สืบแค้นคุณหนูสวมรอย - ตอนที่ 363 นโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่
ตอนที่ 363 นโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่
……….
ตอนฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสว่าการบริจาคมิใช่วิธีการแก้ไขปัญหาจากราก แววตาซิ่วอ๋องก็หม่นลง
นี่คือวิธีการของเสด็จพ่อปีที่แล้ว ยังทรงไม่พอพระทัยอีกหรือ
เขาได้เห็นแววพระเนตรฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ที่มองซินโย่วอย่างคาดหวัง ในใจก็อดเฝื่อนขมไม่ได้
ซินโย่วถูกฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถาม ก็กลายเป็นเป้าสนใจของทุกคนทันที แต่มิได้ทำให้นางเคร่งเครียด กลับรู้สึกฮึกเหิม
มีอันใดให้เคร่งเครียด นางรอโอกาสเหมาะสมนี้มานานแล้ว
นางก้าวออกมาถวายคำนับฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ก่อนกราบทูล “หม่อมฉันมีวิธีเพคะ”
“อ้อ ลองว่ามา” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มีท่าทางสนใจ
“การบริจาคเป็นเพียงวิธีแก้ปัญหาเร่งด่วน การเพิ่มภาษีเป็นการเพิ่มภาระราษฎร หม่อมฉันเสนอให้ปฏิรูประบบภาษี ผลักดันการปฏิรูปภาษีที่เหมาะสม ทำให้คลังหลวงมีเงินเพิ่ม พร้อมกับช่วยแบ่งเบาภาระราษฎร…”
“เป็นไปไม่ได้!” ไม่ทันรอให้ซินโย่วพูดจบ เสนาบดีกรมคลังอวี๋กว่างฝูก็ก้าวออกมาทันที “เพิ่มภาษี ลดภาระราษฎร สองเรื่องนี้ขัดแย้งกัน จะเพิ่มภาษีไปพร้อมกับลดภาระราษฎรได้อย่างไร”
ภาษีจะได้มาจากที่ใด ย่อมมาจากเพิ่มภาษีราษฎร ราษฎรต้องจ่ายมาก หากราษฎรจ่ายภาษีมาก จะลดภาระราษฎรได้อย่างไรกัน
เสนาบดีกรมพิธีการทนเห็นซินโย่วในชุดขุนนางไม่ได้มากที่สุดในราชสำนักตอนนี้ พอเสนาบดีกรมคลังออกมาคัดค้าน ก็ตามออกมาทูลด้วย “ซินไต้จ้าวอาจไม่เข้าใจหลักการแผ่นดิน การปฏิรูปภาษีเป็นเรื่องที่ต้องผ่านการพิเคราะห์บนรากฐานของประสบการณ์จากราชวงศ์ก่อนหน้าแล้วจึงกำหนด มิใช่เรื่องเด็กเล่น…”
ซินโย่วฟังน้ำเสียงดูแคลนของเสนาบดีกรมพิธีการออก
บรรดาขุนนางเดิมคิดว่าสาวน้อยที่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ผู้นี้จะโต้กลับ ด่าทอและโวยวาย คิดไม่ถึงนางรับฟังอย่างนิ่งสงบ ทำให้คำพูดเสนาบดีกรมพิธีการเหมือนเป็นการเอาเรื่องตีอีกฝ่ายให้จนมุมมากกว่า
เสนาบดีกรมพิธีการพูดไม่หยุดไร้คนขัด สุดท้ายหมดเรื่องพูดต่อแล้ว
“หากเสนาบดีซุนพูดจบแล้ว ลองฟังข้าน้อยพูดให้จบบ้าง” ซินโย่วเอ่ยด้วยท่าทางนิ่งสงบ
แม้ในใจเสนาบดีกรมพิธีการดูแคลน แต่ไม่กล้าเอ่ยอันใดออกมา
เมื่อครู่พูดมากไปแล้ว!
“คลังหลวงได้ภาษีเพิ่ม ราษฎรลดภาระลง สองอย่างดูแล้วขัดแย้ง แต่ความจริงทำให้เป็นจริงได้” ซิน โย่วมองทุกคนพร้อมกับเอ่ยทีละคำ “เช่นนั้นก็เก็บภาษีตามขนาดพื้นที่ครอบครอง[1] ยกเลิกการเก็บภาษีรายหัว”
พอเอ่ยเช่นนี้ออกมา สีหน้าผู้รับรู้ไวต่างแปรเปลี่ยนทันที ผู้รับรู้ช้ากลับกำลังค่อยๆ คิดแล้วก็รู้สึกตกใจอย่างที่สุดขึ้นมาทันทีเช่นกัน
ซินโย่วเห็นอาการเปลี่ยนแปลงของทุกคนอย่างไม่พลาดสายตา เอ่ยต่อว่า “ราชวงศ์ในอดีตเก็บภาษีตามจำนวนหัว ราชวงศ์ต้าซย่าเองก็เช่นกัน แต่ราษฎรยากลำบากมากมายไร้ทรัพย์สิน แต่กลับต้องเสียภาษีตามจำนวนหัวของคนในครอบครัว ก็ได้แต่ถูกภาษีกดทับไว้จนหายใจไม่ออก ส่วนตระกูลขุนนางเก่าแก่ทรงอิทธิพลที่ครอบครองที่นามากมาย แต่กลับเพราะได้สิทธิพิเศษยกเว้นภาษี คลังหลวงจะมีเงินทองได้อย่างไร”
บรรดาขุนนางได้ยินคำว่า ‘สิทธิพิเศษยกเว้นภาษี’ ก็พากันคิดไปไกล
ความหมายนี้ก็คือคิดยกเลิกสิทธิพิเศษไม่เก็บภาษีของขุนนางหรือ หากเป็นเช่นนี้ การอดทนตรากตรำร่ำเรียนมาไม่เสียเปล่าหรือ พวกเขาก็จะเหมือนกับชาวบ้านธรรมดา?
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงส่งเสียงไอขึ้นเสียงหนึ่ง “ฟังซินไต้จ้าวพูดให้จบ!”
บรรดาขุนนางถูกพระบารมีข่ม ได้แต่สงบลง
ซินโย่วรู้ว่านโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่จะต้องเหยียบเท้าคนเหล่านี้ให้เจ็บปวด นี่คือการตัดผลประโยชน์ซึ่งหน้า ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะแสร้งเลอะเลือนอีก
เพราะกระจ่างใจในเรื่องนี้ การพูดซ่อนเร้นความจริงล้วนไร้ความหมาย สิ่งที่นางทำได้ก็คือพูดออกไปอย่างตรงไปตรงมาให้กระจ่าง รอดูการตัดสินใจของคนบนบัลลังก์มังกร
สาวน้อยเอ่ยน้ำเสียงหนักแน่นกังวานใสดังขึ้นในพระที่นั่ง “รวมพื้นที่และแรงงานคนเป็นหนึ่ง คนครองพื้นที่มากจ่ายภาษีมาก คนครองพื้นที่น้อยจ่ายภาษีน้อย คนไม่มีพื้นที่ไม่ต้องจ่าย เช่นนี้ก็จะเป็นการลดภาระของราษฎรลงได้มาก และลดเหตุคนหลบซ่อนตัวตนเพื่อหนีภาษี คลังหลวงก็ย่อมมีเงินเข้ามากขึ้น…”
ซินโย่วเอ่ยถึงนโยบายอย่างใจเย็น ปฏิกิริยาของทุกคนในพระตำหนักต่างแปรเปลี่ยน คนส่วนใหญ่สีหน้ายิ่งย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีบางคนเริ่มครุ่นคิด
“การปฏิรูปภาษีแม้ไม่อาจแก้ปัญหาเหตุภัยพิบัติจากหิมะตอนนี้ได้ แต่เป็นวิธีการแก้ปัญหาจากราก การผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่จะส่งผลดีต่อคลังหลวง ราษฎรดำรงชีวิตสงบสุข หากเผชิญกับภัยพิบัติอีกก็จะไม่ต้องกังวลว่าจะไม่เงินทองรับมือ” ซินโย่วพูดจบก็มองไปทางฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ “ความคิดเหล่านี้ หม่อมฉันล้วนฟังมาจากมารดาตอนเด็ก พวกจังโหย่วหมิงสองลุงหลานก็ยอมรับเองว่าส่งคนไปสังหารหม่อมฉัน ก็เพราะไม่อยากเห็นการดำเนินนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ ก็มิรู้ว่านโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อแผ่นดินและราษฎรนี้ เหตุใดทำให้พวกเขาโกรธแค้นเพียงนี้”
สาวน้อยสีหน้างุนงง มองไปยังบรรดาขุนนางอย่างไม่เข้าใจ
บรรดาขุนนางรีบเบือนสายตาหนี
เด็กสาวผู้นี้เป็นปีศาจหรือ ไยขุดหลุมดักเก่งเช่นนี้!
นางถึงกับเอ่ยเตือนความทรงจำฮ่องเต้ด้วยท่าทีเหมือนไม่ได้รู้สึกอันใดว่า พวกจังโส่วฝู่สังหารนางและฮองเฮาซินพราะนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ พอฮ่องเต้ถามความเห็นพวกเขา หากพวกเขาคัดค้านก็จะทำให้ฮ่องเต้ทรงระแวง!
บรรดาขุนนางกำลังครุ่นคิด ก็ได้ยินฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถามขึ้นว่า “ขุนนางทุกท่านมีความเห็นอย่างไรต่อนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่”
บรรดาขุนนางพากันก้มหน้า แอบคาดหวังว่าจะมีสหายขุนนางก้าวออกมาคัดค้าน
หากเด็กสาวผู้นี้ไม่เอ่ยถึงคดีจังโส่วฝู่ เสียงคัดค้านก็อาจดังมาก ตอนนี้หากคัดค้านก็จะทำให้ฮ่องเต้จดบัญชีเอาไว้
การผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ทำให้วงศ์ตระกูลใหญ่เสียผลประโยชน์ ย่อมพบกับการคัดค้านรุนแรง แต่หากเกิดเหตุดังจังโส่วฝู่ แม้แต่วงศ์ตระกูลก็จบสิ้น
พอคิดเช่นนี้ คนที่เกลียดนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ย่อมไม่กล้าออกมาคัดค้านโดยพลการ
เดิมฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เตรียมพร้อมรับมือเสียงคัดค้านจากบรรดาขุนนางไว้แล้ว คิดไม่ถึงถึงกับเงียบเช่นนี้
เขาอดมองซินโย่วทีหนึ่งไม่ได้ แววพระเนตรมีแต่ความชื่นชม
ซิ่วอ๋องนิ่งมองซินโย่วเงียบๆ แววตาเปล่งประกายเปลี่ยนไป
ทันทีที่ดำเนินนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ ย่อมเป็นผลดีต่อแผ่นดิน เขาย่อมเข้าใจดี
นี่ก็คือนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ที่ฮองเฮาซินคิดผลักดันตอนเริ่มก่อตั้งแผ่นดินราชวงศ์ต้าซย่า
นึกถึงฮองเฮาซิน แววตาซิ่วอ๋องก็เริ่มสับสน
“ในเมื่อขุนนางทุกท่านไม่มีความเห็นแล้ว เช่นนั้น…”
เสนาบดีกรมพิธีการจำต้องก้าวออกมา “ฝ่าบาท ในแต่ละยุคสมัยที่ผ่านมา หากเป็นเรื่องเกี่ยวพันถึงการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงใหม่ ล้วนไม่อาจกระทำอย่างวู่วามได้ กระหม่อมคิดว่าน่าจะเรียกประชุมคนมากกว่านี้ มิใช่ตัดสินใจเร่งด่วนเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
บรรดาขุนนางระดับล่างที่ไม่ต้องคำนึงเรื่องใดมากนักไม่อยู่ที่นี่ ไม่มีคนออกมาคัดค้านแทนขุนนางใหญ่เช่นพวกเขา
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ค่อยๆ กวาดสายพระเนตรมองทุกคน พระสุรเสียงเคร่งเครียดเล็กน้อย “ทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นขุนนางเสาหลักของราชวงศ์ต้าซย่า มีความสามารถและประสบการณ์โดดเด่นเหนือสามัญ หากพวกท่านไม่มีวิธีการที่ดีกว่านี้ แล้วการเรียกประชุมคนมากมายเช่นนั้นมาจะมีประโยชน์อันใด หรือจะกล่าวว่า มีขุนนางที่มีความสามารถยิ่งกว่าทุกท่าน แต่เรายังไม่รู้”
พระดำรัสฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทำให้ฝ่ามือคนไม่น้อยชื้นไปด้วยเหงื่อ
ความหมายก็คือหากพวกเขายอมรับว่าตนเองสู้ผู้อื่นไม่ได้ เช่นนั้นก็ควรสละตำแหน่งให้ผู้อื่น
การผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ล้วนทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ล้วนเสียผลประโยชน์ แต่หากทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้วอาจต้องเสียตำแหน่งไปด้วย ก็จะเป็นการสูญเสียส่วนบุคคลแทน
สองอย่าง แบบใดรับได้มากกว่ากัน ย่อมเลือกไม่ยาก
แค็กๆ คิดในมุมดี ในเมื่อทุกคนล้วนเสียผลประโยชน์ เท่ากับว่าไม่มีใครเสียประโยชน์มากกว่าใคร
ยามนี้คนฉลาดย่อมมองออก ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยจะผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่แล้ว
“หากขุนนางทุกท่านไร้ความคิดเห็นอื่น เช่นนั้นก็ตรวจสอบพื้นที่แต่ละพื้นที่ก่อน เริ่มจากพื้นที่อุดมสมบูรณ์ทางเหนือและใต้เป็นตัวอย่างทดลองนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่ก่อน” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสการตัดสินใจสุดท้ายออกมา ก่อนจะหยุดไปครู่หนึ่ง “ส่วนผู้รับหน้าที่ผลักดันนโยบายการบริหารแผ่นดินแบบใหม่…”
เห็นบรรดาขุนนางพากันหลบสายตา กลัวว่าจะถูกเอ่ยชื่อ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กระดกมุมพระโอษฐ์ ตรัสพระสุรเสียงนิ่งเรียบ “ก็รอพรุ่งนี้ประชุมท้องพระโรงค่อยหารือก็แล้วกัน”
[1] นโยบายภาษีที่ถูกผลักดันใช้จริงจังในสมัยราชวงศ์ชิง ทำให้ลดความพยายามครอบครองพื้นที่ของขุนนาง ชาวบ้านได้มีที่นาทำกิน
……….