สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 366 ออกนอกเมือง
ตอนที่ 366 ออกนอกเมือง
……….
ตอนซินโย่วเดินไปหาเฮ่อชิงเซียวกับหย่งอันป๋อ บรรดาขุนนางก็ลอบส่งสายตามองมา ก่อนจะพยายามเงี่ยหูฟัง
ได้ยินว่านางเชิญทั้งสองดื่มน้ำชา ก็ตกใจนิ่งอึ้งไปทันที
นางเชื้อเชิญเปิดเผยถึงเพียงนี้?
เฮ่อชิงเซียวอมยิ้มพยักหน้า “มีเวลา”
ซินโย่วมองไปทางหย่งอันป๋อ
หย่งอันป๋อสนทนากับซินโย่วเป็นครั้งแรก ไม่ได้ตกปากรับคำง่ายดายดังเช่นเฮ่อชิงเซียว เขาลังเลก่อนจะปฏิเสธ “จะต้องออกเดินทางแล้ว ต้องรีบจัดการงานการในมือไม่น้อย รอให้กลับจากทางเหนือ ข้าค่อยเชิญซินไต้จ้าวดื่มน้ำชา”
เขาออกมารับงานนี้ด้วยตนเองเพราะรับฟังคำกล่อมของพี่ชายภรรยาเขา แต่ทว่าในใจเขาเองไม่ได้คิดอยากจะใกล้ชิดกับคุณหนูผู้นี้มากนัก
แม้คุณหนูซินตรงหน้ากำลังรุ่งเรืองดำรงเกียรติ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าวันหน้าจะเป็นอย่างไร ความรู้สึกผูกพันของพี่น้องย่อมไม่เหมือนบิดาต่อบุตรสาว หากวันหน้าองค์ชายใดขึ้นครองราชย์ คุณหนูซินจะรุ่งเรืองหรือตกต่ำ ก็ขึ้นกับท่าทีของฮ่องเต้พระองค์ใหม่
“เช่นนั้นขอให้ท่านป๋อเดินทางสวัสดิภาพราบรื่นทุกสิ่ง” ซินโย่วไม่คิดสนใจคำปฏิเสธของหย่งอันป๋อ หันไปพยักหน้าให้เฮ่อชิงเซียว ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าต่อ
พอถึงเวลาเลิกงาน ซินโย่วรีบไปยังร้านน้ำชาที่นัดไว้
เฮ่อชิงเซียวมาถึงก่อนแล้ว กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินเฝ้าอยู่หน้าประตูก็ผลักประตูเชิญซินโย่วเข้าไป
ซินโย่วนั่งลงตรงข้ามเฮ่อชิงเซียว รับน้ำชาที่อีกฝ่ายรินให้มา
น้ำชาร้อนอยู่ ดื่มได้พอดี
“ใต้เท้าเฮ่อจะต้องลงใต้ตอนปีใหม่อีกแล้ว”
วันส่งท้ายปีเมื่อปีที่แล้ว เฮ่อชิงเซียวก็ลงใต้ ตอนกลับเมืองหลวงก็เดือนสามแล้ว
“อยู่ที่ใด ปีใหม่ก็เหมือนกัน” เฮ่อชิงเซียวหลุดเอ่ยออกมา พอสบสายตากระจ่างใสของสาวน้อยก็พลันรู้สึกร้อนตัวขึ้นมา
ก็มิได้เหมือนกันเสียทีเดียว อย่างน้อยหลังได้รู้จักอาโย่ว ก็ไม่เหมือนแล้ว
ซินโย่วหลุบตาลงจิบน้ำชาไปคำหนึ่ง
นางรู้ว่าไม่ควรคิดเรื่องรักระหว่างชายหญิง แต่ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกเฝื่อนขมอยู่บ้าง
“ทันทีที่ดำเนินนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ ข้าจะรีบเขียนจดหมายกลับมา”
“พื้นที่ทางใต้อุดมสมบูรณ์ แหล่งรวมตระกูลขุนนางเก่าแก่ทรงอิทธิพล การผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่จะต้องพบกับอุปสรรคขัดขวางมากมาย ใต้เท้าเฮ่อรักษาตนเองให้ดี”
ผู้ดำเนินการปฏิรูปมักเจ็บตัว แต่ไรมาก็มีให้เห็นมากมาย แม้ผู้คนต่างหวาดกลัวความเหี้ยมโหดของกองกำลังองครักษ์จิ่นหลิน แต่นางรู้ว่าคนตรงหน้าก็หลั่งโลหิตเป็น เจ็บเป็น ไม่ได้ทำจากเหล็กกล้า
“คุณหนูซินวางใจ ข้าจะรักษาตนเองให้ดี ทางเมืองหลวงเองก็คงมิใช่จะไร้คลื่นลม เจ้าเองก็ต้องระวังสักหน่อย”
จังโส่วฝู่สองลุงหลานทำให้ตระกูลจบสิ้นเป็นตัวอย่างให้บรรดาขุนนางและชนชั้นสูงในเมืองหลวง น่าจะไม่มีคนโง่เง่าลงมือลอบสังหารซินโย่ว แต่ที่ต้องระวังก็คือหลุมพรางกับดักทางการเมือง นี่คือการต่อสู้ตามแบบแผนของขุนนาง
ซินโย่วพยักหน้า ยิ้มละไมกล่าวว่า “ข้าเตรียมคนไว้จำนวนหนึ่ง จะให้ลงใต้ไปพร้อมกับใต้เท้าเฮ่อ”
เฮ่อชิงเซียวนึกถึงประกาศที่ติดนอกกำแพงร้านหนังสือชิงซงขึ้นมาทันที
“ใต้เท้าเฮ่อน่าจะพอเดาได้แล้ว ก็คือนักเล่าเรื่องที่ข้ารับมาเมื่อหลายวันก่อน ถึงตอนนั้น…”
ได้ยินประโยชน์ของนักเล่าเรื่อง เฮ่อชิงเซียวก็ชื่นชมมาก “มีคนเหล่านี้ หากมีคนคิดกระพือข่าวลือชักนำความคิดราษฎรก็คงไม่ง่ายแล้ว”
สามวันต่อมา เฮ่อชิงเซียวกับหย่งอันป๋อก็ทูลลาฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ นำขบวนของตนก้าวไปในทิศทางตรงกันข้ามกัน
ซินโย่วยืนอยู่ริมถนนมองส่งชายหนุ่มบนหลังม้าจากไปไกล
หากนางเอ่ยปาก ก็คงขอให้คนผู้นั้นรับปากให้นางลงใต้ได้ไม่ยาก แต่ทว่านางจะไม่ทำเช่นนี้
การปฏิรูปมักต้องเผชิญเหตุนองเลือด จะดำเนินต่อได้หรือไม่ ประเด็นสำคัญก็คือการตัดสินของฮ่องเต้ นางจำเป็นต้องเฝ้าอยู่ข้างกายคนผู้นั้นไว้ ไม่ปล่อยให้ผู้อื่นฉวยโอกาสสั่นคลอนความคิดคนผู้นั้นได้
“เชียนเฟิงไปจูงม้ามา ไปโรงนานอกเมืองกัน”
ตอนนี้ซินโย่วออกจากจวนก็จะพาเชียนเฟิงกับผิงอันไปด้วย ไม่ฝืนทำทีแข็งแกร่งอีก
ไม่นานเชียนเฟิงก็จูงอาชางามมาให้นางตัวหนึ่ง สามคนขี่ม้าออกจากเมือง
โค่วชิงชิงได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงชิงหนิงจวิ้นจู่ รูปแบบหลุมศพก็จะจัดตามแบบขององค์หญิงระดับจวิ้นจู่ แต่ทว่ายังเป็นสถานที่เดิม ณ โรงนาที่เป็นผืนที่ดินของนางแห่งนี้
เสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น คนในโรงนารีบไปรายงาน เสี่ยวเหลียนกับฟางหมัวมัววิ่งออกมา
“คุณหนู!” เสี่ยวเหลียนกับฟางหมัวมัวส่งเสียงคำนับพร้อมกัน
การสร้างสุสานให้จวิ้นจู่ย่อมมิใช่เรื่องที่จะกระทำให้แล้วเสร็จในวันสองวัน ซินโย่วเสนอให้เสี่ยวเหลียนกับฟางหมัวมัวมาเฝ้าดูงาน ให้พวกนางได้แสดงน้ำใจนายบ่าวต่อโค่วชิงชิง
“ไม่ต้องมากพิธี ไปดูคุณหนูโค่วกันเถอะ”
พอถึงหน้าหลุมศพโค่วชิงชิง ซินโย่วก็จัดเครื่องเซ่นไหว้ออกมาตั้งจุดธูปเซ่นไหว้
ไม่ไกลออกไปนัก มีเสียงเคลื่อนไหวสร้างสุสาน เห็นคนไม่น้อยกำลังทำงานใต้แสงตะวันร้อนอย่างแข็งขัน
“อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ แล้ว ทำน้ำแกงให้พวกเขาทุกวันด้วย งานจะได้เร็วขึ้น” ซินโย่วสั่งการเสี่ยวเหลียน
“เจ้าค่ะ”
ฟางหมัวมัวพลันลงคุกเข่า
“ฟางหมัวมัวทำอันใดน่ะ” ซินโย่วประคองฟางหมัวมัวขึ้นมา
ฟางหมัวมัวขอบตาแดง น้ำเสียงสะอื้นไห้ “บ่าวไม่คิดไม่ฝันว่าคุณหนูชิงชิงของเราจะได้เป็นองค์หญิงจวิ้นจู่…”
ซินโย่วนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
นางเข้าใจความตื้นตันของฟางหมัวมัว
สำหรับคนทั่วไป วงศ์ตระกูลมีบัณฑิตสอบได้ตำแหน่งขึ้นมาล้วนเป็นเรื่องทรงเกียรติ ต้องจดบันทึกลงในรายนามวงศ์ตระกูลให้ดี นับประสาอันใดกับได้รับการแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่
หลายคนให้ความสำคัญชื่อเสียงหลังจากไปพอๆ กับตอนมีชีวิตอยู่ แต่สำหรับซินโย่วที่ได้อิทธิพลจากฮองเฮาซินกลับมีความคิดแตกต่าง นับว่าเป็นความประหลาดในสายตาคนทั่วไป
ซินโย่วปลอบใจฟางหมัวมัว ก่อนดูความคืบหน้าของการสร้างสุสานแล้วจึงได้เตรียมตัวกลับ
“คุณหนู ข้างกายท่านไม่มีใครย่อมไม่สะดวก ให้เสี่ยวเหลียนตามท่านกลับไปเถอะเจ้าค่ะ”
“กลางวันข้าไม่ได้อยู่จวน เสี่ยวเหลียนอยู่โรงนาต่อเถอะ พวกเจ้าจะได้เป็นเพื่อนกัน”
“ที่นี่มีบ่าวเฝ้าก็พอแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูกลับถึงบ้านก็คงต้องมีคนยกน้ำชารินน้ำ ผู้อื่นก็ไม่เอาใจใส่เหมือนเสี่ยวเหลียน” ฟางหมัวมัวดึงเสี่ยวเหลียนมา
เสี่ยวเหลียนเองก็เอ่ยว่า “บ่าวอยู่ที่นี่ได้สองวันแล้ว ได้เห็นการทำงานของพวกเขาแล้วก็วางใจ วันนี้กลับไปกับคุณหนูดีกว่า สาวใช้ที่จวนส่วนใหญ่มาจากในวัง คุณหนูไม่คุ้นชิน”
ซินโย่วจึงพยักหน้าตกลง
ในเมื่อออกจากเมืองมาแล้วก็ไปโรงนาอูอวิ๋นอีกสักแห่ง
หัวหน้าหกได้ยินว่าซินโย่วมา ก็รีบวิ่งตะบึงออกมา “คุณหนูมาแล้ว!”
มองซ้ายมองขวาแล้วหัวหน้าหกก็กระตุกวาบในใจ เหตุใดไม่เห็นเจ้าแปด คงมิได้ก่อเรื่องกระมัง
“ไปโรงนาตระกูลโค่วมา เลยแวะมาที่นี่ด้วย”
“เจ้าแปดไม่ได้ติดตามคุณหนูมาหรือ”
“ตัดสินใจมากะทันหัน เจ้าแปดอยู่ที่จวนตระกูลซิน”
“อ้อ อ้อ” หัวหน้าหกโล่งอก ก่อนคิดจะไปตีฆ้องบอกทุกคนว่าคุณหนูมา
“ไม่ต้องแล้ว พี่หกพาข้าไปชมรอบๆ ก็พอ”
พอได้ยินซินโย่วจะไปดูรอบๆ หัวหน้าหกก็มีชีวิตชีวาขึ้น รีบพานางไปชมลานฝึกยุทธ์ทันที
ซินโย่วเห็นกองกำลังฝึกแต่ละกลุ่มแล้วก็เอ่ยว่า
“อากาศหนาวแล้ว งานในนาก็น้อยลง พี่น้องส่วนใหญ่ใช้เวลาไปกับการฝึกยุทธ์”
พวกที่เดิมเป็นโจรภูเขาก็คือกลุ่มชายฉกรรจ์โรงนาตอนนี้ มีคนเห็นว่าซินโย่วมา แม้ว่าสีหน้าตื่นเต้น แต่กลับไม่ตื่นเต้นจนลนลานแม้แต่น้อย
“พี่หกฝึกเก่งจริง” ซินโย่วเอ่ยชมทันที
หัวหน้าหกหัวเราะเบาๆ ไม่ได้คิดปิดบังอันใดซินโย่ว “เรียนรู้มาจากเจ้าพวกกบฏนั่นน่ะ”
หมายถึงพวกทหารกบฏหลบหนีไปแย่งชิงค่ายเมฆาดำพวกนั้น
“ยินยอมเรียนรู้และเรียนรู้เป็นก็หาได้ยากแล้ว” ซินโย่วมองบรรดาชายหนุ่มที่พยายามฝึกฝนตนเอง ในใจก็คิดอันใดขึ้นมาได้ “พี่หกว่ายน้ำเป็นไหม”
หัวหน้าหกยิ้มเอ่ยว่า “พวกเราชาวใต้เติบโตริมน้ำ จะว่ายน้ำไม่เป็นได้อย่างไร”
“เช่นนั้นอย่าละทิ้งความสามารถนี้ ไม่แน่วันหน้าอาจนำมาใช้ประโยชน์ได้”
……….