขา
“หืม?”
เสนาบดีกรมพิธีการกระตุกวาบ รีบทูล “พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงเสวียนรู้ธรรมเนียมจรรยา หากองค์หญิงอภิเษกเชื่อมไมตรีย่อมต้องทำให้แคว้นต้าซย่าเรามีพันธมิตรเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง สร้างความผาสุกให้แก่ราษฎร ย่อมต้องเต็มพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
เขาตั้งใจทำเพื่อส่วนรวม มีวาจาอันใดไม่อาจกล่าว!
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรขุนนางใหญ่อื่นๆ ต่อ เห็นทุกคนล้วนนิ่งเงียบ ก็ตรัสเรียกเสนาบดีกรมคลัง
“กระหม่อมคิดว่าเสนาบดีซุนกล่าวได้ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ”
ม้าศึกห้าพันตัวเชียวนะ หากเลี้ยงเอง ต้องใช้เงินทองมากมายเท่าไร!
ขุนนางใหญ่คนอื่นๆ บ้างก็พากันเห็นด้วย บ้างก็เงียบงัน
สีพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ยากคาดเดา ส่งสายพระเนตรไปยังซินโย่ว “ซินไต้จ้าวคิดว่าอย่างไร”
ซินโย่วก้าวออกมากราบทูลถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันตำแหน่งต่ำต้อย วันนี้ออกความเห็นไป หากมีอันใดล่วงเกินใต้เท้าทุกท่าน จะมีความผิดหรือไม่เพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สีพระพักตร์เคร่งขรึม “หารือเป็นการภายใน พูดได้เต็มที่”
นี่คือข้อเสียของการที่อาโย่วไม่ได้กลับคืนสู่สถานะองค์หญิง หากอาโย่วรับพระราชทานตำแหน่งองค์หญิงซย่ากั๋ว ขุนนางคนใดเห็นนางแล้วจะกล้าไม่ให้ความเคารพ ล้วนต้องเรียกขานองค์หญิงอย่างนอบน้อม
เหตุใดอาโย่วไม่เต็มใจรับ
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้นึกเสียพระทัยพลางถอนพระปัสสาสะ
“ในเมื่อให้พูดได้เต็มที่ เช่นนั้นหม่อมฉันก็ขอพูดแล้ว” ซินโย่วมองไปทางเสนาบดีกรมพิธีการ
ในใจเสนาบดีกรมพิธีการคิดว่ามาแล้ว มาแล้ว เขาก็รู้ว่านังเด็กนี่ไม่มีปากเสียงกับพวกเขาย่อมรู้สึกไม่สบายตัว
แต่ว่าเกี่ยวอันใดกับนาง ก็มิใช่ให้นางแต่งไปซีหลิงเสียหน่อย
เสนาบดีกรมพิธีการตั้งสติออมแรงเอาไว้ เตรียมตัวโต้กลับพร้อมแล้ว
ซินโย่วมองเสนาบดีกรมพิธีการ เอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “หม่อมฉันคิดว่าที่เสนาบดีซุนเพิ่งกล่าวมาดังสุนัขผายลมไม่ออก”
“แค็ก แค็ก แค็ก…” เสียงกระแอมไอดังขึ้นหลายที
มุมพระโอษฐ์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กระตุกทันที ก่อนจะรีบเม้มไม่ให้เผยเสียงสรวลดังออกไป
เสนาบดีกรมพิธีการกลับหน้าแดงก่ำ เคราโมโหจนกระดกขึ้น “ซินไต้จ้าวพูดจาไยต้องหยาบคายเช่นนี้!”
“เมื่อครู่ฝ่าบาทไม่ได้ตรัสว่าให้พูดได้เต็มที่หรอกหรือ”
“เช่นนั้นเจ้าว่ามา ข้าพูดผิดตรงไหน”
“ไม่มีถูกสักประโยคเดียว เจ้าว่าองค์หญิงพระองค์โตได้รับความเคารพจากราษฎร อภิเษกไปซีหลิงแลกม้าศึกห้าพันตัวคือการทำหน้าที่ขององค์หญิงหรือ ขุนนางบุ๋นบู๊เต็มท้องพระโรง เชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูง ผู้ที่ได้รับความเคารพจากราษฎรมีเพียงองค์หญิงหรือ”
เสนาบดีกรมพิธีการอ้าปากคิดอธิบาย
ซินโย่วคร้านจะฟังวาจาเหลวไหลของเขา เอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ขอถามเสนาบดีซุนว่า ราชวงศ์แต่โบราณมา ตำแหน่งรัชทายาทเป็นขององค์ชายหรือองค์หญิง”
เสนาบดีกรมพิธีการรีบมองไปทางฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทีหนึ่ง ตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็น
นังเด็กนี่เสียสติไปแล้วหรือ คำพูดเช่นนี้ก็กล้าเอ่ยออกมา!
ซินโย่วยิ้มเอ่ยว่า “ข้าขอถามเหลวไหลอีกสักคำถาม ได้รับการเคารพจากราษฎรเช่นกัน องค์ชายเป็นรัชทายาทได้ เป็นอ๋องอิสระได้ แต่พอองค์หญิง แผ่นดินอ่อนแอก็ถูกส่งไปอภิเษกเชื่อมไมตรี แผ่นดินเข้มแข็งก็ยังส่งไปแลกเปลี่ยนม้าศึก หากยอมแลกเปลี่ยนก็ว่ารู้จักกาลเทศะ เสนาบดีซุน ท่านลองไตร่ตรองดู คำพูดของท่านนี้ดังสุนัขผายลมไม่ออกหรือไม่”