สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 379 ไม่ยินดีแต่ง
ตอนที่ 379 ไม่ยินดีแต่ง
……….
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้แสดงท่าทีไม่ชัดเจน ในใจอ๋องเป่ารื่อก็ทำใจไว้แล้ว
ส่งองค์หญิงไปอภิเษกกับแผ่นดินเพื่อนบ้านเป็นเรื่องใหญ่ แน่นอนย่อมไม่อาจตกปากรับคำในทันที
เขาพอเข้าใจได้ แต่ทว่าเขามั่นใจในม้าศึกห้าพันตัวมาก
ผู้ปกครองที่มีสมองไม่อาจตัดใจปฏิเสธได้ลง
จากนั้นอ๋องเป่ารื่อก็ตั้งใจลิ้มรสอาหารเลิศรสและการแสดงระบำของต้าซย่า พระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มีรอยแย้มสรวลเล็กน้อย ธำรงท่าทีสง่างามของผู้เป็นเจ้าบ้าน
พองานเลี้ยงเลิก ขุนนางกรมพิธีการและสำนักหงหลูพาอ๋องเป่ารื่อไปที่พักและจัดที่พักให้ราชทูต
บรรดาขุนนางต่างแยกย้าย แอบวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราชาซีหลิงคิดอภิเษกกับองค์หญิงต้าซย่ากันอย่างร้อนแรง
“เหตุใดราชาซีหลิงผู้นี้ต้องการอภิเษกองค์หญิงแผ่นดินเราไปเป็นฮองเฮา”
“ได้ยินว่าเดิมฮองเฮาของราชาซีหลิงป่วยจากไปแล้ว ตำแหน่งว่างเว้นมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ซีหลิงไม่มีเหตุจลาจลภายในแล้ว พิธีการต่างๆ ที่ถูกละเลยไปย่อมต้องนำกลับมาใหม่ จึงต้องแต่งตั้งฮองเฮาพระองค์ใหม่”
“เช่นนั้นราชาซีหลิงอายุคงไม่น้อยแล้วกระมัง”
“สี่สิบกว่า กำลังอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์”
สำหรับอายุของราชาซีหลิง บรรดาขุนนางไม่คิดว่ามีปัญหาอันใด ฮ่องเต้อายุเจ็ดสิบยังคัดเลือกพระชายาได้ สี่สิบสำหรับผู้ปกครองแผ่นดินแล้ว ไม่ใช่อยู่ในวัยดังบุปผาบานหรือ
ข่าวมาถึงวังหลัง พระสนมอายุน้อยต่างไม่คิดว่าจะเกี่ยวข้องกับตนเอง พระสนมที่มีโอรสธิดา บ้างก็โชคดีที่เป็นโอรส บ้างก็โชคดีที่ธิดายังเล็ก สายตาทุกคู่ล้วนมองไปที่พระสนมลี่ผิน
พระสนมลี่ผินรู้สึกดังอสุนีบาตฟาดลงกลางกระหม่อม ราวกับตกธารน้ำแข็งลึก
ข่าวใหญ่เพียงนี้ องค์หญิงเสวียนไม่นานก็ได้ยินข่าว รีบไปหาพระสนมลี่ผินด้วยสีหน้าซีดเผือด
“เสด็จแม่ ข่าวราชาซีหลิงส่งราชทูตมาขอแต่งงานกับองค์หญิงจริงหรือเพคะ”
ในวังมีองค์หญิงทั้งหมดสามพระองค์ มีเพียงนางที่อายุเหมาะสม บอกว่าต้องการขอแต่งกับองค์หญิง ย่อมเป็นนางอย่างมิต้องสงสัย
เผชิญหน้ากับบุตรสาว พระสนมลี่ผินจะปวดร้าวใจอย่างไรก็ได้แต่ปลอบใจ “เสวียนเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้ตื่นตระหนกไป เสด็จพ่อเจ้ายังไม่ได้รับปาก”
คำพูดนี้ไม่อาจปลอบใจองค์หญิงเสวียนที่สีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษได้ เอ่ยน้ำเสียงสะอื้นไห้ “แต่เสด็จพ่อก็มิได้ปฏิเสธ”
จะตัดใจปฏิเสธได้อย่างไร นั่นคือม้าศึกห้าพันตัวเชียวนะ!
ส่วนนางก็แค่บุตรสาวที่แต่ไรมาเสด็จพ่อไม่เคยเห็นอยู่ในสายตาเท่านั้น ให้นางแต่งไปซีหลิง แลกม้าศึกห้าพันตัวเป็นของหมั้นหมาย เสด็จพ่อจะทรงเลือกอย่างไรยังต้องคิดอีกหรือ
“แม่จะลองหยั่งเชิงเสด็จพ่อเจ้าให้” พระสนมลี่ผินกุมมือเยียบเย็นบุตรสาวเต็มแรง “ขอเพียงยังไม่รับปากต่อหน้าทุกคน ก็ยังเปลี่ยนแปลงได้”
พระสนมลี่ผินเป็นรอบคอบ แต่พอเป็นเรื่องบุตรสาวก็ไม่อาจใส่ใจเรื่องใด ตรงไปตำหนักเฉียนชิงกงทันที
“ฝ่าบาท พระสนมลี่ผินขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินรายงานขันที ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็เลิกพระขนง “ให้เข้ามาได้”
ไม่นานพระสนมลี่ผินเดินเข้ามาถวายบังคม “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท”
“ลุกขึ้นได้ ลี่ผินมาด้วยเรื่องใด”
พระสนมลี่ผินลอบมองสีพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทีหนึ่ง เอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หม่อมฉันได้ยินว่าซีหลิงส่งราชทูตมาขออภิเษกองค์หญิงเรา”
“ใช่” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พยักพระพักตร์นิ่งเฉย
“ฝ่าบาท…จะทรงรับปากไหมเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เห็นพระสนมลี่ผินสีหน้าซีดเผือด ก็ตรัสเบาๆ “นี่มิใช่เรื่องที่วังหลังควรถาม”
พระสนมลี่ผินร่างโงนเงน สีหน้าไร้สีเลือดยิ่งกว่าเดิม “หม่อมฉันรู้…หม่อมฉัน หม่อมฉันเป็นห่วงเสวียนเอ๋อร์”
“หืม?”
สีพระพักตร์เยียบเย็นของฮ่องเต้ทำให้พระสนมลี่ผินรู้สึกกดดันอย่างมาก แต่นางยังคงกัดฟันเอ่ยต่อว่า “เสวียนเอ๋อร์สุขภาพอ่อนแอ อุปนิสัยเก็บงำความคิด หากไปอยู่ซีหลิงที่อาหารการกินและประเพณีต่างจากต้าซย่าอย่างสิ้นเชิง จะไม่อาจดำรงชีวิตต่อไปได้ ขอฝ่าบาททะนุถนอมนางสักหน่อยเพคะ แต่เล็กนางก็เชื่อฟังเพียงนั้น…”
เห็นชัดว่าเคยตรัสแล้วว่าจะเลือกราชบุตรเขยที่ดีให้เสวียนเอ๋อร์ พวกนางสองแม่ลูกรอคอยอย่างคาดหวังมาตลอด แม้แต่จะถามก็มิกล้า ผลปรากฏว่ารอไปรอมา กลับรอจนราชทูตซีหลิงมา
พระสนมลี่ผินทนไม่ไหว น้ำตาไหลพรากสองสาย
“ร้องไห้ทำไม หากได้แต่งไปซีหลิงจริง ราชาซีหลิงก็จะไม่ปฏิบัติต่อเสวียนเอ๋อร์ไม่ดี”
“ฝ่าบาท…” ในใจพระสนมลี่ผินกระตุกวาบ แววตาสิ้นหวัง
“เรายังไม่ตัดสินใจ ร้องไห้คร่ำครวญเช่นนี้ไปถึงหูราชทูตซีหลิง ไม่เสียหน้าราชวงศ์ต้าซย่าหรือ”
พระสนมลี่ผินพลันไม่กล้าร้องไห้ต่อ ก้าวเท้าหนักอึ้งกลับตำหนักตนเอง
องค์หญิงเสวียนชะเง้อคอรออยู่ พอเห็นสีพระพักตร์พระสนมลี่ผิน คำพูดมากมายก็พลันพูดไม่ออก
ดังคาด ไม่มีทางเกิดปาฏิหาริย์ อย่างน้อยก็ไม่เกิดกับนาง
นางยื่นมือออกไปดึงมือมารดาตนเองมากุมไว้ “เสด็จแม่ ไม่ต้องเคร่งเครียดเพคะ ไม่ต้องกังวลเพคะ”
แต่โบราณมาองค์หญิงอภิเษกเชื่อมไมตรีก็มีมาอยู่ตลอด นับประสาอันใดกับนางก็มิใช่อภิเษกอย่างไร้ศักดิ์ศรี แต่เป็นอีกฝ่ายขอหมั้นหมายด้วยของหมั้นล้ำค่า
“เสวียนเอ๋อร์ได้รับการดูแลอย่างดีมาแต่เล็ก ชีวิตไร้ความทุกข์กังวล ตอนนี้ซีหลิงมาขออภิเษก แลกม้าศึกให้แก่ต้าซย่าห้าพันตัวได้ ก็ถือว่าควรค่าแก่การดำรงสถานะองค์หญิงพระองค์โต…”
“องค์หญิงพระองค์โต…” พระสนมลี่ผินพึมพำ หลุดคำออกไปว่า “คุณหนูซิน!”
องค์หญิงเสวียนตกตะลึง สีหน้าแปรเปลี่ยน “เสด็จแม่ อย่าได้ทรงคิดเช่นนี้เพคะ!”
“อะไรนะ” พระสนมลี่ผินยังตั้งสติไม่ทัน
องค์หญิงเสวียนหน้าแดง ออกแรงคว้ามือพระสนมลี่ผินไว้อย่างไม่รู้ตัว “ยังมิต้องเอ่ยถึงเสด็จพ่อโปรดปรานคุณหนูซินเป็นหนึ่งไม่มีสอง ผู้ที่มีสถานะองค์หญิงพระองค์โตก็คือหม่อมฉัน คุณหนูซินเติบโตนอกวัง ไม่เคยได้รับการดูแลจากราชวงศ์ มาถึงยามนี้ให้นางไปแทนหม่อมฉันจะสมเหตุสมผลได้อย่างไรเพคะ”
พระสนมลี่ผินมองบุตรสาว ทั้งสงสารและชื่นชม “แม่ไม่ได้หมายความเช่นนี้ แม่กำลังคิดว่า คุณหนูซินช่วยเอ่ยต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อเจ้าได้ ไปขอร้องนาง บางทีอาจเปลี่ยนแปลงได้”
ดวงตาองค์หญิงเสวียนส่องประกาย ก่อนจะค่อยๆ อับแสงลง “พวกเราไม่เคยสนิทสนมกับคุณหนูซิน จะไปขอร้องให้นางไปทูลกับเสด็จพ่อเพื่อหม่อมฉันได้อย่างไรเพคะ”
องค์หญิงเสวียนรู้กระจ่างใจเพียงใด แต่ราชวงศ์ต่างกับชาวบ้านทั่วไป ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เป็นบิดา และยังเป็นฮ่องเต้ ไปขอร้องแทนนางย่อมต้องแบกรับความเสี่ยง
“คุณหนูซินช่วยองค์ชายสามไว้ เห็นได้ว่าเป็นผู้มีเมตตา อย่างไรก็ต้องลองดู…” พระสนมลี่ผินปลอบใจบุตรสาว
ในฐานะมารดา ความหวังแม้น้อยนิดเพียงใด แต่เพื่อบุตรสาว ย่อมมิสนใจศักดิ์ศรีตนเอง นางล้วนยินยอมลองขอวิงวอนก่อน
ตำหนักฉือหนิงกง ไทเฮาได้ยินเรื่องนี้ก็นึกถึงซินโย่ว
ทว่าต่างจากความคิดขอร้องแทนบุตรสาวของพระสนมลี่ผิน ปฏิกิริยาแรกของไทเฮาก็คือหากส่งตัวหายนะเช่นซินโย่วไปให้ไกลได้ย่อมเป็นเรื่องดีอย่างยิ่ง
“ไทเฮาเพคะ คุณหนูซินยังไม่ได้จารึกในรายนามประจำราชวงศ์ ไม่นับว่าเป็นองค์หญิงเพคะ” บ่าวคนสนิทได้ยินความคิดไทเฮาก็รีบเตือนสติ
ไทเฮาได้ยินก็อัดอั้นพระทัย โมโหตรัสว่า “นังเด็กนั่นไม่ยินยอมกลับคืนสู่ราชวงศ์ หรือว่ามีญาณหยั่งรู้กัน”
หากนังเด็กนั่นมีสถานะองค์หญิงพระองค์โต การจะถูกส่งไปอภิเษกที่ซีหลิงย่อมเป็นเรื่องที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแน่นอนแล้ว!
หากไม่มีเหตุคืนวันส่งท้ายปีงานเลี้ยงในครอบครัววันนั้น ไทเฮาที่ไม่ชอบซินโย่วก็คงยอมอดทน ตอนนี้เห็นซินโย่วดังหนามตำนัยน์ตา ทูตจากซีหลิงมอบโอกาสที่ดีให้เช่นนี้ จะทำใจยอมปล่อยให้ผ่านไปได้อย่างไร
“เช่นนี้ เจ้าลองส่งคนไปบอกกับขุนนางที่ทำหน้าที่ดูแลต้อนรับทูตเอกซีหลิงสักคำ…”
การติดต่อสัมพันธไมตรีอย่างเป็นทางการของราชวงศ์ต้าซย่า ผู้รับหน้าที่ก็คือกรมพิธีการ แต่รายละเอียดการต้อนรับเป็นหน้าที่ของสำนักหงหลู
พริบตาอ๋องเป่ารื่อก็อยู่เมืองหลวงมาได้หลายวันแล้ว ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ได้แสดงท่าทีอันใดต่อคำกราบทูลของเขาแม้แต่น้อย เขาเองก็ไม่รีบร้อน นอกจากสานสัมพันธ์กับขุนนางต้าซย่าแล้ว ก็เดินชมรอบเมือง สัมผัสกลิ่นอายต้าซย่า
ในวันนี้อ๋องเป่ารื่อเดินอยู่บนถนน เห็นคนเข้าแถวด้านหน้าครึกครื้นก็ถามขุนนางสำนักหงหลูที่มาคอยต้อนรับเขาอย่างอยากรู้ว่า “เหตุใดด้านหน้ามีผู้คนมากมายเพียงนั้น”
ขุนนางมองแล้วก็ตอบว่า “คล้ายว่าร้านหนังสือชิงซงออกจำหน่ายหนังสือเล่มใหม่”
……….